ถ้าจะพูดถึง ‘หมานี่น่ากลัวที่สุด’ ภาพที่ใครหลายคนมักนึกถึงก็คือ ‘พิตบูล’ (American Pit Bull Terrier) เพราะคงคุ้นเคยกับข่าวหมาสายพันธุ์นี้ไปกัดคนจนบาดเจ็บบ้าง บ้างก็ถึงขั้นเสียชีวิต และในหลายประเทศก็มีกฎหมายห้ามเลี้ยงพิตบูลด้วย พิตบูลจึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งหมาดุร้ายไปโดยปริยาย
แต่รู้ไหมว่า ย้อนกลับไปในอเมริการาวสัก 100 ปีก่อน ภาพจำของพิตบูลไม่ใช่แบบนี้เลย เพราะพิตบูลนั้นเทียบได้กับ ‘ลาบราดอร์รีทริฟเวอร์’ และ ‘โกลเดนรีทริฟเวอร์’ มันเป็นภายตัวแทนของหมาที่ไปปรากฏในโฆษณาหลายชิ้น ถ้าเป็นยุคนี้ การถ่ายภาพโฆษณาครอบครัวแสนสุขต้องมีโกลเดนริทรีฟเวอร์สักตัว หรือโฆษณาทิชชูต้องมีลาบราดอร์รีทริฟเวอร์ แต่ในยุคโน้น ตั้งแต่โฆษณาแผ่นเสียง ยันป้ายโฆษณาชวนเชื่อให้คนรักชาติ หมาที่ปรากฏมันก็ต้องเป็น ‘พิตบูล’ เท่านั้น
100 ปีที่แล้ว ‘พิตบูล’ คือหมาที่คนอเมริกันเลี้ยงกันแพร่หลายมาก และมันยังเป็น ‘หมาน่ารัก’ ไม่มีพิษภัยใดๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมพิตบูลจึงกลายเป็นตัวแทนของหมาดุร้ายในวันนี้
ในฐานะที่เป็นหมายอดฮิต ดังนั้นคนก็จะเลี้ยงพิตยูลเยอะ ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน แต่บังเอิญว่าช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เศรษฐกิจอเมริกาขยายตัวคนมีรายได้มากขึ้นตั้งแต่คนรวยยันคนจนและคนจนเองก็อยากเลี้ยงหมามากขึ้นพวกเขาจึงเลือกเลี้ยงพิตบูล
เมื่อพิตบูลฮิตมากชนชั้นล่างเลี้ยงมันมากขึ้นซึ่งพวกเขาก็ไม่สามารถเลี้ยงหมาได้แบบมีสวัสดิภาพที่ดีนักคนยากจนในเมืองจึงเลี้ยงหมาด้วยการล่ามโซ่ไว้ทั้งวันไม่นับการทุบตีทำร่ายปัจจัยเหล่านี้ทำให้หมาดุขึ้นไม่จำเป็นต้องพิตบูลหมาพันธ์ุไหนก็ดุขึ้นทั้งนั้นถ้าเลี้ยงแบบนี้
แต่ที่โหดกว่านั้น ในสมัยนั้นชนชั้นล่างนิยมการเล่น ‘หมากัดกัน’ และนิยมจนแทบจะกลายเป็นกีฬาเพื่อความบันเทิง (อารมณ์เหมือนการตีไก่และกัดปลาของบ้านเรานั่นแหละ) และหมาที่ถูกเอามากัดกันก็คือพวกพิตบูล อันเป็นหมายอดฮิตน่ะแหละ
และนั่นก็ทำให้ในหลายๆ รัฐค่อยๆ ออกกฎหมายแบนการเอาหมามากัดกัน และในปี 1975 ทุกรัฐในอเมริกาก็แบน ‘กีฬานองเลือด’ ชนิดนี้จนหมด
แน่นอน มันก็ยังมีคนลักลอบเอาหมามากัดกัน แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือภาพจำของสังคมอเมริกันต่อหมาพิตบูลมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว เพราะในช่วงที่การเอาหมามากัดกันถูกแบนไปจากอเมริกา พิตบูลถูกมองว่าเป็นหมาของพวกคนผิวสี พวกพ่อค้ายา ที่เลี้ยงเอาไว้ถ้าไม่เอาไว้กัดคน ก็เลี้ยงเอาไว้แอบกัดกันเพื่อเล่นพนัน
และถ้าไปดูนิตยสารดังต่างๆ ในช่วงทศวรรษ 1980 ก็จะเห็นเลยว่าภาพของ ‘พิตบูล’ มันไม่ใช่ ‘เพื่อนรักของมนุษย์’ อีกแล้ว แต่ได้กลายเป็น ‘เครื่องจักรสังหาร’ ไป
และนั่นทำให้ภาพของพิตบูลกลายเป็นสัญลักษณ์ของความดุร้ายจนถึงปัจจุบัน ซึ่งพอมันไปประสานกับ ‘กฎหมายแบนสุนัขเฉพาะสายพันธุ์’ ในหลายๆ ประเทศที่ห้ามเลี้ยงและเพาะพันธุ์ ‘พิตบูล’ (และสุนัขพันธ์ุใหญ่อีกจำนวนหนึ่ง) มันก็ยิ่งผลิตซ้ำภาพความ ‘น่ากลัว’ ของ ‘พิตบูล’ ยิ่งขึ้นไปอีก
แล้ว ‘ความจริง’ เป็นยังไง? คำตอบแบบที่ไปถามผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงสุนัข เขาก็บอกตรงกันว่าไม่มีหมาพันธุ์ไหนที่เกิดมา ‘ดุ’ หมาจะเป็นยังไงมันขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดู การเลี้ยงพิตบูลให้น่ารักมันก็เลี้ยงได้ หมาน่ารักดูไม่มีพิษภัยแบบ ‘ลาบราดอร์’ ถ้า ‘เลี้ยงไม่ดี’ มันก็ทำให้หมาดุได้
ซึ่งถ้าถามลึกลงไปอีกว่าทำไม ‘พิตบูล’ ที่คนเลี้ยงๆ กันมันถึงดุ คำตอบที่ตรงก็คงจงใจเลี้ยงให้มันดุเป็นส่วนใหญ่ คนเลี้ยงมันเพราะมันหน้าโหด เพราะมันมีกล้ามเป็นมัดๆ ทั้งตัว และคอมมอนเซนส์คนก็คิดว่านี่แหละดุแน่ เลยเลี้ยงมันด้วยความคาดหวังแบบนั้น มันก็เลยเป็นไปตามนั้น และพอเป็นแบบนั้นปัญหามันไม่ใช่ที่ตัวหมา มันอยู่ที่คน และการออกกฎหมายแบนหมาบางสายพันธุ์มันก็ไม่มีความแฟร์อะไรกับหมาทั้งนั้น
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าพอเห็นพิตบูลแล้วจะคิดว่ามันไม่ดุ เพราะหมาทุกตัวตั้งแต่หน้าโหดยันหน้าตาน่ารัก ตัวใหญ่เท่าคนยันตัวเล็กแบบใส่กระเป๋าเสื้อได้ มัน ‘ดุ’ ได้ทั้งนั้น การไปเล่นกับหมาโดยคิดว่ามันไม่ดุแบบไม่ถาม ‘คนเลี้ยง’ ก่อน คือสิ่งที่ผิด แต่ถ้าคนเลี้ยงเขาบอกไม่ดุ แบบนั้นก็ค่อยพิจารณาเล่นได้
เพราะสุดท้ายก็ต้องจำไว้เสมอว่า ไม่ว่าจะพิตบูลหรือลาบราดอร์ มันจะเป็นหมาน่ารักของครอบครัวหรือเป็นเครื่องจักรสังหาร มันก็อยู่ที่การเลี้ยงดูทั้งนั้น
อ้างอิง
- Pit bulls went from America’s best friend to public enemy – now they’re slowly coming full circle. http://bit.ly/3tTKytz