คุยกับ ‘พลอย-พลอยไพลิน’ นักแสดงอิสระและนักเดินทาง ที่ใช้ความกลัวบวกความกล้าพาตัวเองออกเดินทางคนเดียว
หากเราพูดถึงหญิงสาวตาโต ไว้ผมหน้าม้า มักใส่แว่นตา พกกล้องถ่ายรูป และมาพร้อมรอยยิ้มอันสดใส อีกทั้งเป็นนักเดินทาง (คนเดียว) ที่หลงใหลในการถ่ายภาพ แน่นอนว่าชื่อของ ‘พลอย-พลอยไพลิน ตั้งประภาพร’ หญิงสาวคนนี้ต้องผุดขึ้นมาในหัวเป็นชื่อแรกๆ
ซึ่งเราอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตากับเด็กสาวคนนั้น และจากเด็กนักศึกษาจบใหม่กระทั่งเติบโตมาเป็นเจ้าของเพจ ‘พลอยเรียนจบแล้วทำไรต่อ?’ สู่การเป็นนักแสดงอิสระ และเป็นเจ้าของช่อง YouTube ถ่าย Vlog ท่องเที่ยวชื่อ ‘Pigkaploy’ ที่ขณะนี้มีจำนวนผู้ติดตามกว่า 900,000 คน
นอกจากนี้พลอยยังมีผลงานด้านการแสดงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นงานภาพยนตร์ ‘Low Season สุขสันต์วันโสด’ รวมถึงงานละครอย่าง ‘หอเฮ้วขนหัวลุก’, ‘มัสยา’, ‘ลูกหลง’, ‘คลื่นผีป่วน’ ‘เพลิงเสน่หา’ แถมเธอยังเคยรับบทนางเอก MV อยู่อีกหลายเพลง
และอย่างที่เรารู้กันดีว่า สังคมปัจจุบันที่มีเหตุการณ์อันตรายเกิดขึ้นง่ายๆ โดยเฉพาะกับ ‘ผู้หญิง’ เพียงแค่ก้าวเท้าออกจากบ้าน เดินอยู่ริมฟุตบาท ขึ้นรถโดยสารสาธารณะ หรือจะทำอะไรก็ตาม ก็ดูจะไม่ปลอดภัยไปเสียหมด ส่วนสาเหตุนั้นก็คงมีหลายปัจจัย ตั้งแต่ตัวบุคคลเอง จนถึงตัวระบบและสภาพสังคมที่ไม่เอื้อให้รู้สึกปลอดภัยหรืออุ่นใจเท่าไรนัก
ทั้งนี้ด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่า ‘พลอย’ หญิงสาวนักเดินทางคนนี้ ไปเอาความกล้าออกเดินทางท่องโลกคนเดียวมาจากไหน รวมไปถึงขอแวะชวนคุยถึงนิสัยใจคอ และการก้าวผ่านสู่ความเป็นผู้ใหญ่ในวัย 26 ปี ไปจนถึงมุมมองการท่องเที่ยว การใช้ชีวิต ตลอดจนอนาคตที่วาดไว้… พาให้เรามาพูดคุยกับพลอยในวันนี้
ทำไมถึงตั้ง Bio ในแฟนเพจตัวเองว่า ‘ทำไรไปเรื่อยๆ เพื่อเรียนรู้และเข้าใจ’
แค่ย้ำเตือนตัวเองแหละ ก็ทำๆ ไปเรื่อยๆ ออกมาดีไม่ดีก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆ จะได้เข้าใจ เหมือนเป็นประโยคที่เราบอกกับตัวเอง
วันเกิดวัย 26 ปีที่ผ่านมา คุณตั้งสเตตัสว่า “เคยคิดว่าการเดินทางคือทุกอย่างของชีวิต มันคือสิ่งเดียวที่เติมเต็มจิตวิญญาณของเรา” แสดงว่าตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว?
มันเป็นแบบนั้นอยู่แหละ (นิ่งคิด) เออ… มันเป็นอย่างนั้นอยู่ แต่ว่าพอโตขึ้น เราต้องคิดว่ามันก็ต้องมีอย่างอื่นที่ควรจะต้องทำบ้างแหละ บางครั้งก็บ้าคลั่งเกินไป ชอบเที่ยวเกินไป จนรู้สึกว่าชีวิตเรามันไม่มีกิจกรรมอื่นๆ เลย
เมื่อก่อนยังชอบถ่ายรูป ชอบเล่นเกม แต่ตอนนี้มันจะมีจังหวะที่ถ้าไม่เที่ยว เราจะว่างมากๆ จนแบบทำอะไรดีวะ มันรู้สึกเศร้ามากนะ ว่าทำไมความสุขมันยากเหลือเกิน ไม่มีอะไรที่ทำให้เรามีความสุขได้เลยสักอย่าง แม้กระทั่งการดูซีรีส์ ดูหนัง ที่เมื่อก่อนเคยเป็นความสุขก็ตาม
“เราก็เลยรู้สึกว่าการเดินทาง มันไม่ควรเป็นทุกอย่างของชีวิต และความสุขมันควรจะง่ายกว่านี้ เรายึดติดกับอะไรเยอะเกินไป มันควรจะมีความสุขกับอะไรเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน”
ทำอย่างไรให้พบเจอความสุขได้ง่ายๆ ในทุกๆ วัน
ไม่รู้เลย ทำตัวไร้สาระมั้ง คือเมื่อก่อนเราจะเป็นคนที่แบบต้องโปรดักทีฟดิวะ ตอนนี้ก็ยังเป็นแหละ แบบเราต้องไปเที่ยว ใช้เวลาให้คุ้ม ต้องไปหาประสบการณ์ชีวิต ไปให้สุด แต่พอตอนนี้มันจะมีจังหวะที่รู้สึกว่า ไม่ต้องก็ได้มั้ง ไร้สาระบ้างก็ได้ นั่งดูซีรีส์ นั่งเล่นเกม นอนเฉยๆ ไม่ทำอะไรก็ได้มั้ง ก็กลายเป็นติดเกมไปเลย เหมือนแบบไม่ต้องเป๊ะมากซะทุกเรื่อง
แล้วมีนิสัยอะไรที่คิดว่าคนอื่นไม่ค่อยรู้บ้าง
จริงๆ เราเป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยชอบเข้าสังคม หมายถึงว่าถ้าไปกินข้าว แล้วบนโต๊ะอาหารไม่ใช่คนที่เรารู้จักเลยสักคน เราจะเงียบมากเลย กระทั่งงานอีเวนต์เอง เราจะเป็นอีกคนหนึ่งที่เงียบมากๆ เพราะว่าเรากลัวคน ไม่ค่อยอยากคุยกับคนใหม่ๆ
เป็นมาตั้งแต่เด็กเลยหรือเปล่า
ไม่นะ เพิ่งมารู้ตอนที่ต้องมาเข้าสังคมเยอะๆ อย่างเวลาไปงานประกาศรางวัล หรือว่าไปงานที่เจอคนแปลกหน้าเยอะๆ แต่ถ้าสนิทแล้วก็จะคุยปกติ
พอเราเป็นคนในวงการบันเทิงที่หลีกเลี่ยงการพบเจอผู้คนไม่ได้ ต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง
ตอนนี้ก็ฝึกอยู่ พยายามคุยกับคนอื่น พยายามสังเกตเวลาคนอื่นเขาคุยกัน ว่าเขาคุยกันเรื่องอะไร เวลาเจอคนแปลกหน้า เพราะเราจะรู้สึกกลัว ไม่รู้จะชวนเขาคุยเรื่องอะไร แบบ เฮ้ย! ท่าทางของเราตอนนี้เป็นธรรมชาติหรือเปล่า ต้องมองตาเขายังไง เราคิดเยอะมากๆ ในใจก็ยังคงมีความกลัวอะไรบางอย่าง
ความกลัวที่ว่า มันเกิดขึ้นจากอะไร
(นิ่งคิด) เออ น่าจะเป็นเพราะเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง คิดเยอะว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเรา เขาจะชอบเราไหม เราทำดีหรือเปล่า ควรพูดยังไงให้ไม่ขัดหูเขา หรือสมมติบนโต๊ะอาหาร เราก็ไม่รู้ตอนไหนควรแทรกเข้าไปตรงไหน ในจังหวะนั้นๆ ก็เลยจะเป็นผู้ฟังดีกว่า
ทั้งๆ ที่มีความกลัว แล้วทำไมถึงกล้าออกเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว
ตอนแรกเลยเพราะว่าไม่มีเพื่อนไปด้วย แต่เราอยากไปเที่ยว ถ้ามัวแต่รอเพื่อนก็ไม่ได้ไปไหนสักที อีกอย่างเราเป็นคนชอบเที่ยวมากๆ อยากออกไปเที่ยว เห็นอะไรเยอะๆ ยิ่งพอเราได้เริ่มลองเที่ยวคนเดียวแล้ว ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ก็ยังคงอยู่ในกรอบที่เรารู้สึกว่า โอเค สบายใจ มีความปลอดภัยระดับหนึ่งด้วย มันมีบางประเทศเหมือนกันที่บางครั้งตื่นขึ้นมาแล้ว เฮ้ย อยากไปว่ะ แต่ก็ต้องรอเพื่อน เพราะเรายังไม่สบายใจ หรือไม่มั่นใจกับการไปเที่ยวคนเดียวที่ประเทศนี้
กลัวด้วยแต่ก็อยากไปเที่ยวด้วย เอาชนะความกลัวตรงนั้นอย่างไร
คือเราเป็นคนขี้กลัวใช่ไหม และเราชอบแพลนทริปที่คิดว่าละเอียดแล้ว แต่ก็มักต้องมีอะไรพลาดตลอด เลยรู้สึกว่าเที่ยวแต่ละครั้งไปทีไรไม่มีอะไร 100 เปอร์เซ็นต์
มันจะมีข้อผิดพลาดเสมอ แต่เพราะทุกครั้งที่กังวลขึ้นมาว่าจะมีอะไรผิดพลาดอีกไหม… ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการตั้งคำถาม ว่ามันจะเกิดเหตุอะไรได้บ้าง ถ้าล้มเข้าโรงพยาบาลแถวไหน
ด้วยความอยากรู้นี้ เราก็จะลุกขึ้นมาค้นหาข้อมูล จนพอเราหาคำตอบได้เราจะมีความสบายใจมากขึ้น แล้วก็กลัวน้อยลง แต่ก็ยังกลัวอยู่แหละ (ยิ้ม)
การจะไปเที่ยวคนเดียวต้องขออนุญาตทางบ้านไหม แล้วต้องวางแพลนทุกครั้งหรือเปล่า
ขออนุญาตที่บ้านยากแค่ทริปแรก แต่พอเขาเห็นว่าเราดูแลตัวเองได้ เขาก็ไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่แล้ว อาจจะมีพี่สาวที่โทรมาหา โทรมาเตือนบ้าง ส่วนการวางแพลนแล้วแต่สถานที่เลย แต่ส่วนใหญ่เราก็จะวางไว้คร่าวๆ แล้ว คือมีในใจว่าอยากไปที่ไหน แล้วบ่อยครั้งที่จะเป็นทริปแบบตีตั๋วขาเดียวก็คือไป แต่ยังไม่รู้ว่าจะกลับตอนไหน
ออกเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวครั้งแรกรู้สึกอย่างไรบ้าง ยากไหม
ตอนนั้นก็ยังเป็นเด็กอยู่ อย่างที่บอกการมองโลกมันยังเป็นความกลัวแบบเด็กๆ แค่ว่าเราจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง กลัวพาสปอร์ตหาย กลัวขาหักระหว่างทาง ไม่ได้กลัวแบบมีคนลักพาตัวไปอะไรขนาดนั้น
ซึ่งเราก็รู้สึกว่าตัดสินใจถูกมากที่ตัดสินใจไป ไม่ได้หมายถึงแค่ทริปนั้น แต่มันคือช่วงเวลานั้นจริงๆ เพราะเราเห็นความแตกต่างเลยว่า คนอื่นปฏิบัติกับเราไม่เหมือนกัน ความเป็นเด็กในตอนนั้นทุกคนจะเอ็นดูมากกว่า แบบ เฮ้ย เรียนจบอะไรมาเหรอ ทำอะไรต่อ แต่พอโตขึ้นมาช่วงนี้นี่แหละ บทสนทนาก็จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ไม่ได้แคร์ หรือเอ็นดูเราไปตลอด เป็นเหมือนคนปกติทั่วไปที่มาเที่ยวคนเดียว
ทริปทรานส์ไซบีเรีย เป็นทริปแรกที่คุณไปคนเดียว มันปลดล็อกอะไรคุณบ้าง
ปลดล็อกในสิ่งที่เรารู้สึกว่าเราทำไม่ได้แล้วมันกลับทำได้ คือการเที่ยวคนเดียวนี่แหละ
หมายถึงว่าเราคิดว่าระหว่างทาง เราคงต้องกลับกลางทางแน่เลย แต่พอมันไปถึงยุโรปได้แล้วก็รู้สึกว่า เออ เราทำได้นี่หว่า ถ้าอย่างนั้นอะไรที่มันยากๆ ในอนาคตเราก็ต้องทำได้แหละวะ
การไปคนเดียวมันดูน่ากลัว แล้วยิ่งเป็นผู้หญิงด้วย มีวิธีการจัดการหรือเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
เราว่าสติสำคัญ ต้องโฟกัสกับสถานที่รอบด้าน ไม่ควรเล่นมือถือ แม้บางครั้งเราจะเล่นนะ แต่ไม่ได้เล่นไถเฟซบุ๊ก เล่นเกม ROV แต่มันก็คือหยิบขึ้นมาดู Google Maps ซึ่งแค่นี้ก็อันตรายแล้ว แค่เราก้มหน้าดูว่าร้านที่เราจะไปอยู่ตรงไหน แค่เสี้ยววินาทีนั้นเราไม่เห็นรอบๆ ตัว ก็ถือว่าอันตรายมากๆ เราต้องหยุดแล้วดูก่อน พอโอเคแล้วค่อยเดินต่อ ไม่ใช่แบบเดินไปดูไป หรือยิ่งการใส่หูฟังฟังเพลง ยิ่งอันตราย เราคิดว่าต้องทั้งเห็น ได้ยิน และได้กลิ่นทุกอย่าง ตา หู จมูกต้องไว ต้องมีสติทุกอย่าง
ไปเที่ยวคนเดียวมาประมาณ 10 ทริปแล้ว มีทริคไหนที่คิดว่าใช้แล้วเวิร์ก
ทริคนี้ใช้ได้ยาวแทบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ คือการชวนคนอื่นคุย อย่างที่บอกเราเป็นคนที่ไม่ค่อยคุยกับคนแปลกหน้า ถึงแม้ว่าจะอยู่ในโฮสเทลก็ตาม จะแบบฉันนอนนะ ไม่ค่อยคุยกับคนข้างๆ แต่พอเราได้ใช้ทริคนี้ เพียงแค่เริ่มด้วยคำถามว่าคุณมาจากไหน บทสนทนานั้นจะเกิดการชวนคุยกันยาวมาก
จริงๆ การเที่ยวคนเดียวมันสนุกไหม ไม่เหงาบ้างเหรอ
มันไม่ได้มีความพยายามว่าต้องสนุก คือเราไปเที่ยวเพราะเราชอบอยู่แล้ว เลยสนุกในตัวมันเอง ไม่ได้แบบเราต้องทำอะไรให้สนุก แต่ก็มีหลายๆ ครั้ง หลายช่วงจังหวะเหมือนกันที่เรารู้สึกเหงา คิดถึงบ้าน จนไม่อยากออกไปไหน ไม่อยากไปเที่ยวคาเฟ่ ไม่อยากเห็นคนอื่นมาเที่ยวด้วยกันเป็นครอบครัว
แต่ความเหงามันก็มีเสน่ห์ดีนะ บางทีเราก็เอาอารมณ์ความเหงามานั่งขบคิดอะไรบางอย่างของตัวเองที่เพ้อเจ้อไปเรื่อยๆ เลยไม่ได้ต้องมีวิธีการจัดการความเหงายังไง แค่เที่ยวๆ ไปเรื่อยๆ ความเหงามันก็จะหายไปเอง
การได้เดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศ ทำให้ได้เรียนรู้อะไรบ้าง
ทำให้เราเห็นอะไรที่ไม่ได้เห็นมากขึ้น อย่างที่เราบอกก่อนหน้านี้ว่า โลกที่เราเคยมองว่ามันสวยงาม มันก็มีความโหดร้ายอยู่เหมือนกัน คนโกง คนเข้ามาตีสนิทเพื่อหวังผลประโยชน์จากเรา
คิดว่าการไปเที่ยวคนเดียวมีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง
ข้อเสียเหรอ อย่างแรกที่เรานึกขึ้นได้คือ กินข้าวได้น้อย เพราะเวลาไปเที่ยวเราอยากกินหลายๆ เมนู อยากลองอะไรหลายๆ อย่าง แต่ไปคนเดียวมันสั่งมาก็กินไม่หมด เลยคิดว่าถ้ามีเพื่อนไปด้วยกันมันยังแชร์กันได้ หรืออย่างค่าทัวร์ ค่าทริปมันก็แพงมากๆ เพราะต้องจ่ายทุกอย่างคนเดียว จะนั่งรถก็ต้องเหมาทั้งคัน จ้างไกด์ก็ต้องเหมาคนเดียว
ส่วนข้อดี แน่นอนว่ามันคือการที่เราได้อยู่กับตัวเอง ค่อยๆ ช้าๆ ค่อยๆ เที่ยวตามจังหวะของตัวเอง ไม่ต้องรีบเร่งตื่นเช้าอะไรมาก เราไปได้โดยไม่ต้องรอใครด้วย และที่สำคัญทำให้เรามั่นใจในตัวเองมากขึ้น มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้นด้วย แถมยังได้เพื่อนใหม่ๆ เยอะมากเวลาไปคนเดียว แต่ตอนนี้ก็ยังกลัวทุกครั้งที่จะไปคนเดียว มีความกังวลอยู่เหมือนเดิมนะ
ย้อนกลับไปจาก ‘พลอยเรียนจบแล้วทำไรต่อ?’ สู่ ‘Pigkaploy’ รสชาติของการเติบโตมันเป็นแบบที่เราคาดคิดไว้ไหม
ก็เป็นอย่างที่เราคาดคิดไว้นะ ว่ามันคือความยากของชีวิต ที่ผู้ใหญ่มักชอบบอกๆ กันว่า เออ เดี๋ยวโตเป็นผู้ใหญ่ก็รู้เองแหละว่าชีวิตมันยาก พอเอาเข้าจริงๆ มันก็ยากอย่างที่คิดจริงๆ
ซึ่งเราเคยคิดเล่นๆ เหมือนกันว่า เออ ทำไมการโตเป็นผู้ใหญ่มันเหนื่อยจัง มันยาก มันต้องทำหลายๆ อย่างขนาดนี้เลยเหรอ มันไม่ใช่เรื่องแบบโดนหักหลัง เพื่อนเกลียด แต่ความจริงคือการที่เราต้องรับผิดชอบอะไรหลายๆ อย่าง ที่เยอะมากๆ เรื่องภาษี การลดหย่อนภาษี ค่าประกันชีวิต ค่าน้ำ ค่าไฟ แล้วยิ่งพอโตเป็นผู้ใหญ่ เวลาผ่านไปเท่ากับคุณพ่อคุณแม่ก็เริ่มแก่ลง แสดงว่ากำลังในการหาเงินของที่บ้านก็จะเริ่มน้อยลง เราก็ต้องหาเพิ่มมากขึ้นแทน เพื่อจะทำให้พวกเขาสบายใจ
แม้การเติบโตเป็นผู้ใหญ่จะเป็นเรื่องยาก แต่ก็ต้องเคยวาดหวังกับอนาคตไว้อยู่บ้าง?
เราอยากเป็นเราในแบบเมื่อก่อน อยากเป็นเราในตอนเด็ก แต่อยากเป็นตอนเด็กที่เก่งขึ้น คือเราคิดถึงตอนเด็กของตัวเองที่เป็นคนร่าเริง สดใส หัวเราะง่าย เรายังอยากเป็นคนคนนั้นตลอด ไม่อยากให้ความเป็นผู้ใหญ่มันกลืนกินความเป็นตัวเรามากเกินไป อย่างตอนนี้เรารู้ตัวแล้วว่าเรานิ่งขึ้นเยอะ แต่ก่อนเราเป็นคนชอบเล่นใหญ่ ซึ่งเราชอบตัวเองที่เป็นแบบนั้นนะ หัวเราะง่าย ไม่ต้องคิดเยอะอะไร
แล้วอีกอย่างเราเป็นคนไม่เคยมองใครว่าอันตราย แต่พอเริ่มโต เราก็เริ่มระวังมากขึ้น เพราะเราเห็นหลายคนที่เข้ามาเพราะเรื่องผลประโยชน์ ซึ่งเราไม่ชอบที่ตัวเองตัดสินคนอื่น เราเลยชอบความเป็นตัวเองเมื่อก่อนที่สดใส แต่เป็นเวอร์ชั่นที่เก่งขึ้น มีประสบการณ์ไปท่องเที่ยวมาแล้ว เห็นมุมมองโลก เข้าใจโลกเยอะขึ้น
ยกตัวอย่างในเรื่องบริบทของสังคมการเมือง ที่ตอนเด็กเราอาจจะยังไม่เข้าใจ พอมันเริ่มเข้าใจแล้ว เลยไม่สดใสเท่าเดิมมั้ง ย้อนแย้งเหมือนกันนะ (หัวเราะ)
อารมณ์แบบตอนนั้นยังมองโลกเป็นทุ่งลาเวนเดอร์มากๆ แต่พอเวลาค่อยๆ เปลี่ยนผ่านไป เราเลยยังอยากอยู่ในโมเมนต์ที่เรามองโลกสวยเป็นสีชมพูแบบนั้นอยู่ เพราะทำให้เรารู้สึกดี มีความสุข โลกนี้น่าใช้ชีวิตจังเลย แต่พอมาตอนนี้บางครั้งเราก็อยากลาออกจากการเป็น Pigkaploy อยากเป็นคนห่วยแตกแบบไม่ทำอะไรได้ไหม ผิดพลาดบ้างก็ได้ไหม
ถ้าอย่างนั้นมีประสบการณ์ไหนบ้างที่ทำให้รู้สึกว่า ‘เราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว’
เหมือนเราพึ่งตัวเองได้แล้ว เมื่อก่อนตอนเด็กๆ เราจะมีทั้งรุ่นพี่ รุ่นน้อง มีเพื่อนคอยช่วย คอยเตือนส่งงานอาจารย์ แต่พอโตขึ้นทุกคนต่างมีภาระหน้าที่เป็นของตัวเอง การมีเพื่อนแบบเดิมๆ มันไม่มีอีกแล้ว เพราะฉะนั้นในช่วงที่เป็นผู้ใหญ่ หรือทุกๆ ปัญหา มันไม่ได้มีคนรับฟังเราขนาดนั้นแล้ว เลยทำให้เราต้อง ‘ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน’ มากขึ้น
แล้วยิ่งใช้ชีวิต ยิ่งค้นพบว่าเพื่อนน้อยลง มันไม่ได้แบบเกลียดกัน หรือทะเลาะกันนะ แต่แค่ทุกคนเขามีงาน ทุกคนก็ต้องแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง
ณ ตอนนี้คิดว่ามีอะไรอีกไหมที่อยากทำ
อุ้ย! จริงๆ ชีวิตก็ยังมีหลายๆ อย่างที่อยากทำ แล้วก็ยังคงอยากไปเที่ยวแบบเยอะๆ หลายๆ ประเทศ แล้วก็เปิดโฮสเทลหรือโรงแรม ที่เหมือนให้คนมาเที่ยวบ้านเรา อยากเป็นคนแก่ที่เจ๋งอะ มีรูปภาพเราไปเที่ยวทั่วโลก ให้คนที่เข้ามาพักดูว่าเราไปไหนมาบ้าง ได้มานั่งคุยกันว่าเดินทางยังไง
อีกอย่างเลยเราอยากสร้างคุณค่าให้กับโลกใบนี้ หมายถึงอยากทำอะไรสักอย่างที่ทำให้โลกใบนี้ดีขึ้นได้ อาจจะไม่ต้องยิ่งใหญ่อลังการ แต่ว่าเราอยากจะเป็นส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกใบนี้ขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ดีได้ ในด้านใดด้านหนึ่ง เราเกิดมาทั้งทีเราอยากรู้สึกมีคุณค่าก่อนที่จะจากโลกนี้ไป
อยากตายไปแล้วมีคนบอกว่า เออ เนี่ย องค์กรหรือมูลนิธินี้ถูกสร้างโดย ‘พลอยไพลิน ตั้งประภาพร’
สุดท้ายนี้ มองว่าตัวเองใช้ชีวิตคุ้มแล้วหรือยัง
หลายคนเขาจะบอกว่าคุ้ม เฮ้ย ชีวิตแกเนี่ยคุ้มแล้ว แต่เราก็จะรู้สึกว่าเราอยากทำอะไรอีกหลายอย่าง ในมุมคนอื่นมองว่าไปเที่ยวคุ้มแล้ว แต่เรามองว่ายังไม่คุ้ม ไม่สุดอะ เพราะยังไม่ได้ทำอะไรอีกเยอะเหมือนกัน ทุกคนมีเวลาเท่ากัน เราแค่เอาเวลาไปใช้ชีวิตทุ่มเทกับการเที่ยว แต่เราก็ไม่ได้เอาเวลาไปทุ่มด้านอื่นๆ แบบคนอื่น อย่างการเรียนภาษา การทำธุรกิจ แม้กระทั่งการไปเที่ยวกลางคืน เราก็ยังไม่เคยไป เราก็อยากมีประสบการณ์แบบที่คนอื่นได้รับเหมือนกัน
ขอบคุณสถานที่: The Jim Thompson Art Center
10/1 ซอยเกษมสันต์ 2 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 (แผนที่)