5 Min

มุมมองชีวิตจากเด็กกลัวสังคมกับการกลายมาเป็นเด็กฝึกงาน(แสดง) ของ ‘นนท์-ศดานนท์’ ที่แจ้งเกิดกับภาพยนตร์ ‘ดิว ไปด้วยกันนะ’

5 Min
1066 Views
13 Jun 2021

พูดคุยกับ “นนท์-ศดานนท์ ดุรงคเวโรจน์” เด็กหนุ่มวัย 20 ปี ที่แจ้งเกิดจากผลงานภาพยนตร์ดิว ไปด้วยกันนะ ซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สาขาศิลปะภาพยนตร์ เขาโดดเด่นขึ้นมามากในเรื่องของฝีมือการทำงาน เพราะการแสดงภาพยนตร์หรือซีรีส์เพียงไม่กี่เรื่อง แต่กลับสามารถเป็นที่จดจำ และเป็นที่กล่าวขานกันอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา

ดังนั้นเรามาทำให้ความรู้จักมุมมองชีวิตบนเส้นทางการแสดงของเขากันให้มากขึ้น ผ่านบทสัมภาษณ์นี้กันเลย

ตอนไหนที่เริ่มรู้ตัวเองว่าชอบการแสดง?

เมื่อตอนเรียนม. 6 เป็นช่วงหาตัวเองของเด็กหลายๆ คน ซึ่งเราไม่รู้ว่าอยากทำอะไร แต่พอดีมีโอกาสจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนที่มีงานประจำทุกปี มีคอนเสิร์ต มีละครเวที เราเลยลองไปแคสดู ปรากฏว่าสนุก รู้สึกชอบการแสดง ซึ่งงานแรกที่แคสได้คือ งานโฆษณาของเดอะมอลล์ช่วงวันคริสต์มาสประมาณเมื่อ 4 ปีที่แล้วก็แปลกๆ สนุกๆ ดี

อะไรที่ทำให้แน่ใจว่าจากความชอบในการแสดง จนตัดสินใจเรียนสายภาพยนตร์?

พื้นฐานเป็นคนชอบดูหนังอยู่แล้วด้วย แต่ปกติเราเป็นคนชอบเก็บตัว เล่นแต่เกม เราเลยรู้สึกว่าไม่เคยลอง ไม่เคยทำ มันเป็นอะไรที่ใหม่มาก เรารู้สึกว่าการแสดงให้ชีวิตอะไรกับเราในการลองเป็นคนอื่นดู ได้ขยับร่างกาย ขยายความรู้สึกออกมา และได้เรียนรู้ไปพร้อมกับความสนุก จนค้นพบว่า เฮ้ย!เราน่าจะทำได้แล้วก็ลองมาเรื่อยๆ

จากเด็กติดเกมสู่เส้นทางงานแสดงมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง?

เรามีระเบียบ ตรงต่อเวลามากขึ้น มีความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นเยอะ เพราะจากเดิมที่เล่นแต่เกมจริงๆ ไม่ทำอะไรอย่างอื่นเลย เพราะเวลาเราเล่นเกมทำให้รู้สึกมีอะไรยึดติดตลอดเวลา ไม่ได้โฟกัสกับอย่างอื่นเลยนอกจากเกม กลับกันพอมีงานก็ทำแต่งานเลย เราก็ค่อยๆ ปรับตัว พยายามบาลานซ์ให้ได้ดี ทำให้งานช่วยชีวิตไว้เยอะเหมือนกัน

คิดว่าตัวตนที่แท้จริงเป็นยังไง?

เราเป็นคนจริงใจ กวนตีนเล็กน้อยถึงปานกลาง หรือถึงมากเลยมั้งบางที แล้วก็เป็นคนขี้ตกใจ ขี้แพนิก และกลัวสังคมอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน โดยเฉพาะตอนทำงานหลายๆ ครั้ง เราไม่ค่อยชินกับสภาพแวดล้อมคนเยอะๆ

เป็นคนกลัวสังคมแต่ต้องทำงานกับคนเยอะๆ ปรับตัวอย่างไร?

เรารู้สึกว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ ‘เพื่อนร่วมงาน’ เราเลยพยายามเอาตัวเองออกจากเซฟโซนอยู่บ่อยๆ จนเริ่มโอเคที่จะออกไปคุยกับคนอื่นมากขึ้น เพราะจริงๆ เราเรียนอยู่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนมา 12 ปี ไม่ได้ไปเจอสังคมอื่นเลยหรือเจอน้อยมาก เราเลยไม่ชินกับการออกไปเจอคนอื่นที่แบบใหม่ทุกคน และทุกครั้ง เราจึงต้องพยายามปรับตัวเข้าหากับคนทำงานด้วยกัน

ตอนนี้คิดว่าตัวเองเป็นนักแสดงแล้วยัง?

เรามองเป็นมือใหม่มากๆ เลย เรียกว่าเป็นเด็กฝึกงานเลยก็ได้ และยิ่งช่วงนี้เรารู้สึกสับสนว่าจริงๆ แล้วอยากทำอะไรกันแน่ ซึ่งพอย้อนกลับไป 4 ปีที่แล้วมันเป็นจุดตั้งต้นที่ดี แต่ด้วยทุกวันนี้โควิดด้วย งานไม่มี มันก็เบื่อวะ เราทำอะไรได้บ้างวะ เราเริ่มตั้งคำถาม ส่วนสนุกยังสนุกกับมันอยู่นะ แต่จะตามหาโอกาสที่ดีได้มากน้อยขนาดไหนแค่นั้นเอง

มีชื่อเสียงขนาดนี้ยังไม่เป็นนักแสดงในเข้าวงการบันเทิงอีกเหรอ?

เราไม่รู้ว่าได้เข้าวงการบันเทิงไหม (หัวเราะ) แต่น่าจะเริ่มมีหน้ามีตาจากภาพยนตร์ดิว ไปด้วยกันนะ

ทำไมถึงไม่ค่อยชอบบอกว่าตัวเองอยู่ในวงการบันเทิง?

เพราะเราไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตจริงเราเป็นคนบันเทิงขนาดนั้น การทำงานของเราคือ ได้เจอคนใหม่ๆ รวมถึงประสบการณ์ และการแลกเปลี่ยน ที่สำคัญเราได้ไปใช้ชีวิตใหม่กับพวกเขา มันคือการมีชีวิต ไม่ใช่การบันเทิง

นอกจากงานการแสดง อยากลองไปทำอะไรอย่างอื่นไหม?

จริงๆ ก่อนหน้านี้เราเคยลองสตรีมเกมมาก่อนแต่ลองแล้วไม่ใช่ทางเท่าไร (นิ่งไปสักพัก) เราอยากไปบวชอะ เอาจริงๆ นะ เราอยากไปบวช เพราะรู้สึกว่ายังหา Peace of mind ของเราไม่ได้ขนาดนั้น อยากให้มันนิ่ง สงบ อยากเข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง แบบไม่มีอคติ ไม่มีข้อโต้แย้ง แค่เห็นในสิ่งที่เป็น

ทำไมถึงอยากเข้าใจในชีวิตมากขึ้น?

เราคิดว่านำเอามาใช้ในการทำงานได้ เพราะการแสดงคือ ‘การมีชีวิต การใช้ชีวิต’ เหมือนเราตื่นมาแล้วคิดว่าจะลุกขึ้นมาแล้วทำอะไรหรือจะไม่ลุกหรือไม่ทำอะไร

การเข้าใจชีวิตคนเลยจำเป็นมากในการแสดง เพราะต้องเล่นกับความรู้สึกของคนตลอด จึงควรเข้าใจรูปแบบของตัวละครนั้นว่า มีพื้นฐานชีวิตเป็นอย่างไร เขาเป็นคนแบบไหน ถ้าเขาแย่เราจะรักยังไง แต่ถ้าเขาดีเราจะเรียนรู้เขายังไงบ้าง

งั้นตอนนี้รู้สึกตัวเองยังแสดงผลงานออกมาไม่ดีพอเหรอ?

สำหรับเราหรืออาจจะสำหรับหลายๆ คนไม่มีคำว่าดีพอหรอก จริงๆ เราเป็นคนที่ง่ายมาก ถ้าเจออะไรที่ใช่แล้วหรือเจอความสนุกแค่นั้นจบ แต่ถ้าถามว่าอยากได้อะไรเพิ่มไหม ก็อยากได้นะ เพราะมันก็ยังคงมีสิ่งที่รู้สึกหลังจากดูผลงานตัวเองว่าไม่เป็นตามที่คาดหวังหรือไม่เป็นไปตามที่อ่านในบท

เราเลยแอบผิดหวังบ้าง แต่ก็โอเคถือว่าเป็นไปในแบบของเรา

คิดว่าเราตอนนี้บนเส้นทางงานแสดงมาไกลแล้วไหม?

คิดว่าเพิ่งเริ่มต้น เราเคยคุยกับรุ่นพี่ที่อยู่ในวงการโฆษณา ละครเวที เขาบอกว่าการเป็นนักแสดงเน้นประสบการณ์จริงๆ แล้วขั้นต่ำประมาณ 10 ปี ซึ่งเรายังไม่ถึงครึ่งเลย ส่วนมาไกลไหม เราว่ามาไกลในอายุเท่านี้ แต่ก็ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ซึ่งเราแฮปปี้นะ แต่มันจะมีความลำบากบ้างตรงที่เรามีข้อจำกัดเยอะเช่น การเดินทางไม่สะดวก อยู่ไกล บางครั้งพ่อแม่เป็นห่วง เราเลยไม่ได้ไปทำงาน

เคยรู้สึกเสียดายที่พลาดโอกาสบ้างไหม?

ไม่เสียดายนะ มันไม่ใช่ไม่เสียดายในทางที่ไม่ดี เพราะเราเข้าใจในข้อจำกัดของเรา ยอมรับในความเป็นไปได้ และไม่ได้ในหลายๆ อย่างอยู่แล้ว ถ้ามันทำไรไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่ได้ไปมัวนั่งคิดอะไร เราก็จะบอกเขาว่า “ขอโทษจริงๆ ครับพี่ เดี๋ยวเราเจอกันใหม่” เศร้าจัง

ชื่นชอบบทบาทไหนที่เคยเล่นมามากที่สุด?

เราชอบตัวละคร ‘โต้ง’ ในฉลาดเกมส์โกง เดอะซีรีส์ เพราะเป็นกองที่สนุกมาก ทุกคนเป็นกันเอง และทุกคนเป็นงานกันมาก เราชอบกอง GDH มากๆ พูดแล้วก็คิดถึง ส่วนบทของโต้งก็คือ ไม่เคยลอง เรามองว่าใหม่มากๆ ใหม่สำหรับทีวีไทยหรืออาจจะไม่ก็ไม่รู้ แต่เราไม่เคยเห็นมาก่อน เราเลยอยากใส่สิ่งต่างๆ แปลกๆ ใส่สิ่งคนดูไม่คาดคิด

โดยเฉพาะ ‘โต้ง’ คือพื้นฐานเด็กที่หลายๆ คนโดนกันมากจากคนในครอบครัว เราเลยเซตไว้ว่า โต้งเป็นลูกคนรวย อยู่แต่กับเกม พ่อแม่ทำงานนอกบ้านไม่ว่าง ขาดความอบอุ่น ไม่มีคนคอยชี้แนะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นดีหรือไม่ดีหรือสิ่งที่ทำมันถูกต้องไหม มันมาจากการไม่มีคนชี้แนะตั้งแต่ต้น โต้งเลยเป็นหนึ่งในความโชคร้ายของสังคมที่ไม่ใช่ความผิดพลาด

มีบทบาทไหนที่อยากเล่นไหม?

ยากที่จะจินตนาการขึ้นมาเหมือนกัน แต่เราค่อนข้างจะอินกับหนังเดือดๆ บ้าเลือด แอคชั่น-ทริลเลอร์หรือสืบสวน หลายๆ ครั้งเราจะชอบแนว.. มันแปลกไหมวะ พวกแก๊งแม็กซิกัน แก๊งฝรั่ง เรารู้สึกกว่าคาแรกเตอร์น่าสนใจ เขาไม่ได้มาเพื่อร้ายแต่เขามาเพื่อแก้ไขในสิ่งที่มันผิดพลาด แต่แค่เขาไม่ได้แก้ไขด้วยวิธีที่ถูกต้องตามหลักกฎหมาย เพราะตัวละครมีอะไรที่แบกรับซึ่งมันน่าสนใจ อีกอย่างคือมันเท่ด้วย และเราอยากมีรอยสักแบบในหนัง แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะสักแบบไหน

ตั้งเป้าหมายในอนาคตของตัวเองไว้ยังไง?

เราไม่ค่อยอยากเครียด ไม่อยากคิดเยอะ จนกดดันตัวเอง เราเลยปล่อยทุกอย่างให้หลวมๆ แต่เรามีความฝันคือ การมีครอบครัว มีบ้านเล็กๆ ไม่ต้องใหญ่มาก ขอแค่มีความสุขในบ้านเล็กๆ งานไม่ต้องทำก็ได้ขอแค่มีความสุข ซึ่งความสุขน่าจะเป็นพื้นฐานของทุกคนเลยแหละ

อย่างไรก็ตามหวังว่าทุกคนน่าจะได้รู้จัก รวมถึงเข้าใจมุมมองชีวิตของนนท์-ศดานนท์ เด็กหนุ่มที่ภายนอกอาจจะดูเป็นเด็กกล้าบ้าบิ่น แท้จริงแล้วเขาก็เป็นคนกลัวสังคม และอ่อนไหวอยู่เหมือนกัน ทั้งนี้คงเป็นเพราะนนท์สามารถแยกแยะระหว่างการทำงานกับการใช้ชีวิตออกจากกันได้ อีกทั้งยังเต็มที่กับทุกงานที่ทำ จนนับว่าเป็นนักแสดงมือใหม่ที่มีอนาคตไกลอย่างแน่นอน

สุดท้ายเชื่อว่าหลายๆ คนจะคอยเป็นกำลังใจ และติดตามผลงานของ ‘นนท์-ศดานนท์’ กันต่อไปเรื่อยๆ

ทั้งนี้สามารถรับฟังเรื่องราวของ นนท์-ศดานนท์ ได้เพิ่มเติมที่: https://youtu.be/-J0QR1ruXCU