3 Min

รู้ไหม เป๊ปซี่เคยโปรโมตว่าตัวเองคือ ‘เครื่องดื่มของคนดำ’ และนั่นคือ ‘นวัตกรรมทางการตลาด’ ในยุคนั้น

3 Min
1039 Views
18 Jul 2022

ถ้าจะพูดถึงประวัติการต่อสู้กันระหว่างโค้กกับเป๊ปซี่เรียกได้ว่าน่าจะเป็นมหากาพย์ที่ถ้าจะทำเป็นซีรีส์ก็คงจะไม่จบภายในซีซั่นเดียว อย่างไรก็ดี ประเด็นก็คือมันมีเรื่องมันๆ ให้พูดถึงในตลาดน้ำดำเต็มไปหมด และจริงๆ ก็ไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมน้ำอัดลม แต่มันเป็นประวัติศาสตร์ของระบบทุนนิยมเอง

ที่เราจะเล่าในที่นี้ก็คือ เรื่องที่เป๊ปซี่นั้นได้พัฒนาสิ่งที่นักการตลาดยุคหลังเรียกว่าการตลาดเฉพาะกลุ่มมาโดยบังเอิญในช่วงทศวรรษ 1940

ตรงนี้สำหรับคนเคยเรียนการตลาดอาจคุ้นๆ เพราะประวัติศาสตร์การตลาดที่เขาสอนพื้นฐานเลยก็คือ การตลาดเกิดจากการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมมวลชน มันคือไอเดียว่าเราจะทำยังไงให้สินค้าที่ผลิตมาเยอะๆ ขายให้ได้ มันเริ่มมาแบบนั้น

แต่เขาก็จะสอนอีกว่า เมื่อถึงยุคหนึ่งแนวคิดทางการตลาดเปลี่ยน คือไม่ได้มองผู้บริโภคเป็นมวลชนอีก แต่มองเป็นคนกลุ่มต่างๆ ที่มีความต้องการต่างกัน และต้องการการทำตลาดต่างกัน ซึ่งการตลาดเฉพาะกลุ่มหรือที่เรียกทางเทคนิคกว่า ‘Niche Marketing’ ก็เกิดขึ้นตอนนั้นแหละ

ถามว่าตอนนั้นที่ว่าคือตอนไหน คำตอบคือช่วงทศวรรษ 1940 และมันเกิดขึ้นจากฝีมือของเป๊ปซี่

ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1920-1930 เป๊ปซี่นี่อยู่ในสถานะร่อแร่มาก บริษัทเคยล้มละลาย เคยถูกขายทอดตลาด และตอนนั้นถ้าโค้กจะเทคโอเวอร์ก็ทำได้ และทำได้หลายครั้งด้วย แต่ก็ไม่ทำ เพราะโค้กคิดว่าเป๊ปซี่ในตอนนั้นยังไงก็เจ๊ง แล้วจะซื้อไปทำไม

แต่พอเปลี่ยนมือบริหารมาเรื่อยๆ ในทศวรรษที่ 1940 เป๊ปซี่ก็เริ่มเกิดไอเดียการตลาดแปลกๆ ขึ้น โดยมองที่จุดอ่อนของโค้ก

โค้กไม่เคยทำการตลาดกับพวกคนดำในอเมริกา ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร เพราะไม่มีแบรนด์ใหญ่ในอเมริกาแบรนด์ไหนรู้สึกว่าต้องทำการตลาดกับคนดำแนวคิดทางการตลาดยุคนั้นสุดท้ายก็ต้องมุ่งขายสินค้าให้มวลชนซึ่งคำแปลก็คือ ขายให้คนขาวที่เป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม

แต่สิ่งที่เป๊ปซี่ทำและพลิกโฉมการตลาดตั้งแต่ตอนนั้นก็คือ เป๊ปซี่ตั้งแผนกคนดำขึ้นเพื่อทำการตลาดคนดำโดยเฉพาะ ลงไปทำตลาดในย่านคนดำ ลงโฆษณาในนิตยสารคนดำ ทำโปสเตอร์มีรูปคนดำ ไปจนถึงจ้างพรีเซนเตอร์เป็นนักดนตรีแจ๊สคนดำคนดังอย่าง ดุค เอลลิงตัน (Duke Ellington) 

แน่นอนว่า อะไรพวกนี้ในยุคปัจจุบันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ทำกันจนเกร่อด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเป๊ปซี่ทำแบบนี้ในยุคที่หลายๆ รัฐในอเมริกายังมีนโยบายเหยียดผิวอย่างเปิดเผยอยู่ คือมันยิ่งกว่าก้าวหน้าที่ทำแบบนี้ได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่เกินจินตนาการด้วยซ้ำ

และเป๊ปซี่ก็ทำสำเร็จ กลายเป็นเครื่องดื่มขวัญใจของคนดำไปพักใหญ่ ก่อนที่กระแสขบวนการวัยรุ่นยุคทศวรรษ 1960 จะเกิดขึ้น ทำให้เป๊ปซี่ทำการรีแบรนด์ตัวเองว่าเป็นสินค้าสำหรับคนรุ่นใหม่มาตั้งแต่ตอนนั้น

เราคงไม่เล่าถึงประวัติศาสตร์ของเป๊ปซี่ และความพยายามที่จะลบภาพลักษณ์เครื่องดื่มของคนดำออกไปจากตัวเอง

แต่ประเด็นคือ สิ่งที่เป๊ปซี่ทำในทศวรรษ 1940 คือความกล้าหาญทางการตลาดมาก เพราะในยุคต่อๆ มา มันทำให้ไอเดียการตลาดเปลี่ยนไปเลย เพราะเริ่มมีการคิดแล้วว่าสินค้าตัวนี้ควรจะทำตลาดกับคนกลุ่มย่อยกลุ่มไหน ซึ่งมันสะท้อนไปถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ด้วย (เช่น ถ้าจะเอาตัวอย่างร่วมอุตสาหกรรมแล้ว ไดเอทโค้ก ที่ออกมาในปี 1982 ก็เป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อขายผู้หญิง’)

ซึ่งก็แน่นอน ตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ที่อเมริกาแยกคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าออกจากกัน ไอเดียของสินค้าที่จะขายทุกคนมันเป็นไปไม่ได้แล้ว แบรนด์ต่างๆ ต้องเลือกเลยว่าจะเอาแบบไหน ซึ่งยุคหลังจากนั้นไอเดียการทำตลาดแบบมวลชนก็ค่อยๆ เสื่อมไปเรื่อยๆ เพราะคำว่ามวลชนมันไม่มีจริงแล้ว มีแต่สังคมที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ที่คนกลุ่มหนึ่งไม่ชอบอีกกลุ่ม และถ้าจะขายของ ก็ต้องทำการตลาดแยกกันสำหรับคนแต่ละกลุ่ม

จนถึงยุคสมัยปัจจุบัน สิ่งที่เราต้องไม่หลงลืมก็คือ เป๊ปซี่คือคนที่เริ่มทำสิ่งนี้ คือแบรนด์ที่เริ่มคิดจะขายสินค้าให้กับคนที่ไม่มีใครคิดจะขายและสร้างแนวคิดใหม่ทางการตลาดขึ้นมาอย่างบังเอิญ

ก็ไม่แปลกอะไรที่ความกล้าหาญในครั้งนั้นถ้าเอามาคิดในบริบทปัจจุบันมันก็ชวนให้เราจินตนาการว่า ในสังคมที่แยกเป็นเสี่ยงๆ มันอาจมีตลาดบางอย่างที่ไม่ได้รับการตอบรับอยู่ เพียงเพราะไม่มีใครคิดจะเข้าไปบุกเบิก

ซึ่งใครเข้าไปได้ก่อนก็จะเป็นผู้บุกเบิกและอาจจะรวยได้ด้วยซ้ำ

อ้างอิง