3 Min

จาก ‘รันเวย์ประชาชน’ สู่ ‘เรือนจำ’ นักกิจกรรมแต่งชุดไทยถูกจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ‘ข้อหาละเมิด ม.112’

3 Min
372 Views
15 Sep 2022

นิวจตุพร แซ่อึง นักกิจกรรมทางการเมืองที่สวมชุดไทยเข้าร่วมการชุมนุม #ม็อบ29ตุลา เมื่อปี 2563 ถูกศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา พร้อมปรับเงิน 1,000 บาท ในวันที่ 12 กันยายน 2565 หลังจากที่ถูกกล่าวหาว่า #แต่งกายเลียนแบบราชินี และละเมิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์

โดยโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) รายงานว่า นิว จตุพร แต่งชุดไทยสีชมพูเดินทางมาฟังคำพิพากษาในวันนี้ เพราะต้องการจะยืนยันว่าการแต่งชุดไทยไม่ผิดและระบุว่าการสวมชุดไทยในวันเกิดเหตุไม่ได้มีเจตนาเลียนแบบใคร

ขณะที่เว็บไซต์ Matichon รายงานว่าศาลอาญาพิพากษาจำคุก นิว จตุพร รวมเป็นเวลา 3 ปี แต่เนื่องจากให้การเป็นประโยชน์ จึงลดโทษ 1 ใน 3 เหลือ 2 ปี ปรับ 1,500 บาท ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือปรับ 1,000 โทษจำคุกไม่รอลงอาญา โดยระบุว่าการแสดงมีการเจตนาที่จะล้อเลียนสถาบันฯ โดยมีการตระเตรียมการไว้

ต่อจากนั้น ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานผ่านทวิตเตอร์ @TLHR ว่า ทนายที่รับผิดชอบคดี นิว จตุพร กำลังยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา และคาดว่าศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งภายใน 3 วันแต่ระหว่างนี้นิวจะถูกนำตัวไปคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลางจนกว่าศาลจะมีคำสั่ง

ทั้งนี้ เว็บไซต์ Mob Data Thailand ได้บันทึกข้อมูลกิจกรรมทางการเมืองที่นิว จตุพร สวมชุดไทยเข้าร่วมงาน มีอีกชื่อหนึ่งว่างานรันเวย์ของประชาชนจัดขึ้นใกล้กับวัดแขกในย่านสีลมเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2563 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตั้งคำถามเรื่องการใช้ภาษีภายใต้การดำเนินงานของกระทรวงพาณิชย์ที่จัดสรรงบประมาณไปสนับสนุนแบรนด์แฟชั่นไทยแบรนด์หนึ่งเป็นการเฉพาะ ผู้ชุมนุมจึงจัดกิจกรรมเดินแฟชั่นโชว์ และเหตุการณ์จบลงโดยไม่มีเหตุปะทะหรือการใช้ความรุนแรงใดๆ

เหตุผลที่เราออกมาบนถนนสีลมวันนี้ เราออกมายืนยันว่า ราษฎรทุกคนมีสิทธิในการเดินบนพรมแดงทัดเทียมกัน พรมแดงผืนนี้เป็นของราษฎรใครอยากเดินสามารถเดินได้เลย แล้วใครที่บอกว่า เราปิดถนนเราสร้างความเดือดร้อน ถนนทุกเส้นสร้างมาเพื่อให้ทุกคนใช้ บนฟุตบาทไม่พอใช้ก็ต้องลงมาบนถนน เราทำถนนคนเดินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้พ่อค้าแม่ค้าซีไอเอมีเงินคือคำปราศรัยของหนึ่งในผู้สวมชุดแฟนซีเข้าร่วมงานในวันดังกล่าว

ภายหลังจัดกิจกรรมเมื่อวันที่ 29 ตุลา 63 มีเยาวชนชายวัย 17 ปี ถูกดำเนินคดีในข้อหาละเมิด ม.112 ก่อนหน้านิว จตุพร สืบเนื่องจากที่เยาวชนคนดังกล่าวใส่เสื้อคร็อปท็อปและเขียนข้อความบนแผ่นหลัง ทั้งยังเป็นคดีที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อการดำเนินคดีโดยใช้มาตรา 112 เอาผิดผู้ชุมนุมที่ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองกับผู้ที่อายุไม่ถึง 18 ปี โดยมองว่าเป็นการใช้กฎหมายไม่ได้สัดส่วนกับการกระทำความผิด

ส่วนความเคลื่อนไหวในสื่อสังคมออนไลน์หลังมีข่าวว่า นิว จตุพร ถูกศาลพิพากษาจำคุก ไม่รอลงอาญา พบว่ามีผู้ใช้ทวิตเตอร์ติดแฮชแท็ก #WhatsHappeningInThailand โดยเปรียบเทียบกรณีที่มีผู้แต่งกายเลียนแบบสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษที่เพิ่งล่วงลับไปเมื่อวันที่ 8 กันยายน ที่ผ่านมา โดยผู้ใช้ทวิตเตอร์บางส่วนมองว่าการแต่งกายเลียนแบบราชินีในอังกฤษไม่เคยมีใครถูกลงโทษ ทั้งที่ก็เป็นหนึ่งในราชวงศ์เก่าแก่ของโลก

นอกจากนี้ ผศ.ดร.รณกรณ์ บุญมี อาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายอาญา คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ก็ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ทางเฟซบุ๊คของตัวเอง โดยระบุว่า การแต่งกายชุดไทย ต่อให้จงใจให้คล้ายบุคคลใด หากไม่มีการกระทำเหยียดหยามอื่นใดประกอบ ก็ไม่ใช่การดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย

เป็นที่น่าสงสัยมากว่าเพียงการแต่งกายชุดไทยจะเป็นการล้อเลียนได้อย่างไร และการล้อเลียน‘ (หากเป็น) นั้นจะเป็นการดูหมิ่นที่หมายถึงการเหยียดหยามได้เพราะเหตุใด เพราะเมื่อพิจารณาตามตรรกะ การแต่งกายหรือการแสดงออกนั้นหากคล้ายคลึงจริง ย่อมไม่อาจเป็นการเหยียดหยามบุคคลผู้เป็นต้นแบบแห่งการแต่งกายนั้นไปได้

การพิพากษาของศาล โดยเฉพาะในคดีอาญาไม่ใช่การตัดสินความรับผิดเฉพาะของคู่ความเท่านั้น แต่เป็นการสื่อสารของรัฐต่อประชาชนว่าการกระทำใดที่เข้าองค์ประกอบของความผิด และต้องห้ามตามกฎหมาย การให้เหตุผลจึงต้องชัดเจน กระจ่างแจ้ง สมเหตุสมผล และน่าเชื่อถือ หาไม่แล้วความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อศาลจะสั่นคลอนและพังทลาย และนั่นคือวิกฤติต่อความมั่นคงของชาติที่แท้จริง หาใช่สั่นคลอนเพราะการแต่งชุดไทย หรือชุดใดไม่

อ้างอิง