6 Min

ก่อนเกิดคดีฟ้องร้อง 3 สส.พรรคประชาชน เคยอภิปรายเรื่อง ‘ค่าไฟ’ และ ‘นโยบายพลังงานไฟฟ้า’ ของรัฐบาล เอาไว้อย่างไร?

6 Min
14 Views
22 Aug 2025

เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2568 ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วย วรภพ วิริยะโรจน์ และ ศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้แถลงข่าวที่รัฐสภาโดยเปิดเผยว่าตนและเพื่อน สส. อีกสองคนถูกบริษัทด้านพลังงานฟ้องร้องให้ดำเนินคดีอาญาข้อหาหมิ่นประมาทและเรียกค่าเสียหายทางแพ่งคนละ 100 ล้านบาท รวม 3 คดี ถูกฟ้องทางแพ่ง 300 ล้านบาท

ณัฐพงษ์ระบุว่าตนถูกบริษัท GULF JP NS จำกัด ฟ้องร้องดำเนินคดี ส่วนวรภพและศุภโชติถูกบริษัท GULF Development จำกัด (มหาชน) ฟ้องร้องดำเนินคดี โดยลงวันที่ในหมายฟ้องวันที่ 11 เมษายน 2568 เช่นเดียวกัน

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคประชาชนทั้ง 3 คนได้ขับเคลื่อนและตรวจสอบในประเด็นเรื่องโครงสร้างนโยบายพลังงานไฟฟ้า อันสืบเนื่องมาจากการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลในหลายยุคสมัย จนส่งผลให้เกิดความไม่เป็นธรรมในเรื่องค่าไฟฟ้าและกระทบต่อชีวิตประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการแถลงข่าว การตั้งกระทู้ถาม หรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจตามการระบุของณัฐพงษ์

ด้วยเหตุนี้เราจึงสืบค้นและชวนย้อนสรุปถึงสิ่งที่ สส.พรรคประชาชนเคยอภิปรายในประเด็นเรื่องค่าไฟและโครงสร้างพลังงานไฟฟ้าส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 11 เมษายน 2568 

 [ณัฐพงษ์ถาม-พีระพันธุ์ตอบ (24 ตุลาคม 2567) ] 

การแถลงในวันที่ 20 สิงหาคม ณัฐพงษ์ได้ยกตัวอย่างถึงการเรียกร้องให้ยกเลิกโครงการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนล็อต 5,200 เมกะวัตต์ และล็อต 3,600 เมกะวัตต์ ในช่วงปลายปี 2567

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ณัฐพงษ์เคยตั้งกระทู้ถามสดในสภาฯ ถึงประเด็นนี้ต่อนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 แต่ครั้งนั้นรัฐมนตรีว่ากระทรวงพลังงาน พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นผู้มาชี้แจง

ครั้งนั้นณัฐพงษ์ชี้ว่ากระบวนการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ของรัฐ มีลักษณะ ‘ฟอกเขียว’ และเปิดทางให้กลุ่มทุนบางกลุ่มเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์เชิงค่าเช่าในระบบเศรษฐกิจ โดยผลักภาระให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟฟ้าที่แพงเกินจริง

พร้อมกับชี้ข้อพิรุธเกี่ยวกับการรับซื้อล็อต 3,600 เมกะวัตต์ 4 ประการ ได้แก่ 1. ไม่มีการเปิดประมูล 2. ไม่มีการประกาศหลักเกณฑ์ล่วงหน้า 3. ล็อกสเปก ปิดกั้นผู้ประกอบการรายใหม่ 4. เป็นการประกาศรับซื้อเกินความจำเป็น ขณะที่เอกชนสามารถทำสัญญาซื้อกับผู้ผลิตพลังงานแบบ Direct PPA ได้โดยตรงอยู่แล้ว หากจะใช้พลังงานสะอาด

พีระพันธุ์ได้ตอบในครั้งแรกว่าได้สั่งให้มีการทบทวนใหม่ในเรื่องการแก้ไขหลักเกณฑ์ในการประมูล โดยที่กระทรวงพลังงานได้ทำหนังสือทักท้วงไปถึงสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) แล้วเป็นที่เรียบร้อย และยืนยันว่าต้นทุนไฟฟ้าจะไม่แพงขึ้น เพราะราคารับซื้อพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมสูงไม่เกินต้นทุนจริงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟฝ.) 

ส่วนในเรื่องการตั้งข้อสังเกตว่าทำไมจะต้องมีการซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน พีระพันธุ์ชี้แจงว่า Direct PPA หรือการรับซื้อไฟฟ้าตรง กับการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนนั้นเป็นคนละเรื่องกันอย่างชัดเจน เพราะการรับซื้อพลังงานหมุนเวียนที่เกิดขึ้นมีวัตถุประสงค์เพื่อนำไฟฟ้าเข้าสู่ระบบหลักของ กฟผ. และนำไปใช้ในเรื่องการจัดเก็บ Utility Green Tariff (UGT) และออกใบรับรองให้ผู้ประกอบการสำหรับการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศที่กำหนดให้ต้องใช้พลังงานสีเขียว

ณัฐพงษ์ได้แย้งคำชี้แจงของพีระพันธุ์ก่อนถามคำถามครั้งที่สอง ใน 2 ประเด็น คือเรื่องการรับซื้อไฟฟ้า โดยยกตัวอย่างว่าที่จริงแล้ว กฟผ. สามารถผลิตได้ในราคาต่ำกว่าที่รัฐรับซื้อ และเรื่อง UGT และ Direct PPA โดยระบุว่า ตนเข้าใจถึงความแตกต่างนี้ดี แต่จะมีบางประเทศที่ใช้พลังงานสะอาดแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ จะไม่ยอมรับ UGT และจะยอมรับเฉพาะ Direct PPA เท่านั้น

พร้อมยืนยันว่าตนไม่ได้ปฏิเสธพลังงานสะอาด แต่สงสัยในกระบวนการเปิดรับซื้อพลังงานหมุนเวียนรอบใหม่ที่อาจเอื้อให้กลุ่มทุนขายไฟฟ้าในราคาที่แพงเกินจริง โดยอ้างเรื่องไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน

ต่อจากนั้นจึงถามคำถามถึงแนวทางการดำเนินการ เพื่อยุติหรือชะลอการลงนามในสัญญาการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนในส่วนของ 5,200 เมกะวัตต์ ที่เหลืออยู่ประมาณกว่า 2,000 เมกะวัตต์ และจะดำเนินการอย่างไรกับโครงการรับซื้อ 3,600 เมกะวัตต์ เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมและมีความโปร่งใส

พีระพันธุ์ชี้แจงว่า ในโครงการรับซื้อ 3,600 เมกะวัตต์ จะต้องดำเนินการโดยวิธีการประมูลอย่างถูกต้องและโปร่งใส และได้สั่งการให้มีการปรับปรุงแก้ไขแล้ว ส่วนโครงการรับซื้อ 5,200 เมกะวัตต์ ยังหาช่องทางอยู่ เพราะได้มีการสอบถามและหารือไปยัง กกพ. ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการ แต่ กกพ. ระบุว่ามีความกังวลเรื่องการฟ้องร้องทางกฎหมาย เนื่องจากการประมูลเกิดขึ้นไปแล้ว

ทั้งนี้ ณัฐพงษ์ยืนยันว่ารัฐบาลมีอำนาจเต็มในการทบทวนหรือยกเลิกโครงการรับซื้อ 5,200 เมกะวัตต์ และ 3,600 เมกะวัตต์ พร้อมระบุว่าตอนออกกฎระเบียบรับซื้อพลังงานที่เอื้อประโยชน์กลุ่มทุน ไม่มีใครเกรงกลัวว่าจะทำผิดกฎหมาย แต่พอจะแก้ไขกฎระเบียบกลับมีข้อกังวลว่าถ้าแก้จะถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย

ส่วนพีระพันธุ์ระบุว่า การตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่กระทรวงพลังงาน แต่อยู่ที่ กกพ. ส่วนสิ่งที่แก้ไขได้ ตนจะพยายามเต็มที่ และยืนยันว่าตนไม่มีกลุ่มทุนอยู่เบื้องหลัง ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของประชาชน

 [วรภพ – ศุภโชติ: อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ แพทองธาร (24 มีนาคม 2568) ] 

เฟซบุ๊กของวรภพและศุภโชติได้โพสต์ภาพหมายฟ้องเช่นเดียวกับณัฐพงษ์ แต่ทั้งวรภพและศุภโชติระบุข้อความชัดเจนว่าถูกฟ้องดำเนินคดีสืบเนื่องมาจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรที่เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา 

โดยการอภิปรายของวรภพและศุภโชติเกิดขึ้นในวันที่ 24 มีนาคม 2568 ซึ่งเป็นวันแรกของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

วรภพได้อภิปรายไม่ไว้วางใจแพทองธารในข้อกล่าวหาว่า “โกงค่าไฟประชาชน ทุจริตนโยบาย สานต่อขบวนการค่าไฟแพง ปล้นเงินจากกระเป๋าประชาชนไปแลกกับดีลจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนพลังงานที่สนิทสนมกับนายกรัฐมนตรีและครอบครัว”

โดยวรภพระบุก่อนว่าสาเหตุที่ค่าไฟแพงมาจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1. ต้นทุนเชื้อเพลิง ซึ่งรัฐบาลควบคุมไม่ได้ 2. นโยบายของรัฐ โดยเฉพาะนโยบายของรัฐที่อนุมัติให้เอกชนสร้างโรงไฟฟ้าจำนวนมากเกินความต้องการจริง โรงไฟฟ้าเหล่านี้มาพร้อมกับ ‘ค่าความพร้อมจ่าย’ และแม้จะไม่ได้เดินเครื่องก็ตาม ซึ่งประเทศต้องจ่ายค่าความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้เดินเครื่องทั้งเล็กและใหญ่รวมกันอยู่ที่ 55,000 ล้านบาท ต่อปี

วรภพระบุต่อว่า นายกฯ ยังคงสานต่อโครงการรับซื้อไฟฟ้า 3,600 เมกะวัตต์ จากยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้โครงการจะชะลอมา 3 เดือน แต่ต้องย้ำว่านายกฯ และรัฐบาลตั้งใจจะโกงค่าไฟประชาชนถึง 100,000 ล้านบาท 

พร้อมกับชี้ข้อทุจริต 4 ข้อในลักษณะเดียวกันกับสิ่งที่ณัฐพงษ์เคยตั้งกระทู้ ได้แก่ 

1. ไม่มีการประมูลแข่งขันราคา 

2. รับซื้อซ้ำซ้อนกับการเปิดเสรีไฟฟ้าสะอาดที่อนุมัติในยุครัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน 

3. มีการล็อกโควตาส่วนหนึ่งให้กับเอกชนที่เคยยื่นประมูลในโครงการเฟสแรก แต่ไม่ได้รับคัดเลือก 

4. ไม่มีการประกาศหลักเกณฑ์คำนวณคะแนนเทคนิคล่วงหน้า เปิดช่องให้มีการใช้ดุลยพินิจในคัดเลือก

โดยวรภพระบุอีกว่า “มันมีภาพว่ากลุ่มทุนพลังงานผู้โชคดีที่ได้รับคัดเลือก บังเอิญสนิทสนมกับนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ออกงานร่วมกันหลายครั้ง ร่วมโซน ร่วมบูธ VIP ร่วมกัน และก็ยังเป็นก๊วนกอล์ฟของคุณพ่อนายกรัฐมนตรี คุณทักษิณ ชินวัตร อีกด้วย

“แต่การมีเพื่อนเป็นเจ้าสัว เป็นก๊วนกอล์ฟ มันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรครับ และรัฐบาลก็ไม่ได้ผิดอะไรครับ ถ้ารัฐบาลและนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ไม่ได้สานต่อ หรือเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนพลังงาน”

วรภพยังกล่าวต่อว่า แต่สิ่งที่รัฐบาลกระทำความผิดสำเร็จแล้ว คือการเร่งลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเฟสแรก 5,200 เมกะวัตต์ กับกลุ่มทุนพลังงานที่ใกล้ชิดกับครอบครัวนายกรัฐมนตรี โดยไม่สนใจคำสั่งศาลที่ให้ชะลอการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานลมในโครงการเดียวกัน

อีกทั้งวรภพยังได้กล่าวถึงเงื่อนไขแปลกประหลาดที่กำหนดไว้ในโครงการเฟส 2 (รอบ 3,600 เมกะวัตต์) นอกจากเงื่อนไขล็อกโควตาแล้ว จะต้องเป็นเอกชนที่ไม่เคยฟ้องร้องหน่วยงานภาครัฐด้วย วรภพระบุว่านี่เป็นการขู่และปิดปากเอกชนที่จะฟ้องศาลปกครอง เพื่อให้รัฐบาลสามารถลงนามโครงการเฟสแรกได้สำเร็จ

ถัดจากนั้นเป็นการอภิปรายของศุภโชติ ที่ได้ตั้งข้อกล่าวหานายกฯ แพทองธารในฐานะประธาน กพช. ว่า “จงใจสานต่อการทุจริตเชิงนโยบาย เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนพลังงาน จงใจประเคนสัมปทานโรงไฟฟ้าให้เครือข่ายพวกพ้อง…โดยไม่เห็นหัวประชาชนแม้แต่นิดเดียว”

ศุภโชติชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่รัฐบาลไม่ยอมดำเนินการเพื่อลดค่าไฟ ทั้งไม่แก้เรื่องค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติ ไม่แก้สัญญา Adder ที่ทำให้ต้องซื้อพลังงานสะอาดในราคาแพง ไม่ยกเลิกโควตาท้องถิ่นใช้ไฟฟรี

แต่ประเด็นหลักที่ศุภโชติอภิปราย คือเรื่องร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย หรือแผน PDP ฉบับใหม่ที่ยังไม่แล้วเสร็จ ศุภโชติชี้สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้แผน PDP ล่าช้ามีอยู่ 2 ประการ คือ 1. นายกฯ ต้องการเคลียร์ปัญหาของโครงการรับซื้อ 3,600 เมกะวัตต์ ที่มาจากแผนฉบับเดิมให้แล้วเสร็จ 2. นายกฯ ต้องการเพิ่มโครงการของนายทุนเข้ามาในแผนเพื่อรับประกันสัมปทาน

ขณะที่เนื้อหาของร่าง PDP ฉบับใหม่มีปัญหา แม้ว่าจะมีข้อเรียกร้องให้ทบทวน แต่นายกฯ ในฐานะประธาน กพช. ไม่สนใจ 

โดยศุภโชติระบุว่าปัญหาประกอบด้วย 

1. การปล่อยให้หน่วยงานปั้นตัวเลขในความต้องการการใช้ไฟฟ้าสูงเกินจริง เพื่อให้กลุ่มทุนพลังงานสามารถสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นได้ 

2. เพิ่มแผนโครงการรถไฟฟ้า 6 จังหวัดเข้ามาในสมมติฐานการใช้ไฟฟ้า 

3. การอนุมัติให้สร้างโรงเก็บก๊าซธรรมชาติ (LNG Terminal) เพิ่มอีก 1 โรง ทั้งที่มีเพียงพออยู่แล้ว 

4. เลือกซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนในลาวในราคาแพง แทนที่จะซื้อกับเขื่อนเก่าในลาวที่เสนอราคาถูกกว่า 

5. ไม่มีการขยายโควตาสำหรับประชาชนในการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านและขายคืนรัฐบาล

ศุภโชติกล่าวว่า การตัดสินใจทั้งหมดเหล่านี้ไม่ใช่ความผิดพลาด แต่เป็นการกระทำที่ ‘สมคบคิดระดับชาติ’ และเป็นความ ‘อัปยศอันแยบยล’ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนพลังงาน โดยมีนายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน กพช. เป็นผู้ควบคุมเกม

อ้างอิง: