กว่าจะเป็น ‘โรงเรียนเขาว่าน่าอยู่’ เพลงสะท้อนกฎระเบียบในโรงเรียนหญิงล้วนของพอลลีน ค้นพบอะไรบ้าง?

3 Min
2486 Views
07 May 2021

Select Paragraph To Read

  • “อยากทำอะไรสักอย่างที่สามารถสะกิดหรือขับเคลื่อนสังคมได้”
  • ใส่ถุงเท้าข้อสั้นจะไปอ่อยผู้ชายหรอ?
  • แต่ก็ไม่ใช่ครูทุกคนจะเป็นแบบนั้น! ครูที่ดีก็มี
  • “อยากให้ครูมานั่งคุย เหมือนที่พี่มานั่งคุย”
  • เปลี่ยนสังคมสักนิดก็ยังดี

วันนี้เราอยากแนะนำให้รู้จักกับ “พอลลีน–พร วัฒโนดม” นักศึกษาจบใหม่จากรั้วจุฬา ที่หยิบปัญหาเกี่ยวกับกฎระเบียบของโรงเรียนหญิงล้วน มาตีแผ่ผ่านเพลง “โรงเรียนเขาว่าน่าอยู่” ซึ่งเป็นกระแสมากด้วยยอดวิวเกือบ 2​ ล้านภายใน 1 อาทิตย์! ทำให้หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมถึงเลือกประเด็นนี้มานำเสนอ และกว่าจะมาเป็นเพลงสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นในโรงเรียน เธอค้นพบอะไรบ้าง โดยสามารถติดตามได้ทางบทความนี้ได้เลย

“อยากทำอะไรสักอย่างที่สามารถสะกิดหรือขับเคลื่อนสังคมได้”

เมื่อ พอลลีน–พร วัฒโนดม บอกกับตัวเองเมื่อรู้ตัวว่าต้องทำธีสิส เพื่อหวังเรียนจบ โดยเธอเริ่มต้นมองจากสิ่งรอบตัวที่ตัวเองสามารถสื่อสารได้ จนท้ายสุดแล้วเธอตัดสินใจหยิบประเด็น ที่เธอมีประสบการณ์จากการเรียนโรงเรียนหญิงล้วนถึง 9 ปี ขึ้นมานำเสนอในแง่ที่ยังไม่มีใครพูดถึงมากขนาดนั้น

พอลลีน–พร วัฒโนดม

ใส่ถุงเท้าข้อสั้นจะไปอ่อยผู้ชายหรอ?

เป็นตัวอย่างเหตุการณ์ที่พอลลีนเคยเจอครูบอกกับเธอ แต่ด้วยตอนนั้นเป็นเด็กก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป ในหัวมีแต่ความสงสัยถึงความไม่เมคเซ้นส์ และรู้สึกว่าครูโฟกัสผิดจุดหรือเปล่า ทำไม?

“การใส่ถุงเท้าสั้นถึงเป็นการอ่อย ตาตุ่มเรามันสวยหรอ จะทำให้ผู้ชายมาสนใจหรอ”

เพื่อตอกย้ำถึงปัญหาที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียน พอลลีนจึงใช้เวลา 1 ปี ในการรีเสิร์ชให้ครอบคลุมมากที่สุด โดยลงมือสัมภาษณ์ราว 10 โรงเรียน ทั้งฝ่ายนักเรียนหลากหลายเจนเนอเรชั่นที่ศึกษาจบไปแล้ว 10 – 30 ปี รวมถึงฝ่ายครูรุ่นเก่า และรุ่นใหม่ เพื่อต้องการหาความแตกต่างทางความคิดของแต่ละคนด้วย

ซึ่งพอลลีนพบว่า ปัญหาที่นักเรียนส่วนใหญ่พูดเป็นเสียงเดียวกัน นั่นก็คือ “คำพูดของครู” นักเรียนต้องเจอคำพูดของครูทำร้ายจิตใจ แทนที่จะมีคำอธิบายให้นักเรียนฟังเช่น กฎระเบียบบางกฎที่นักเรียนไม่เข้าใจ แต่ครูกลับไม่มีเหตุผลดีๆ มาซัพพอร์ต เป็นต้น

ทำให้หลายๆ เหตุการณ์ที่พอลลีนเคยเจอมาดูเบาไปเลย เมื่อเทียบกับของเด็กนักเรียนคนอื่นๆ ที่เคยเจอคำพูดแรงๆ ของครู บางครั้งด่าทอยันพ่อแม่ จนนักเรียนรู้สึกแย่ และเสียความมั่นใจ อีกทั้งยังมีอีกหลายคนที่เจอเหตุการณ์เช่นนี้จำนวนมาก แต่เขาไม่ได้ออกมาพูดหรือเรียกร้องอะไร

พอลลีนยังเล่าถึง ตอนเธอเรียนในโรงเรียนหญิงล้วนว่า เธอไม่ได้มีความสุขในการไปโรงเรียน เพราะสภาพแวดล้อม รวมถึงผู้คน และความคิด ด้วยกรอบที่สังคมตีตราไว้ ทำให้ไม่มีอิสระ จนเธอรู้สึกเกือบสูญเสียความเป็นตัวเองในช่วงวัยนี้ไป ทั้งที่ในช่วงวัยเรียน ควรได้เป็นตัวของตัวเอง ได้ลองผิดลองถูก เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น แต่โรงเรียนกลับบังคับให้เป็นแบบเดียวกันทั้งหมด

จนทำให้คนยุคสมัยนี้ใช้คำว่าหาตัวเอง หรือได้มาค้นหาตัวเองก็ตอนอยู่มหาวิทยาลัยหรือเรียนจบแล้วด้วยซ้ำ ซึ่งก็ไม่ใช่ จริงๆ แล้วการค้นหาตัวเองควรอยู่ตั้งแต่ตอนเด็ก เพราะคือช่วงที่กำลังพัฒนา

แต่ก็ไม่ใช่ครูทุกคนจะเป็นแบบนั้น! ครูที่ดีก็มี

เพราะมีครูรุ่นใหม่บางคนที่เข้าใจนักเรียนและครูรุ่นเก่าว่า เขาถูกสอนมาอีกแบบหนึ่ง ทำให้มีชุดความคิดคนละแบบกัน เขาถูกสอนมาว่า

“การตั้งคำถามไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิด แต่ก็ไม่ควรตั้งคำถาม รวมถึงการทำอะไรต่อกันมาเรื่อยๆ อย่างยาวนานคือ สิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่สวยงาม”

ทำให้ครูยังยึดติดอยู่ความเชื่อของตัวเอง ซึ่งก็ใช่ในมุมมองเขาอาจจะถูก แต่ก็ไม่ควรบังคับให้มาเชื่อในแบบที่เขาคิดว่าถูก เพราะแท้จริงแล้วอาจไม่ได้ถูกเสมอไป

“เป็นจุดสบายใจของนักเรียน ให้นักเรียนรู้ว่ายังมีครูคนนี้อยู่ ถึงแม้จะไม่สามารถออกมาพูดหรือเปลี่ยนแปลงอะไรในโรงเรียน แต่อย่างน้อยก็ช่วยเหลือเด็กได้ในระดับหนึ่ง”

ครูรุ่นใหม่บอกกับพอลลีน หลังจากที่เขาเข้าใจความเป็นอำนาจนิยมของประเทศไทยที่ถูกปลูกฝังกันมาว่า ผู้ใหญ่ต้องสูงกว่าต้องรับฟังผู้ใหญ่เท่านั้น และสิ่งที่เขาเชื่อกันมาก็ยังนำมาสอนนักเรียนกันอยู่ ครูยังบอกอีกว่า มันคงมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่คงต้องอาศัยเวลา

“อยากให้ครูมานั่งคุย เหมือนที่พี่มานั่งคุย”

ความในใจของนักเรียนที่พอลลีนได้ไปสัมภาษณ์ เพราะกล่องที่ให้นักเรียนใส่ข้อความเสนอแนะหรือเรียกร้อง แต่ถ้าไม่มีใครมาแกะนำออกไปแก้ไขก็ไม่รู้จะมีไว้ทำไม เพราะนักเรียนต้องการให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ให้โอกาส เปิดรับความเป็นตัวเขาบนความถูกต้อง รวมถึงความเป็นระเบียบ และที่สำคัญที่สุดเลยคือ ‘การรับฟัง’ ซึ่งตอนนี้ไม่ค่อยมี

โดยพอลลีนมองว่า กฎระเบียบของกระทรวงการศึกษามันโอเค ไม่ได้บังคับจนเกินไป แต่อาจเป็นที่แต่ละโรงเรียนเองด้วยที่มองความเป็นเอกลักษณ์ของโรงเรียน แบบที่นักเรียนต้องเหมือนกันทั้งหมด ยืนเรียงกันเป็นหน้ากระดาน ผมเปียต้องเท่ากันนั้นเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่สวยงาม แต่นักเรียบกลับมองว่า ไม่ใช่เหตุผลที่สมเหตุสมผลมากพอเลยต่อต้านด้วยการทำผิดกฎ

ซึ่งโรงเรียนควรมองนักเรียนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่เอกลักษณ์ของโรงเรียน หรือกฎใดๆ

อีกทั้งกฎระเบียบเองก็ขาดการสื่อสารที่ดี ครูกับนักเรียนเข้าใจกันคนละอย่าง และนี่เองก็มาจากการที่ครูกับนักเรียนไม่สามารถเปิดใจคุยได้อย่าง 100%

เปลี่ยนสังคมสักนิดก็ยังดี

เป้าหมายที่พอลลีนตั้งใจทำเพลงโรงเรียนที่เขาว่าน่าอยู่ ให้ครูดูแล้วเข้าใจเด็กนักเรียนมากขึ้นว่า เด็กเขาคิดแบบนี้นะ เธอจึงใช้ช่วงเวลาในการทำงานทั้งหมด รวมถึงทุ่มเทกับคอสตูมมากเป็นพิเศษ เพราะด้วยสไตล์ของเธอ และอยากใช้แฟชั่นมาเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สื่อสารด้วย จะเห็นได้จากซีนที่ครูดันแว่นขึ้นแล้วมองนักเรียน แล้วภาพนักเรียนทำผิดกฎเพียงเล็กน้อย กลายเป็น เสื้อผ้าแฟชั่นขึ้น จึงเป็นสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อในมิวสิกวิดีโอนี้ว่า นั่นเป็นสิ่งที่ครูพูดใส่กับนักเรียนเท่านั้น เพราะความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย