5 Min

รวมประโยค “ทำร้ายลูก” ที่พ่อแม่ชอบพูดเพราะ (อาจ) หวังดี

5 Min
1517 Views
30 Aug 2021

Select Paragraph To Read

  • ขู่ว่าจะทิ้ง
  • ข่มขู่หรือแบล็คเมล์
  • พยายามยัดคติธรรมหรือบทเรียนชีวิตให้
  • เปรียบเทียบลูกตัวเองกับลูกคนอื่น
  • พ่อแม่แสดงออกว่ากลัวโดนคนอื่นตัดสิน

แปลกแต่จริง แต่เมื่อพูดถึงประโยคที่พ่อแม่ใช้ดุลูก ไม่ว่าครอบครัวนั้นจะอยู่ในวัฒนธรรมไหน อยู่ประเทศอะไร รูปประโยคตักเตือนกลับคล้ายคลึงกันเกือบทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็นประโยค…

“รีบๆ หน่อยสิ ไม่งั้นเดี๋ยวทิ้งไว้นี่นะ”

“กินข้าวให้หมด มีเด็กที่กำลังอดตายอยู่บนโลกใบนี้นะ”

“ทำไมไม่หัดทำตัวให้เหมือน พี่/น้อง บ้าง”

ประโยคสั่งสอนเหล่านี้ ซึ่งก็เข้าใจคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายว่าอาจพูดไปเพราะหวังดีหรืออยากฝึกนิสัยบุตรหลานให้เข้าที่เข้าทาง แต่หารู้ไม่ว่า ความหวังดีเหล่านั้นอาจแปรเป็นสิ่งที่หวนกลับมาทำร้ายลูกๆ ได้เหมือนกัน อ้างอิงจาก “Naia Naia” ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารกับเด็ก คุณครู พี่เลี้ยงเด็ก และนักประพันธ์หนังสือเด็กหลายเล่ม

“ประโยคเหล่านั้นพ่อแม่มักพูดส่งๆ ไป โดยที่อาจไม่ได้สังเกตว่า สิ่งที่พวกเขาสื่อสารออกไปกำลังถูกซึมซับเข้าไปในตัวลูกๆ ของพวกเขา” Naia กล่าว

ซึ่งทาง “Annalisa Falcone” ผู้ให้การศึกษาและนักการศึกษา ก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ “เด็กจะซึมซับสารที่เราส่งมาผ่านพฤติกรรม ผ่านสิ่งที่เราพูด รวมถึงโทนความรู้สึกขอสารนั้นๆ ”

แต่ประโยคเหล่านั้นจะตรงเจตนาของพ่อแม่ ทำร้ายจิตใจลูกน้อยลง และส่งผลดีกับพวกเขาได้ เพียงแค่ต้องปรับเปลี่ยนคำพูดให้เหมาะสม

ดังนั้น การพูดคุยกับเด็ก ควรพูดให้เป็น ไม่ใช่แค่พูดออกไป

ขู่ว่าจะทิ้ง

“เวลาผู้ปกครองพูดประโยคแนวๆ นี้ พวกเขาอยากให้ลูกทำตามเป้าหมายของพวกเขาเร็วขึ้น แต่มันก่อความกลัวให้เกิดขึ้นในใจเด็กนะคะ” Falcone กล่าว

ปัญหา: ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองท่านเห็นตรงกันว่า เด็กๆ กลัวการถูกทอดทิ้งมากกว่าอะไรทั้งหมด แม้กระทั่ง “ความตาย”

“ความกลัวตายจะค่อยๆ ก่อขึ้นขณะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ค่ะ” Naia อธิบาย “แต่ความกลัวการถูกทอดทิ้งนั้นติดตัวเด็กมาตั้งแต่เกิด กลัวมากจนทำให้เด็กทารกร้องไห้บ่อยๆ เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขามีคนดูแลอยู่ใกล้ๆ ”

ด้วยเพราะปมความกลัวการถูกทอดทิ้งที่มีอยู่ตามสัญชาตญาณ เด็กจึงจำเป็นต้องรู้ว่าพวกเขาสามารถพึ่งพาแรงสนับสนุนของพ่อกับแม่ได้ตลอดเวลา

“ในฐานะผู้ปกครอง คุณควรแสดงให้ลูกเห็นชัด ว่าแม้บางเวลา คุณอาจจะไม่ได้เห็นด้วยกับลูก หรืออาจโกรธลูก แต่คุณจะยังคอยอ้าแขนรับพวกเขา ในเวลาที่พวกเขาต้องการอ้อมกอดได้เสมอ และคุณจะไม่มีวันหยุดรักหรือสนับสนุนพวกเขา” Naia กล่าว

“ดังนั้น การขู่ว่าจะทอดทิ้งพวกเขา จะกลายเป็นการส่งสัญญาณ ว่ามีโอกาสที่คุณจะไม่อยู่เคียงข้างพวกเขาค่ะ”

ทางแก้: ปรับประโยคเหล่านั้นให้กลายเป็นประโยคในแง่บวกแทน แทนที่จะพูดว่า “ถ้าหนูไม่ทำ … แบบนี้ แม่ก็จะ … ทำแบบนี้” ลองเปลี่ยนเป็น “ถ้าหนูทำ … เพื่อแม่ แม่ก็ทำ … ให้หนู”

หรือจะลองประโยคแนวๆ ว่า “แม่จะให้เวลาหนูอีกสิบนาทีในการแต่งตัวให้เสร็จนะ แล้วเดี๋ยวเราจะออกไปข้างนอกกัน” นี่จะช่วยให้เด็กเรียนรู้ทักษะสำคัญของชีวิต เช่น การประนีประนอม

ข่มขู่หรือแบล็คเมล์

ผู้ปกครองมักพูดประโยคแนวๆ นี้ออกไป เพื่อให้ลูกเลิกดื้อชั่วคราวในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ Falcone กล่าวว่าประโยคลักษณะนี้ เป็นเหมือนแค่ทางลัดของผู้ใหญ่ไว้ใช้กำราบเด็ก แต่มันไม่ได้ทำให้เด็กได้รับบทเรียน

ปัญหา: ปัญหาคือเด็กจะตอบสนองหรือปรับพฤติกรรมไปตามที่ผู้ปกครองต้องการ แต่เป็นเพราะกลัวการถูกลงโทษ มากกว่าจะคิดพิจารณาเกี่ยวกับพฤติกรรมตัวเอง “เด็กๆ จะพยายามทำตัวตามความคาดหวังของผู้ใหญ่ โดยไม่ได้เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงต้องทำเช่นนั้นค่ะ” Falcone เสริม

“การพูดขู่แบบนี้ มีปัญหาเช่นเดียวกับประโยคเชิงเอารางวัลมาล่อเหมือนกันค่ะ” Naia กล่าว เพราะเวลาพ่อแม่บอกว่า “ถ้าสอบได้อันดับต้นๆ เดี๋ยวจะซื้อของเล่นให้”

เด็กก็อาจจะสนใจแต่ของเล่นมากกว่าคิดถึงความดีของการตั้งใจเรียน

ทางแก้: ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองคิดว่าผู้ปกครองควรคอยสอนและชี้แนะว่าพฤติกรรมไหนเรียกว่า ดีหรือไม่ดี และชมเวลาลูกๆ ทำตัวดี เพื่อเป็นการตอบสนองต่อพฤติกรรมด้านบวกของพวกเขา

ส่วนพฤติกรรมไม่ดี พ่อแม่ก็ไม่ควรปล่อยผ่านเลยไปเช่นกัน แต่ควรพูดให้ลูกรู้ตัวว่าพฤติกรรมแบบนี้ไม่ดี พร้อมตั้งใจส่งเสริมให้พวกเขาทำตัวดีขึ้น เช่น แทนที่จะพูดว่า

“แม่ไม่ให้ลูกเล่นคอมพิวเตอร์แล้วเพราะหนูไม่ยอมทำการบ้าน” ก็ลองเปลี่ยนมาพูดว่า “ถ้าลูกทำการบ้านเสร็จเมื่อไร ลูกก็เล่นคอมได้เลยนะจ๊ะ”

พยายามยัดคติธรรมหรือบทเรียนชีวิตให้

อ้างอิงจากผู้เชี่ยวชาญทั้งสอง พ่อแม่ยกศีลธรรมมาสอนลูกเพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาอาบน้ำร้อนมาก่อน อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งทีเดียวที่เด็กจะมองว่า ประโยคเหล่านั้นคือการทำโทษ ไม่ใช่คำสอน

ปัญหา: เรื่องศีลธรรมมีแนวโน้มที่จะฟังดูจับต้องไม่ได้และเป็นนามธรรมมากไปสำหรับเด็ก พวกเขาเลยไม่ค่อยเข้าใจว่าผู้ใหญ่ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ “จากที่เรารู้มาจากนักประสาทวิทยา ความคิดในเชิงนามธรรมจะเป็นส่วนที่พัฒนาช้ามาก และจะพัฒนาในระหว่างช่วงอายุ 5-25 ปีค่ะ” Falcone กล่าว ดังนั้น เธอจึงแนะนำให้ผู้ปกครองยกบทเรียนที่ดูเป็นรูปธรรม ซึ่งเด็กๆ สามารถเข้าใจได้มาใช้แทน

ประโยค “กินข้าวให้หมดสิ มีเด็กกำลังอดตายอยู่นะ” ข้อความนี้ต้องการสื่อสารให้เห็นคุณค่าของอาหาร แต่คำพูดในลักษณะนี้ มันเหมือนเรากำลังโทษลูกเรื่องมีเด็กอดตาย ซึ่งเป็นปัญหาที่พวกเขาไม่ได้มีส่วนก่อเลย

ทางแก้: Naia กล่าวว่าผู้ปกครองควรสอนเรื่องศีลธรรมกับเด็กด้วยการเปรียบเทียบเชิงอุปมาให้เห็นภาพ โดยใช้เรื่องแต่งหรือนิทานเข้ามาช่วย “การเล่น การอ่าน การได้เห็นตัวละครในสถานการณ์ต่างๆ ช่วยให้เด็กสามารถพัฒนาทักษะการเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น (empathy) และยังช่วยให้เด็กสามารถจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่ดีและไม่ดีได้ โดยที่ยังมีใยปกป้องความเป็นเด็กของพวก

เปรียบเทียบลูกตัวเองกับลูกคนอื่น

Falcone คิดว่าคำเปรียบเทียบเหล่านี้มาจากจิตวิทยาของผู้ใหญ่ เพื่อเรียงลำดับความสำคัญของหน้าที่และความสำเร็จ บนชีวิตที่อยู่บนความคาดหวัง และความอยากเป็นคนที่ดีกว่า

ปัญหา: “ในฐานะคนสอนหนังสือเด็กนะคะ ฉันคอยบอกเด็กๆ ในชั้นเรียนตลอด ว่าการเรียนไม่ใช่การแข่งขัน เด็กทุกคนมีความพิเศษในตัวซึ่งล้วนต้องใช้เวลาในการขัดเกลา” Falcone เล่า “นี่คือสิ่งที่ผู้ปกครองควรซึมซับไว้ เพราะแม้ บางพฤติกรรมที่เด็กคนหนึ่งสามารถทำเองได้เลย อาจไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ สำหรับเด็กอีกคนค่ะ การเปรียบเทียบลูกของคุณกับเด็กคนอื่นบ่อยๆ ในช่วงวัยพัฒนาการของเด็ก จึงเสี่ยงที่จะเป็นการทำลายความเชื่อมั่นและความมั่นใจในตัวเองของพวกเขา ซึ่งสองสิ่งนั้นคือสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตของพวกเขาในอนาคต”

เช่นเดียวกับการเปรียบว่าลูกทำตัวเหมือนผู้ปกครองอีกคน ปัญหาคือเด็กถูกใช้ให้เป็นหนทางในการหาเรื่องของผู้ใหญ่กันเอง ทั้งๆ ที่เด็กไม่ได้มีส่วนเกี่ยวในความขัดแย้งนั้นเลย

ทางแก้: ถ้าจะเปรียบเทียบเด็ก ควรจะเป็นการเปรียบเทียบระหว่างอดีตกับปัจจุบันของตัวเด็ก เพื่อให้เด็กเห็นว่าตัวเองพัฒนาในด้านบวกขึ้นมากแค่ไหน เช่น “พ่อดีใจที่เมื่อวานลูกแบ่งของเล่นให้เพื่อนเมื่อวานนี้นะ”

พ่อแม่แสดงออกว่ากลัวโดนคนอื่นตัดสิน

ในทางสหวิทยาการศึกษา สังคมวิทยา การแพทย์ และจิตวิทยา เปิดเผยแล้วว่าบทบาทและการแสดงออกทางเพศ เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นมากันเองตามแต่สังคมที่เราอยู่ บางอย่างที่สังคมบอกว่า “แมน” อาจกลายเป็นสิ่งที่ “ไม่แมน” ในสังคมอื่น ซึ่งสำหรับผู้ใหญ่ การก้าวข้ามกรอบสังคมคือเรื่องยาก เนื่องด้วยกรอบความคิดเหล่านั้น กลายเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในความเข้าใจต่อโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่ไปแล้ว

ปัญหา: บ่อยครั้งที่ผู้ปกครองกลัวการโดนตัดสินจากเพื่อนฝูงหรือคนรอบกาย และรู้สึกสบายใจเวลาได้กลมกลืนไปกับคนอื่น เช่น เวลาพวกเขาเห็นลูกสาวตัวเองประพฤติตัวไม่แปลกแยกไปจากเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ในสังคม พวกเขาจึงรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ปกครองที่สอนลูกดีแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม การบังคับลูกให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ในทุกเรื่อง ถือเป็นการกดทับตัวตนที่แท้จริงของลูก ซึ่งเป็นการทำลายความเชื่อมั่นในตัวเองของพวกเขา

ทางแก้: ให้เลี้ยงลูกโดยไม่ได้บังคับให้เป็นเพศใดเพศหนึ่งเป็นพิเศษ พยายามลดทอนค่านิยมเหมารวม หรือคำตีกรอบทางเพศ ความเป็นหญิง ความเป็นชาย และให้ลูกได้เล่นในแบบที่พวกเขาอยากเล่น เด็กๆ จะเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ และค้นหาด้วยตัวเองว่าพวกเขาชอบอะไร

“เด็กขี้สงสัยมากนะคะ” Falcone กล่าว “พวกเขามักเปลี่ยนความสนใจอยู่บ่อยๆ เหมือนนักวิทยาศาสตร์ตัวจริงเลยล่ะ” และสุดท้าย การขัดขวางไม่ให้เด็กแสดงตัวตนออกมาจะทำให้เด็กไม่ได้เติบโตเลย

อ้างอิง