“คุณเป็นพ่อแม่ที่ดีพอแล้ว” ทำไมการเป็นพ่อแม่ที่ดีอาจไม่จำเป็นต้องดีเหมือนใครๆ แค่เป็นในแบบฉบับครอบครัวเราเองก็พอ
การเลี้ยงลูกนั้นไม่ง่าย และไม่เคยง่ายเลยไม่ว่าจะยุคสมัยใด โดยเฉพาะยุคสมัยใหม่ที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ความคาดหวังร่วมของสังคมเปลี่ยนตาม ด้วยเหตุนี้คนเป็น ‘พ่อแม่’ จึงมีแนวโน้มที่จะเหนื่อย เครียด และกดดันในการเลี้ยงดูลูกๆ ของพวกเขามากขึ้น
ยืนยันจากการสำรวจล่าสุดของสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน พบว่าพ่อแม่เกือบครึ่งหนึ่งที่เข้าร่วมการสำรวจ รายงานว่ารู้สึกเครียดอย่างหนักเกือบทุกวัน จนศัลยแพทย์ทั่วไปต้องออกคำเตือนให้คำนึงถึงสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีของพ่อแม่รวมถึงผู้ดูแลเด็กทุกคน
เนื่องจากยุคนี้ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างพัฒนาการในวัยเด็กมากขึ้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใจหากกลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองทั้งหลายเกิดความรู้สึกเปรียบเทียบกันเองมากกว่าเดิม ส่งผลให้พวกเขาหลายคนรู้สึกผิดและกังวลว่าจะมีด้านไหนที่พวกเขาบกพร่องในการเลี้ยงลูกหรือเปล่า ซึ่งมีผลแนวโน้มต่อตระหนักรู้ในคุณค่าตัวเองของพวกเขา
โดย ดร.เจนนี วู (Dr. Jenny Woo) นักการศึกษาด้าน EQ ที่ผ่านการฝึกอบรมจากฮาร์วาร์ด พบว่า หากคุณคือพ่อแม่ที่มีสติปัญญาทางอารมณ์สูง หมายความว่าเป็นคนมีภาวะทางอารมณ์ค่อนข้างดี สามารถจัดการและรับมือกับความรู้สึกต่างๆ ของตัวเองได้ พวกเขามักจะพร่ำบอกกับตัวเองเสมอว่า “ฉันดีพอแล้ว” “ฉันเลี้ยงพวกเขาได้ดีอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว” เพื่อช่วยลดความเครียดที่มี พร้อมย้ำเตือนถึงคุณค่าที่มี
ซึ่งคำว่า ‘ดีพอแล้ว’ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงทำให้ดีที่สุดตามความคาดหวังร่วมของสังคมที่มักจะเกินตัว หรือไม่เหมาะสมกับวิถีชีวิตครอบครัวตนเอง แต่คือการทำในสิ่งที่สำคัญต่อคุณค่าที่ตัวเองนับถือ รวมถึงตระหนักถึงความต้องการของลูกเป็นหลักยึดสำคัญ ดังนั้นพวกเขาจึงละทิ้งความต้องการการยอมรับจากสังคมที่ไม่ตอบสนองกับคุณค่าชีวิต
ต่อมาคือการไม่ผูกคุณค่าของตัวเองเข้ากับความสำเร็จของลูก เพราะการทำแบบนั้นจะสร้างความวิตกกังวลต่อตัวเองและตัวลูกๆ ตลอดเวลา และพ่อแม่ที่นำคุณค่าตัวเองไปผูกกับลูกๆ มักจะเข้มงวดและมีความคาดหวังกับลูกมากเกิน เมื่อลูกทำไม่ได้ตามที่ต้องการ ความอับอายก็เข้ามาถาโถมใส่พวกเขา บางบ้านอาจร้ายแรงถึงการเหยียบย่ำและโทษว่าเป็นความผิดของลูก
ทั้งที่ความเป็นจริง วิถีชีวิตของคนเราไม่เหมือนกันและวิถีการเลี้ยงลูกตามกระแสนิยมในสังคมจะใช้ได้กับทุกครอบครัว แม้แต่ระหว่างพ่อแม่กับลูกก็ไม่สามารถเติบโตเหมือนกันได้ต่อให้เลี้ยงเขามาก็ตาม
เนื่องจากมนุษย์แต่ละคนย่อมมีการพัฒนา เรื่องที่ชื่นชอบ ความถนัดและความไม่ถนัดในรูปแบบของตัวเอง รวมถึงกระแสสังคมที่แตกต่างจากช่วงที่พ่อแม่เติบโตมาย่อมไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้วิธีเดียวหรือวิธีที่เขาว่าถูกต้องในการเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่ง จำต้องปรับตัวไปตามสถานการณ์
นอกจากนี้ ดร.เจนนียังให้คำแนะนำว่าพ่อแม่ควรสร้างขอบเขตหรือกฎเกณฑ์เป็นหลักในการยึดให้กับตัวเองและลูกๆ ด้วยการสร้างมาตรฐานการแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบระหว่างสมาชิกในบ้านให้เหมาะสมตามวัย แล้วเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามอายุการเติบโตของลูกๆ เช่น ฝึกให้ลูกตื่นนอน อาบน้ำเองตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เมื่อลูก 7 ขวบแล้วเพิ่มการล้างจาน ทำความสะอาดสิ่งของต่างๆ เข้าไปตามความเหมาะสม เป็นต้น
วิธีนี้จะช่วยให้พ่อแม่ได้พักเหนื่อยและลดความเครียดลง ส่วนลูกก็ได้ฝึกรับผิดชอบชีวิตตัวเองไปในตัวอีกด้วย อีกทั้งยังย้ำว่าพ่อแม่ควรปรับมุมมองจากการ กลัวว่าจะพลาดอะไร (FOMO: Fear of Missing Out) ไปให้เปลี่ยนเป็น จะพลาดบ้างก็ไม่เป็นไร (JOMO: Joy of Missing Out) เพื่อตอกย้ำวลีที่ว่า ‘ดีพอแล้ว’
อ้างอิง
- The No. 1 phrase parents with high emotional intelligence say to reduce stress, says Harvard-trained coach https://shorturl.asia/afyq3