3 Min

ย้อนต้นกำเนิด ‘เพลงบลูส์’ แนวเพลงที่มีอิทธิพลสำคัญต่อดนตรีโลก รากฐานของ Jazz, Rock, Soul และอีกมากมาย

3 Min
113 Views
07 Jun 2025

‘ดนตรีบลูส์’ (Blues) ถือเป็นแนวดนตรีที่มีอิทธิพลสำคัญที่สุดในการพัฒนาดนตรีป๊อปหลากหลายแนว หลายคนอาจรู้จักดนตรีบลูส์จากศิลปินอย่าง B.B. King, Muddy Waters หรือ Eric Clapton แต่ทุกคนรู้หรือไม่ว่าต้นกำเนิดแนวดนตรีที่บาดลึกนี้มีต้นกำเนิดจากความเจ็บปวดของคนผิวดำในช่วงศตวรรษที่ 19

เพลงบลูส์ถือกำเนิดขึ้นในช่วงหลายทศวรรษให้หลังการเลิกทาส จากชนชั้นแรงงานคนผิวสีเชื้อสายแอฟฟริกันทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกาในรัฐมิสซิสซิปปี ที่พวกเขามักจะร้องเพลงระหว่างทำงาน เป็นการขับร้องเพลงพื้นบ้านที่ไม่เพียงบรรเทาความเหน็ดเหนื่อย แต่ยังช่วยปลดปล่อยอารมณ์ความท้าทาย ความยากลำบาก ความโดดเดี่ยว และความโศกเศร้าที่พวกเขาต้องเผชิญ บลูส์จึงถือกำเนิดขึ้นในฐานะตัวแทนของสภาวะเหล่านั้น 

ด้วยความที่เป็นดนตรีพื้นฐานของคนยากจนที่ไม่ได้ร่ำเรียนดนตรีอย่างจริงจัง เรื่องโน๊ตและคีย์จึงมักเพี้ยนไปจากมาตรฐานดนตรีปกติในยุคนั้น แต่นั่นกลับทำให้เกิด ‘Blue Notes’ ที่เป็นเอกลักษณ์ทางดนตรีเฉพาะตัวแบบใหม่ขึ้นมา ซึ่งรูปแบบทางดนตรีนี้ได้กลายมาเป็นมาตรฐานของเพลงบลูส์และดนตรีแขนงอื่นๆ ต่อมาในภายหลัง แม้ในตอนนั้นมันจะยังไม่ถูกเรียกหรือถูกจดบันทึกว่าคือบลูส์ก็ตาม

ด้านเนื้อเพลง ในช่วงเริ่มต้นของบลูส์มักจะพูดถึงการเหยียดเชื้อชาติ ความไม่เท่าเทียมทางสังคม และความยากลำบากทางเศรษฐกิจที่ชาวแอฟริกันอเมริกันต้องเผชิญตลอดประวัติศาสตร์ การแสดงออกอย่างเปี่ยมด้วยอารมณ์เหล่านี้ กลายเป็นเสียงของเหล่าคนชายขอบ และมีส่วนช่วยขับเคลื่อนให้บลูส์เข้าสู่วัฒนธรรมกระแสหลักในเวลาต่อมา

‘Delta Blues’ น่าจะเป็นชื่อเรียกเวอร์ชันแรกของดนตรีบลูส์ โดยมีจุดกำเนิดในพื้นที่ที่เรียกว่า ‘Mississippi Delta’ อยู่ระหว่างแม่น้ำ Mississippi และแม่น้ำ Yazoo  เป็นบลูส์ในแบบที่เปลือยเปล่าตรงไปตรงมาที่สุด ใช้เพียงกีตาร์โปร่งกับเสียงร้องที่เกิดจากความเจ็บปวด การกดขี่ และการดิ้นรนของคนผิวดำ 

อย่างไรก็ตาม คนที่ทำให้ดนตรีเหล่านี้กลายเป็นดนตรีที่มีรูปแบบชัดเจน และทำให้คนเข้าใจนิยามของดนตรีบลูส์มากขึ้น คือนักแต่งเพลงที่ชื่อว่า ‘วิลเลี่ยม คริสโตเฟอร์ แฮนดี้’ (W.C. Handy) ที่ได้ทำการถอดรหัส รวบรวม สำรวจและศึกษาดนตรีแอฟริกันอเมริกัน เพื่อหาหลักการและจดบันทึกลงเป็นโน๊ต เมื่อนำมาเขียนและเรียบเรียง จึงได้โครงสร้างของแพทเทิร์น 12 บาร์ ที่เราคุ้นเคย เป็นแพทเทิร์นดนตรีที่เรียบง่ายแต่คลาสสิกประกอบด้วยคอร์ด 3 คอร์ดที่เล่นใน 12 บาร์ ซึ่งมันช่วยให้ศิลปินสามารถใส่ความคิดสร้างสรรค์ของตนเองได้ในขณะที่ยังคงรูปแบบดนตรีที่จดจำได้ง่ายเช่นกัน

หลังจากเกิดการอพยพครั้งใหญ่ของคนผิวดำ (Great Migration) จากภาคใต้ไปยังเมืองใหญ่อย่าง Chicago, Detroit, St. Louis เพื่อหางานและชีวิตที่ดีขึ้น การอพยพนี้ก็ได้นำเอาเพลงบลูส์เข้าสู่เมืองใหญ่ด้วย จากแค่กีตาร์โปร่งเรียบง่ายแบบ Delta Blues ก็ได้กลายร่างเป็น Chicago Blues ที่ใช้กีตาร์ไฟฟ้า ฮาร์โมนิกา และเสียงที่ดุดันขึ้น เพื่อต่อสู้กับเสียงจอแจในเมืองใหญ่

ในช่วงปี 1940–1950 คือช่วงที่ Electric Blues ถือกำเนิด ศิลปินอย่าง Muddy Waters เปลี่ยนเสียงบลูส์ให้หนักแน่นขึ้น และถือเป็นผู้ผลักดันให้บลูส์เข้าสู่เพลงกระแสหลัก ขณะที่ยุค 1960s ก็เป็นช่วงที่ชาวอังกฤษตกหลุมรักกับบลูส์อย่างเต็มตัว วงอย่าง The Rolling Stones, The Animals, และ Led Zeppelin หยิบเอาบลูส์แบบอเมริกันไปทำใหม่ ใส่ความดิบและพลังเข้าไป จนเกิดเป็นร็อกแอนด์โรลที่กลายเป็นตำนานมาจนถึงปัจจุบัน

นับจากนั้น ดนตรีบลูส์ได้แผ่ขยายอิทธิพลออกไปอย่างกว้างไกล กลายเป็นรากฐานของแนวดนตรีใหม่อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Jazz, Soul, Funk, Rock หรือ R&B 

บลูส์ไม่ใช่แค่ดนตรีที่บอกเล่าความเจ็บปวด แต่ยังเป็นพลังที่ส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นแล้วรุ่นเล่า ศิลปินยุคหลังนับไม่ถ้วนต่างเติบโตมากับเสียงกีตาร์ การร้องตอบรับ และอารมณ์เข้มข้นของบลูส์ จนกลายเป็นภาษาดนตรีที่ยังคงมีอิทธิพลข้ามกาลเวลาให้กับโลกดนตรีมานับหลายทศวรรษ

อ้างอิง