อยากรวยคริปโทให้ทำแพลตฟอร์ม! ล่าสุดสองผู้ก่อตั้งตลาด NFT ชื่อดัง ‘OpenSea’ ขึ้นทำเนียบมหาเศรษฐีแล้ว
ผ่านปี 2021 มา เราได้ยินเรื่อง ‘เศรษฐีคริปโท’ ที่บังเอิญไปซื้อบางเหรียญมาตอนราคาถูกๆ แล้วพอเหรียญราคาพุ่งบ้าบอก็กลายเป็นเศรษฐีไปแบบงงๆ มาจนเบื่อแล้ว แต่ในความเป็นจริง ในปี 2022 เมื่อเหล่าคนทำแพลตฟอร์มคริปโทเปิดเผยตัวกันมากขึ้น และมีการประเมินทรัพย์สินมากขึ้น ก็จะพบว่าคนที่รวยจริงๆ ไม่ใช่พวก ‘เศรษฐีคริปโต’ ที่เป็นข่าวรวยข้ามคืนกันหรอก แต่พวกเจ้าของแพลตฟอร์มนี่แหละที่มหาเศรษฐีตัวจริง
เราคงได้ยินว่าเจ้าของ ‘Binance’ ขึ้นเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 11 ของโลกจากการตั้งบริษัทมา 5 ปีแล้วหลังจากการประเมินมูลค่าทรัพย์สินของเขา (ซึ่งยังไม่รวมคริปโทที่ไม่รู้มีเท่าไรด้วยซ้ำ) แต่จริงๆ แพลตฟอร์มใหญ่อื่นๆ ก็รวยไม่ใช่เล่น และล่าสุด ‘OpenSea’ ก็เป็นหนึ่งในนั้น
หลายคนอาจไม่รู้จัก OpenSea แต่คงจะรู้จัก NFT (ที่เราขอไม่อธิบายละเอียดในที่นี้ว่ามันคืออะไร – เพราะถ้าเราบอกว่ามันคือ ‘สิ่งของบนบล็อกเชน’ ก็คงต้องการคำอธิบายต่ออยู่ดี) สิ่งที่เราจะบอกคือ OpenSea คือ ‘ตลาด NFT ที่ใหญ่ที่สุด’ (อย่างน้อยเขาก็โฆษณาตัวเองแบบนั้น) และแน่นอน เจ้าของก็น่าจะรวยไม่ใช่เล่น
ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะ OpenSea นั้นล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 มูลค่าบริษัทถูกประเมินไว้ว่าสูงว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว (สูงกว่าเมื่อครึ่งปีก่อนหน้านี้ถึง 10 เท่าตัว) และนี่จึงทำให้สองผู้ก่อตั้งอย่าง เดวิน ฟินเซอร์ (Devin Finzer) และ อเล็กซ์ อตัลลา (Alex Atala) ถือว่ามีมูลค่าทรัพย์สินเป็นหุ้นบริษัทเกินคนละ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ และขึ้นทำเนียบมหาเศรษฐีในที่สุด
ว่ากันตรงๆ คนพวกนี้เป็นมหาเศรษฐีกันเร็วมากๆ คือใช้เวลาเพียง 4 ปีหลังจากเปิด OpenSea ขึ้นมาในปี 2018 และตอนนี้พวกเขาเป็นมหาเศรษฐีแล้ว (ระยะเวลา 4 ปีในการขึ้นเป็นมหาเศรษฐีนี่คือเร็วพอๆ กับมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กแห่ง Facebook และเจฟฟ์ เบโซส แห่ง Amazon เลยทีเดียว)
จริงๆ ไอเดียของ OpenSea ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย แค่สองผู้ก่อตั้งซึ่งเคยทำงานพวกสตาร์ทอัปใหญ่ๆ มาก่อน (ฟินเซอร์เคยทำ Pinterest ส่วนอตัลลาเคยทำ Palantir) เห็นจังหวะว่า เทคโนโลยีคริปโทมันสร้างสิ่งที่เรียกว่า NFT ได้ และสักวันหนึ่งมันก็น่าจะมีคนซื้อขายอย่างจริงจัง พวกเขาเลยทำแพลตฟอร์ม Opensea เพื่อรองรับตลาด NFT ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไว้เลย โดยโมเดลธุรกิจมันง่ายๆ คือทาง Opensea จะหักค่าธรรมเนียมมูลค่า 2.5 เปอร์เซ็นต์จากทุกการซื้อขาย
ก็แค่นี้แหละ สร้างตลาดมารอตั้งแต่ปี 2018 พอปี 2021 คนเห่อ NFT กัน ราคา NFT ขึ้นเป็นหลักล้านเหรียญสหรัฐเป็นปกติ แพลตฟอร์มก็รับเงินไปฟรีๆ แบบไม่ต้องทำอะไร แล้วพอเป็นแพลตฟอร์มที่ใหญ่สุดในตลาด พวกงานราคาแพงๆ ก็แห่มาขายกันที่นี่ สุดท้ายมูลค่าบริษัทก็สูงขึ้นเรื่อยๆ จนสองคนผู้ก่อตั้งก็กลายเป็นมหาเศรษฐีไปในที่สุด
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ว่าตลาด NFT เองหรือแม้กระทั่งตัว OpenSea ไม่มีปัญหา ในระยะหลังพอตลาดมันโตมาก คนก็โวยมากขึ้นว่างานจำนวนไม่น้อยเป็นงานที่ถูก ‘เอามาทำ NFT โดยไม่ได้รับอนุญาต’ หรือพูดภาษาชาวบ้านก็คือเป็นงาน ‘ละเมิดลิขสิทธิ์’ (ซึ่งในความเป็นจริง ‘ละเมิด’ ไหมนี่ยังไม่ชัดเจนในเชิงกฎหมายที่ต้องกลับไปตีความตัวบทพอสมควรบนความเข้าใจว่าจริงๆ NFT คืออะไรกันแน่) นอกจากนี้ช่วงหลังก็มีข่าวมาว่า จริงๆ งาน NFT ที่ซื้อขายกันแพงๆ จนเป็นข่าวนั้น ตัว ‘เจ้าของ’ เป็นคนซื้อขายและปั่นราคาขึ้นไปเอง โดยอาศัย ‘ความนิรนาม’ ของโลกคริปโท ที่ธรรมชาติไม่รู้ว่าใครคือคนซื้อและคนขาย นำไปสู่การเรียกร้องให้แพลตฟอร์มคริปโทต่างๆ ต้องมีการกำกับดูแลกิจกรรมมากขึ้น
แน่นอน นี่คงทำให้ชาวคริปโทจำนวนไม่น้อยที่ชอบกับสปิริตของ ‘ความไร้กฎระเบียบ’ ไม่พอใจ แต่เชื่อเถอะว่าเหล่าเจ้าของแพลตฟอร์มที่ ‘เปิดหน้า’ มารับตำแหน่งมหาเศรษฐีกันแล้ว ก็คงจะต้องยอมให้ ‘กำกับดูแล’ แต่โดยดี หากเพียงแค่รัฐเรียกร้องมา
อ้างอิง
- Forbes. The First NFT Billionaires: OpenSea Founders Each Worth Billions After New Fundraising. https://bit.ly/3I5wClD