Select Paragraph To Read
- เคยเป็นไหม เสื้อผ้าเต็มตู้ แต่ไม่รู้จะใส่อะไร?
- ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มนุษย์เริ่มใส่เสื้อผ้าจนล้นตู้
- แต่ Fast Fashion ก็มีมุมแย่ๆ เช่นกัน แต่ทำไมถึงแย่ล่ะ?
- จาก ‘IG’ ถึง ‘Cafehopping’ เมื่อไลฟ์สไตล์ส่งเสริมความไม่แฟ(ร์)
- ทางออกของ Overconsumption คือ การเป็น Conscious consumer
เคยเป็นไหม เสื้อผ้าเต็มตู้ แต่ไม่รู้จะใส่อะไร?
เชื่อว่าหลายๆ คนเคยเป็น โดยเฉพาะวัยรุ่นหรือวัยกำลังเข้าทำงานแล้วก็ตาม ยิ่งชื่นชอบแฟชั่น อยากแต่งตัว เวลาเห็นใครแต่งตัวดูดี มีสไตล์ กำลังเป็นกระแสมาแรงก็อยากซื้อตามมาสวมใส่แป๊บเดียวก็เบื่อ ทิ้งไป หรือบางคนขอแค่เพียงได้ซื้อของที่ตัวเองชอบแม้ไม่ต้องใส่ก็มีความสุขแล้ว
แต่รู้ไหม? เวลาที่ซื้อสินค้าประเภทผลิตออกมาเร็ว ไปเร็ว และราคาต่ำหรือเรียกว่าอุตสาหกรรม ‘Fast Fashion’ นี้ กำลังทำลายโลกของเรา
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มนุษย์เริ่มใส่เสื้อผ้าจนล้นตู้
จริงๆ แล้วมนุษย์เพิ่งมาเริ่มต้นซื้อเสื้อผ้ากันเยอะๆ ได้ไม่นานนี้ในช่วงยุค 80s – 90s เนื่องจากสมัยก่อนแฟชั่นเป็นเรื่องของคนรวยหรือคนชนชั้นสูงเท่านั้น แต่พอยุคสมัยเปลี่ยนไป โลกเดินเข้าสู่ยุคระบบอุตสาหกรรม สายพานในโรงงานช่วยให้ผลิตสินค้าจำนวนมาก ด้วยต้นทุนที่ถูกลงมหาศาล เป็นเวลาเดียวกับการถือกำเนิดขึ้นมาของประชากรระดับชนชั้นกลาง และสินค้าแบบ Fast Fashion หรือแฟชั่นที่ผลิตจากสายพานอุตสาหกรรม ก็ช่วยให้แฟชั่นที่เคยราคาแพงกลายเป็นของที่มีราคาจับต้องได้ และสามารถตอบสนองความต้องการของคนชนชั้นกลาง
แต่ Fast Fashion ก็มีมุมแย่ๆ เช่นกัน แต่ทำไมถึงแย่ล่ะ?
เพราะแท้จริงแล้วเสื้อผ้าทุกตัวที่ผลิตขึ้นมาล้วนมีราคาที่ต้องจ่าย ตั้งแต่กระบวนการปลูก ปั่น ทอ ย้อม ไปจนถึงการขนส่ง เช่น กระบวนการผลิตเสื้อผ้านั้นมีการปล่อยคาร์บอนในปริมาณมาก แต่ละปีอุตสาหกรรมเสื้อผ้าสร้างมลพิษสูงเป็นอันดับ 2 และทำให้เกิดขยะมากกว่า 10 ล้านตันต่อปี จึงเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
นอกจากนั้น สถาบันทรัพยากรโลก (World Resources Institute) เผยว่า เสื้อที่ทำจากผ้าฝ้าย 1 ตัว
ใช้น้ำในการปลูกฝ้ายมากถึง 2,700 ลิตร ซึ่งปริมาณน้ำเท่านี้สามารถใช้ได้ถึง 2 ปีครึ่งต่อ 1 คน และใน 1 ปี อุตสาหกรรมสิ่งทอมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์คิดเป็น 10% ของคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งโลก
โดยเฉพาะใยสังเคราะห์ที่ส่งผลกระทบรุนแรงมากกว่า เช่น โพลีเอสเตอร์ ไนลอน สแปนเด็กซ์ ที่ต้องใช้น้ำมันเกือบ 342 ล้านบาร์เรลต่อปีในการผลิต ไม่เพียงเท่านี้ เรยอนหรือวิสโคส เส้นใยที่นิยมนำมาใช้ผลิต โรงงานต้องทำลายป่า เพื่อนำไม้มาสกัดเอาเยื่อ แล้วนำมาเข้ากระบวนการทำเป็นผ้าแค่ 30% เท่านั้นที่นำไปใช้ได้ ส่วน 70% ที่เหลือของไม้ถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน
จาก ‘IG’ ถึง ‘Cafehopping’ เมื่อไลฟ์สไตล์ส่งเสริมความไม่แฟ(ร์)
ไหน ใครเป็นบ้าง?
ถ้าเคยใส่เสื้อตัวนี้ถ่ายลงไอจีไปแล้ว จะไม่ใส่ซ้ำอีก เพราะกลัวโดนทัก
หากเปลี่ยนโลเคชันทีก็ต้องเปลี่ยนชุดตาม เดี๋ยวถ่ายรูปออกมาไม่สวย
อย่างที่เห็นกันอยู่ว่า โลกโซเชียล และกระแสนิยมพยายามบีบให้เป็นสังคมที่ใช้แล้วทิ้ง เช่น ซื้อเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับมาได้ไม่นานก็เบื่อ ตกเทรนด์ก็ต้องทิ้ง ยัดๆ ไว้ในตู้เสื้อผ้าไปเสียอย่างนั้น แล้วซื้อใหม่อยู่เรื่อยๆ ตลอดเวลา
อีกทั้งเกิดวัฒนธรรม Cafehopping ขึ้นซึ่งต่างจากที่อื่นๆ เพราะคนไทยส่วนใหญ่มองร้านกาแฟเป็นแค่ฉากพื้นหลังในการถ่ายรูป ให้ความสำคัญกับคุณภาพ หรือรสชาติของกาแฟเป็นเรื่องรอง และยิ่งกว่านั้นคือ ต้องแข่งกันไปเช็กอิน ร้านไหนมาใหม่ต้องรีบไปถ่ายรูปลงโซเซียลก่อน
หารู้ไม่ว่า พฤติกรรมเหล่านี้ถือเป็นการส่งเสริม ‘วัฒนธรรมการทิ้งขว้าง’ (Throwaway Culture) ซึ่งเป็นปัญหาระดับโลกที่มีมาอย่างยาวนาน ไม่ใช่แค่ในประเทศไทยเรา โดยมีสาเหตุหลักมาจากประชากรเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีการบริโภคเกินความจำเป็น และมีการผลิตที่มากจนเกินไปพร้อมๆ กัน จนในที่สุดก็ต้องทิ้งเป็นขยะจำนวนมหาศาล
ภายใต้โลกแฟชั่นที่มาเร็ว ไปเร็ว ที่เคยคิดว่าสวยหรูเป็นปัจจัยที่ทำร้ายโลกของเรา ซึ่งหลายๆ คนเลือกซื้อเพราะราคาถูกมาก หาง่าย แต่หลายครั้งมักพบกับสินค้าด้อยคุณภาพลงเรื่อยๆ ทำให้ต้องซื้อเสื้อผ้ามากกว่าที่ต้องการ หรือเรียกว่า ‘การบริโภคเกินความจำเป็น’ (Overconsumption) จนกองเสื้อผ้าล้นตู้กลายมาเป็นกองขยะแทน
ทางออกของ Overconsumption คือ การเป็น Conscious consumer
เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วอยากบอกว่า แฟชั่นตามได้นะ แต่ไม่ควรเปลี่ยนเร็วหรือเปลี่ยนบ่อยๆ หรือซื้อตามกระแสจนมากเกินความจำเป็นของเรา และเชื่อว่า หลายๆ คนคงเริ่มอยากลองมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง ซึ่งสามารถเริ่มต้นง่ายๆ
วางแผนก่อนซื้อ ไม่ใช่อยากได้อะไรก็ซื้อเลยในทันที พยายามลองถามใจตัวเองให้แน่นอนก่อนตัดสินใจจะซื้อว่า อยากได้จริงๆ ไหม และสิ่งนั้นมีความสำคัญ มีคุณค่าพอที่เราจะซื้อรึเปล่า
รู้เท่าทันแบรนด์เสื้อผ้า พยายามค้นหาข้อมูลก่อนซื้อ รวมถึงตั้งคำถามถึงที่มาของสินค้าว่า แบรนด์นี้ทำขึ้นมาเพื่อสังคม และสิ่งแวดล้อมจริงๆ ไหม เพราะบางครั้งต้องลดต้นทุน แต่ยังคงการผลิตสินค้าให้ได้ในจำนวนมากๆ แล้วขายได้ในราคาถูก อาจทำให้มีคุณภาพไม่ดีเท่าที่ควร
มี Self-Esteem คือ ต้องรู้จักตัวเองว่า ชอบหรือไม่ชอบอะไร ใส่สีไหนแล้วทำให้เรามีความสุข ใส่แล้วรู้สึกดี รูปร่างเป็นรูปทรงไหน ควรแต่งยังไงให้ดูดี แต่งตัวแบบไหนแล้วสบายใจ และเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด
สุดท้ายนี้ เรายังจำเป็นต้องซื้อเสื้อผ้ามากมายจนกองโตเท่าภูเขาอยู่ไหม ถ้าหากเรานำตัวเก่าตัวเก่งมาใส่ซ้ำ หรือรู้จักมิกซ์แอนด์แมตช์ตัวนู้นเข้ากับตัวนี้ได้ ลองถามใจตัวเองดูว่า ซื้อเยอะๆ ไปทำไมกัน?
อ้างอิง:
● prachachat. การซื้อเสื้อผ้าเกินจำเป็น ส่วนหนึ่งของ “วัฒนธรรมทิ้งขว้าง” ที่กำลังทำลายโลก. https://bit.ly/3fEJJir
● ichi.pro. Fast Fashion กำลังฆ่าโลกของเรา. https://bit.ly/3sK4CMJ
● asia.nikkei. Thailand’s vibrant cafe culture serves ‘selfie society’. https://s.nikkei.com/2R1Otob
CANDY สนับสนุนการให้ ‘คุณค่า’ เสื้อผ้าตัวเก่าตัวเก่ง
มาร่วมเปลี่ยนแปลงโลกจาก ‘ตู้เสื้อผ้า’ ของคุณ ผ่านแคมเปญ #OldShirtDay
วิธีเข้าร่วมแคมเปญ มีดังนี้
- เข้าเว็บไซต์ BrandThink หน้าแคมเปญ #OldShirtDay (https://www.brandthink.me/campaign/oldshirtday)
- สมัคร (sign up) หรือ ล็อกอิน (login) เพื่อเข้าสู่ระบบ Creator ของ BrandThink
- กด Join the Campaign
ถ่ายรูปตัวเองใส่เสื้อตัวเก่า เล่าเรื่องราวของเสื้อตัวนั้นให้ฟังสั้นๆ พร้อมแชร์ไอเดียแก้ปัญหา ‘Fast Fashion’ ในแบบของคุณ