ทศกาลเบียร์ สวนสัตว์มนุษย์ เครื่องมือพรรคนาซี สำรวจประวัติศาสตร์ด้านมืดของ Oktoberfest
ท่ามกลางบรรยากาศของ ‘Oktoberfest’ ปีนี้ ผู้ที่ได้เยี่ยมเยือนเทศกาลยิ่งใหญ่ของเมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี คงจะได้เพลิดเพลินกับทั้งอาหาร เครื่องดื่ม กิจกรรม และประวัติศาสตร์อย่างเต็มอิ่ม ครั้งนี้เป็นการจัดงานครั้งที่ 188 แล้ว แต่ความเก่าแก่ที่ว่าก็ไม่ควรเป็นหตุผลให้เราละเลยเรื่องราวส่วนที่ไม่ค่อยได้ถูกบอกเล่า วันนี้เราเลยจะพาชาว BrandThink มาย้อนสำรวจประวัติศาสตร์ด้านมืดของ Oktoberfest ที่ปีนี้เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน และจะมีไปจนถึงวันที่ 3 ตุลาคม 2023 ไปด้วยกัน
ความจริงแล้ว Oktoberfest ไม่ใช่ ‘เทศกาลเบียร์’ มาตั้งแต่แรกอย่างที่หลายคนเข้าใจ และไม่ใช่เทศกาลเฉลิมฉลองประจำเมืองด้วยซ้ำ แต่มันเริ่มต้นจากการเป็น ‘งานแต่งงาน’ ต่างหาก โดยเป็นการเฉลิมฉลองการเสกสมรสระหว่าง มกุฏราชกุมารลุดวิก ที่ต่อมาเป็นกษัตริย์ลุดวิกที่ 1 (Ludwig I of Bavaria) แห่งบาวาเรีย กับ เจ้าหญิงเทเรเซอ แห่ง ซักเซอ-ฮิลด์บวร์กเฮาเซน (Therese of Saxe-Hildburghausen) ในปี 1810 และขยับขยายเป็นการแข่งม้าให้ประชาชนได้เข้าร่วมอย่างถ้วนหน้า
และเพราะอาณาจักรบาวาเรียสมัยนั้นเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน รวมถึงเพิ่งมีการรวมดินแดนใหม่เข้ามา มีประชากรเพิ่มขึ้น ซึ่งก็คือชาวฟรังโกเนีย การกลืนกลายทางวัฒนธรรมและการสร้างอัตลักษณ์จึงเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งอะไรจะดีไปกว่าการเฉลิมฉลองและจัดงานรื่นเริงให้ประชาชนเข้าร่วม การจัดงานติดต่อกันหลายวันเป็นทั้งวิธีสร้าง ‘ความบาวาเรียน’ ให้ชัดเจน และความบันเทิงให้คนพื้นถิ่นเดิม จนสมาคมเกษตรกรบาวาเรียตัดสินใจที่จะจัดงานนี้ซ้ำในปีต่อๆ ไปด้วย เลยกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในที่สุด
จุดเปลี่ยนสำคัญของ Oktoberfest เกิดขึ้นในปี 1880 กับการอนุญาตให้จำหน่ายเบียร์ และภาพจำของงานในฐานะ ‘เทศกาลเบียร์’ ก็มีมานับตั้งแต่นั้น และในปี 1980 ที่ครบ 100 ปีของการจัดงานในลักษณะนี้ ที่ตัวเทศกาลได้กลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญของดินแดนในช่วงเวลานี้ของปี จึงมีการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อเป็นการฉลองต่อยอดความสำเร็จ รวมถึงดึงดูดประชาชนทั้งจากในพื้นที่และต่างที่ต่างถิ่นให้มาแวะเวียนให้มากขึ้น ซึ่งส่วนนี้เองที่มี ‘กิจกรรมที่ไม่น่าจดจำ’ รวมอยู่ด้วย
การโชว์คนประหลาด (Freak Show) และสวนสัตว์มนุษย์ (Human Zoo) คือกิจกรรมไร้มนุษยธรรมที่เฟื่องฟูมากๆ ใน Oktoberfest ในยุคที่ว่านี้ นั่นก็คือการนำคนชาติพันธุ์อื่นและคนทุพพลภาพหรือมีลักษณะทางกายภาพไม่เหมือนคนทั่วไป มาจัดแสดงให้ผู้มางานจ้องมอง ซึ่งก็เป็นที่นิยมในเมืองต่างๆ ในยุโรปด้วยเช่นกัน ราวกับว่าการนำเอากิจกรรมดังกล่าวมาอยู่ในงานฉลองประจำเมืองเป็นการนำเหล่า ‘ของดียุโรป’ มาไว้ในที่เดียว ทำให้งานฉลองยิ่งเป็นที่นิยมและน่าตื่นตาตื่นใจ
การโชว์คนประหลาดและสวนสัตว์มนุษย์เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างมากในมิวนิกยุคนั้น สะท้อนรสนิยมและค่านิยมดูแคลนมนุษย์ชาติพันธุ์อื่นของชาวยุโรปผิวขาวได้อย่างชัดเจน แม้จะมองได้ว่ามันเริ่มต้นจาก ‘ความอยากรู้อยากเห็น’ เพียงเท่านั้นก็ตาม โดยทุกวันนี้โชว์ในงานคาร์นิวัลอย่างรถไต่ถังและกงล้อปีศาจที่จัดขึ้นใน Oktoberfest ก็ล้วนแต่เป็นมรดกตกทอดของวัฒนธรรม ‘คนไม่เท่ากัน’ จากยุคก่อนทั้งนั้น และแน่นอนว่าในสมัยก่อน ผู้แสดงในโชว์ผาดโผนหรือที่โชว์ที่อากัปกิริยาต้องแปลกประหลาดผิดจากความถนัดของร่างกายมนุษย์เช่นนี้จะต้องเป็นคนชาติพันธุ์อื่นหรือคนพิการ เพื่อดึงดูดผู้ชม
เมื่อเข้าสู่ยุคสมัยของพรรคนาซี ‘การแสดงมนุษย์’ หรือ Human Show เหล่านี้ถูกคัดค้านอย่างหนัก ไม่ใช่เพราะมันไร้มนุษยธรรม แต่เป็นเพราะพรรคนาซีไม่ต้องการให้ผู้ที่ ‘ถูกจัดแสดง’ เข้ามา ‘ปนเปื้อน’ กับคนพื้นถิ่น โดยอ้างว่าต้องการหลีกเลี่ยงโอกาสการ ‘ผสมข้ามชาติพันธุ์’ อย่างถึงที่สุด ซึ่งเมื่อพวกเขาได้อำนาจปกครอง Oktoberfest ก็ตกอยู่ในมือของพรรคนาซีโดยสิ้นเชิง ในฐานะพื้นที่แห่งการโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองที่สำคัญ
ภายใต้พรรคนาซี งานเฉลิมฉลองแห่งบาวาเรีย ไม่มีการติดธงบาวาเรียอย่างเช่นที่เป็นมา และถูกแทนที่ด้วยธงสวัสติกะ ขณะที่กลุ่มคนที่พรรคนาซี ‘ไม่ต้องการ’ ก็ถูกห้ามไม่ให้เข้าร่วม ทั้งชาวยิว ผู้เห็นต่างทางการเมือง และขอทาน โดยในปี 1938 งาน Oktoberfest ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ‘Big German Festival’ เพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์ความเป็นเยอรมันให้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มิวนิกถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง และไม่มีใครนึกภาพออกเลยว่างาน Oktoberfest จะกลับมาจัดได้อย่างไร ในรูปแบบไหน แต่ด้วยความที่ประเทศเยอรมนีแพ้สงคราม และภาพจำของพรรคนาซีที่ปกครองอยู่ก่อนหน้า เป็นสิ่งที่ชาวเยอรมันอยากจะลบเลือน การเฉลิมฉลองที่ส่งต่อกันมานับร้อยปีจึงดำเนินต่อไป ประหนึ่งว่าสงครามไม่เคยเกิดขึ้น เพื่อขับเน้นภาพของการเป็น ‘ประเทศไม่ยุ่งการเมือง’ ให้ชัดเจนต่อสายตาชาวโลก
‘เบียร์ถูกริน วัวถูกหัน ไก่ถูกย่าง’ การกินดื่มที่ไม่รู้จบเริ่มต้นขึ้นในช่วงเวลาเดิมๆ ของทุกปี เพื่อเฉลิมฉลอง เพื่อกล่าวลา เพื่อจดจำ และเพื่อลืมเลือน โดยมิวนิกก้าวเข้าสู่ยุคใหม่หลังสงครามพร้อมหมุดหมายสำคัญในปี 1957 ที่จำนวนประชากรทะลุ 1 ล้านคน และงานเฉลิมฉลองเดิมๆ ก็กลายเป็นเทศกาลที่โด่งดังระดับโลก ที่มีผู้คนหลายล้านคนเข้าร่วม ซึ่งในปี 1961 มีบันทึกว่าผู้เข้าร่วมงานประจำปีนั้นมีมากถึงกว่า 6 ล้านคนเลยทีเดียว
แม้โลกจะเข้าสู่ยุคใหม่แล้ว Oktoberfest ก็ยังไม่ข้ามผ่าน ‘ยุคมืด’ เสียทีเดียว เพราะในวันที่ 26 กันยายน ปี 1980 ได้เกิดเหตุก่อการร้ายที่ทำให้ผู้ร่วมงาน 13 คน รวมถึงผู้ลงมือ เสียชีวิตจากเหตุระเบิดที่ประตูเข้าสู่งาน มีผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน อย่างไรก็ตาม Oktoberfest ก็กลับมาเปิดต้อนรับผู้คนในวันถัดมา ในทางหนึ่ง ความเป็นปกติของผู้คนก็เหมือนเป็นการ ‘สู้กลับ’ คือไม่ยอมจำนนต่อภัยคุกคาม แต่ในอีกทางหนึ่ง ผู้ประสบเหตุก็ไม่เคยได้รับการบำบัดเยียวยา จนวินาศภัยนี้กลายเป็นการต่อสู้อย่างตามมีตามเกิดของประชาชน
จนถึงปัจจุบันนี้ สาเหตุของโศกนาฏกรรมวันนั้นก็ยังคงไม่ชัดเจน โดยรัฐบาลระบุว่า เป็นการลงมือของคนจิตไม่ปกติ และไม่มีความช่วยเหลืออย่างเหมาะสมกับประชาชนในพื้นที่ ขณะเดียวกันก็มีรายงานข่าวว่ามีสัญญาณการเคลื่อนไหวของกลุ่มขวาจัดก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ทุกฝ่ายกลับเลือกที่จะเพิกเฉย สุดท้ายเหตุการณ์ทั้งหมดก็เหลือไว้เพียงอนุสาวรีย์ที่อุทิศแด่ผู้ประสบเหตุเท่านั้น
ทุกวันนี้ Oktoberfest เป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศ และเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดงานฉลองในเมืองอื่นๆ ในลักษณะเดียวกันอีกกว่า 4,000 แห่งทั่วโลก สร้างความบันเทิงให้กับผู้คนมากมายและผลักดันให้อุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่มยิ่งเฟื่องฟู ทิ้งให้ประวัติศาสตร์ด้านมืดบางส่วนตกหล่นและสูญหายไปตามกาลเวลา
การเฉลิมฉลองโดยไม่นึกถึงเรื่องราวไม่น่าจดจำในอดีตไม่ใช่เรื่องผิดร้าย แต่การจะกล่าวว่าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่นี้เกิดขึ้นบนคราบเลือดและน้ำตา รวมถึงการละเล่นที่ไม่น่าพิสมัยที่ตกทอดมานับร้อยปี ก็ไม่ได้ผิดร้ายหรือผิดจากความเป็นจริงเช่นกัน สุดท้ายแล้ว Oktoberfest ที่เป็นมากกว่างานฉลอง มากกว่าเทศกาลเบียร์ ก็ควรได้รับการบอกเล่าเรื่องราวอย่างรอบด้าน ไม่ใช่หรือ?
อ้างอิง
- DW History and Culture. The Dark History of Oktoberfest. https://shorturl.at/GKMSX
- Oktoberfest. The official site for the 188th Oktoberfest. https://shorturl.at/cGHSV
- MunichOktoberfest. History of the Munich Oktoberfest. https://shorturl.at/yMV34