รู้ไหม OK เป็นคำที่ใช้กันมากที่สุดในโลก ว่าแต่คำนี้มาจากไหน?

3 Min
1185 Views
30 Aug 2020

มนุษย์ในโลกนี้ ในภาษาต่างๆ แม้แต่คำพื้นฐานอย่าง ใช่, ไม่ใช่, สวัสดี, ลาก่อน ก็ไม่มีภาษาใดใช้เหมือนกันเป๊ะๆ

แต่ในโลกนี้มีคำๆ หนึ่งที่ไม่ว่าพูดในภาษาใด คนก็น่าจะฟังรู้เรื่อง นั่นคือคำว่า “OK”

 

1.“OK” เป็นคำที่ปรากฎในภาษาพูดแทบทุกภาษาทั่วโลก ทุกวันนี้ใครก็ใช้คำนี้และความหมายใกล้เคียงกันแทนการ ‘ตอบรับ’ และ ‘ยืนยัน’ ได้ทั้งหมด

แม้โลกนี้จะไม่มี ‘ภาษาสากล’ แต่คำว่า “OK” น่าจะใกล้เคียงกับ ‘คำสากล’ ที่สุด เพราะคนฟังแล้วเข้าใจทั่วโลก

คำนี้มาจากไหน? เคยสงสัยไหมเอ่ย

2.ถ้าให้เดากัน คนก็คงจะคิดว่าคำๆ นี้ต้องมาจากภาษาอังกฤษ และน่าจะแพร่หลายไปทั่วโลกพร้อมกับวัฒนธรรมอเมริกันทั้งหลายในช่วงสงครามเย็น

ข้อสันนิษฐานนี้น่าจะถูก บางคนก็น่าจะรู้สึกว่าจบแค่นี้แหละ รู้พอแล้ว แต่บางคนก็อาจจะถามต่อว่า แล้วคำๆ นี้ ปรากฎในภาษาอังกฤษได้อย่างไร?

คำว่า OK ใช้กันเยอะมากในยุคที่โลกใช้โทรเลข ราวตอนกลางศตวรรษที่ 19 และที่ใช้กันก็เพราะ เป็นคำที่ใช้ยืนยันที่ ‘สั้นที่สุด’ เหมาะสำหรับการสื่อสารระยะไกลที่พิมพ์เป็นรหัสมอร์ส

เป็นธรรมเนียมเลยว่า ถ้าส่งโทรเลขจบ ต้องรออีกฝ่ายส่งกลับมาว่า OK ถึงจะถือว่าการส่งสมบูรณ์

ข้อสันนิษฐานนี้สมเหตุสมผล เพราะ “OK” สั้นกว่าคำว่า “Yes” ในภาษาอังกฤษ เท่านั้นไม่พอ คำในภาษาอังกฤษยังไม่มีคำอะไรที่ขึ้นต้นด้วยตัว O กับตัว K เลย

และจริงๆ คำที่มีตัว O แล้วตามด้วยตัว K ก็น่าจะแทบไม่มี

ดังนั้น OK มันจึงเป็นคำที่ชัวร์มากในการส่งโทรเลข กล่าวคือ เป็นคำที่คนจะเข้าใจผิดว่าเป็นคำอื่นไม่ได้เลย และในแง่นี้ โลกของการส่งโทรเลขเลยทำให้ OK เข้ามาอยู่ใน ‘ภาษาทางการ’ และถูกใช้อย่างแพร่หลายในโลกภาษาอังกฤษ ก่อนที่จะกระจายออกไปในกว้างกว่านั้น

 

3.แล้วคำว่า OK มาจากไหน?

เพราะดูจากหน้าตา บางคนก็คงจะเห็นว่า คำนี้มาจากตัวอักษรสองตัวคือตัว O กับตัว K ดังนั้นมันน่าจะเป็นคำย่อ

คำถามมันย่อจากอะไร?

หลายภาษาเคลมว่า OK มาจากภาษาตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นภาษาช็อคทอว์ (อินเดียนเผ่าหนึ่ง) โวลอฟ (ภาษาแถบแอฟริกาตะวันตก) ภาษาฝรั่งเศส ภาษาสก็อต-ไอริช และภาษากรีก ภาษาพวกนี้จะมีคำที่คนอ้างว่าเป็นต้นกำเนิดของคำว่า OK ทั้งนั้น ซึ่งก็จะเป็นคำที่สามารถย่อเป็นคำว่า OK ได้บ้าง คำที่ออกเสียงคล้ายๆ โอเคบ้าง

แม้ความหมายจะต่างกันนิดๆ แต่ที่เหมือนกันคือ เป็นวลีที่ใช้ตอบรับและยืนยันในภาษาเหล่านั้น ที่มีมาก่อนช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่คำว่า OK จะแพร่หลายในโลกภาษาอังกฤษ

แม้ว่าจะมีคำอ้างหลากหลาย แต่ทฤษฎีที่คนเชื่อกันที่สุดและพวกดิกชันนารีมักจะเชื่อก็คือ คำว่า OK มาจากภาษาอังกฤษนั่นแหละ

โดยมาจากคำว่า Oll Korrect ที่แปลว่า “ถูกต้องทั้งหมด”

 

4.ทำไมถึงสะกดแปลกๆ ว่า Oll Korrect แทนที่จะสะกดว่า All Korrect ปกติ

คำตอบคือ มีหลักฐานชัดเจนว่าในช่วงปี 1838 คนอเมริกันแถวบอสตันจะมี ‘ภาษาวัยรุ่น’ ซึ่งจะทำคำหลายๆ คำเป็นตัวย่อ (คล้ายกับหลายๆ คำที่เราใช้แชตกันสมัยนี้)

บางทีก็ด้วยความทะเล้น จึงจงใจจะสะกดผิดๆ ให้ดูกวนๆ เลยเป็นคำว่า Oll Korrect แทนการสะกด All Korrect แบบปกติ

ทฤษฎีนี้ค่อนข้างหนักแน่น ก็เพราะมีหลักฐานเป็นข้อเขียนสมัยนั้นชัดเจนเลยว่า สิ่งพิมพ์แถวบอสตันใช้คำว่า Oll Korrect กันจริงๆ (บางทีก็จะสะกดอย่างอื่น เช่น Ole Kurreck) และคนบอสตันสมัยโน้นก็รู้แล้วว่า คำว่า OK คือตัวย่อของ Oll Korrect เพราะมีการใช้สลับกันไปมาเรื่อยๆ

.หลักฐานอื่นที่ตอกย้ำข้อเท็จจริงนี้ว่า OK มาจากภาษาอังกฤษแน่ๆ คือในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาปี 1840 ทาง Martin Van Buren พยายามจะลงชิงตำแหน่งอีกสมัย และใช้แคมเปญเลือกตั้งว่า “Vote for OK” ซึ่ง Van Buren ก็พยายามจะเล่นคำให้ดูวัยรุ่น เพราะชื่อเล่นของแกคือ ‘Old Kinderhook’ (แปลตรงๆ ว่าตาแก่จากคินเดอร์ฮุค เพราะแกมาจากเมืองชื่อคินเดอร์ฮุค)

แม้ว่า Van Buren จะล้มเหลว แพ้ยับ ไม่ได้เป็นประธานาธิบดีอีกสมัย แต่ผลก็คือ แกได้ทำให้อเมริกันชนรู้จักคำว่า OK กันถ้วนหน้า และทำให้คำๆ นี้ไม่ใช่แค่ ‘คำแสลง’ ของคนแค่ในบอสตันอีกต่อไป แต่เป็นคำที่ใช้กันได้ทั่วไปในภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน

และนี่คือที่มาของคำว่า OK ที่ทุกวันนี้กลายเป็น ‘คำสากล’ ที่คนทั่วโลกเข้าใจตรงกันแล้วว่า

OK หมายความว่าอะไร…

อ้างอิง: