รู้หรือไม่ การกินเครื่องในสัตว์ของเราคือการช่วยโลก

3 Min
2134 Views
20 Nov 2021

ชอบกินเครื่องในกันมั้ยครับ ? เครื่องในอาจเป็นอาหารอันโอชะระดับที่เป็น “ส่วนที่อร่อยที่สุด” ของสัตว์สำหรับบางคน ในขณะที่คนจำนวนมากอาจเบือนหน้าหนีเครื่องในเพราะ “กินไม่เป็น” หรือบางคนก็อาจไม่กินเพราะเหตุผลด้านสุขภาพ เพราะเครื่องในของสัตว์ถ้ากินไปเยอะ ๆ ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของโรคเกาท์ หรือกระทั่งโรคร้ายอย่างโรคหลอดเลือดและหัวใจ

แต่นั่นคือเรื่องของมนุษย์เท่านั้น ถ้ามองในสเกลเรื่องความอยู่รอดของโลกแล้ว การกินเครื่องในอาจเป็นสิ่งที่ดีกว่า เพราะอย่างน้อย ๆ ในเยอรมัน มันมีการวิจัยออกมาแล้วว่า ถ้าคนเยอรมัน “กินเครื่องใน” มันจะสามารถลด “ก๊าซเรื่องกระจก” (ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน) ได้ถึงราว ๆ 14% และเขาก็คาดกันว่าไม่ใช่แค่คนเยอรมัน ถ้าคนในโลกตะวันตกกินเครื่องในกัน มันก็จะลดภาวะโลกร้อนได้ในทำนองเดียวกัน

ทำไมมันเป็นแบบนี้ ?

อย่างแรกคือเราต้องเข้าใจก่อนว่าภาวะโลกร้อนปัจจุบันนี้เกิดจากการปล่อยก๊าซสารพัดของมนุษย์ขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ ซึ่งทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเชื่อกันแล้วว่านี่คือสาเหตุของภาวะโลกร้อน

เราคงไม่สามารถอธิบายในที่นี้ว่า “ภาวะโลกร้อน” เป็นอันตรายต่อโลกยังไงบ้าง แต่ประเด็นในที่นี้คือ ต้นเหตุราว ๆ 14% ของภาวะโลกร้อน มันเกิดจากการเลี้ยงปศุสัตว์ของมนุษย์ ซึ่งนี่มันมาจากความต้องการจะบริโภคเนื้อสัตว์ของมนุษย์

พูดง่าย ๆ คือ ยิ่งมนุษย์ต้องการจะกินเนื้อสัตว์มาก มันก็ยิ่งจะมีการเลี้ยงสัตว์มาก และโลกก็จะยิ่งร้อน ๆ

บางคนอาจบอกว่าการเปลี่ยนอาหารการกินของมนุษย์แบบไปกินพืชเป็นหลักนี่จะช่วยโลกได้ นั่นคือสิ่งที่จริงในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเห็นว่าจะทำได้ เพราะการจะบังคับให้มนุษย์ที่กินเนื้อสัตว์มาจนชินแล้วมันเลิกกินไปเลยนั้น ดูจะยากเย็นเสียยิ่งกว่าการทำให้คนในโลก เลิกใช้รถยนต์แบบใช้น้ำมันเสียอีก

กล่าวคือ ยังไงมนุษย์ก็คงจะกินเนื้อสัตว์ต่อไป ดังนั้น วิธีการที่ประนีประนอมกับความเคยชินในการกินของมนุษย์มากกว่าก็คือ การพยายามเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเนื้อสัตว์ เช่น การกินไก่แทนกินเนื้อ มันก็จะช่วยเช่นกัน เพราะกระบวนการผลิตเนื้อไก่มันก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่ากระบวนการผลิตเนื้อวัว เป็นต้น

อย่างไรก็ดี สิ่งที่จะช่วยโลกได้อีกอย่างก็คือ การกินเนื้อสัตว์ทุกส่วนให้หมด แบบที่สมัยก่อนเรียกการกินแบบ “หัวจรดหาง” กล่าวคือไม่ได้กินส่วน “เนื้อ” เท่านั้น แต่กินส่วนอื่น ๆ ให้หมดด้วย และ “ส่วนอื่น ๆ” ที่ว่าเราก็มักจะเรียกรวม ๆ ว่า “เครื่องใน” ซึ่งในภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า Offal อันไม่ได้มีความหมายแค่ “อวัยวะภายใน” แบบตับไตไส้พุงหรือสมองเท่านั้น แต่รวมส่วนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ “เนื้อ” แบบชิ้น ๆ ที่หั่นมาขายกันได้ เช่น ใบหู เท้า หรือกระทั่งลิ้นของสัตว์

บ้านเราอาจจะรู้สึกว่าการกินสิ่งพวกนี้เป็นเรื่องปกติสุด ๆ (ไม่ว่าเราจะกินหรือไม่) ไปไหนก็มีขาย แต่สำหรับคนในโลกตะวันตก นี่คือสิ่งที่โดยทั่ว ๆ ไปเขาไม่กินกันแล้วในปัจจุบัน

จริงอยู่ในอดีตในยุคที่มนุษย์ไม่ได้มั่งคั่งเท่าไร จะล้มสัตว์ตัวนึงกิน ก็ต้องกินให้คุ้ม ดังนั้น คนสมัยก่อนจึงกินสัตว์ทุกส่วน แต่มาสมัยนี้ ยุคที่เราไปซื้อเนื้อสัตว์จากซูเปอร์มาร์เก็ตกันเป็นหลัก คนในประเทศที่ยิ่งร่ำรวย ก็จะยิ่งไม่ชอบกิน “เครื่องใน” กัน และพวกเมนูเครื่องในทั้งหลายก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเมนูโบราณรำลึกความหลัง สมัยครั้งประเทศยังยากจน ซึ่งอะไรพวกนี้คนรุ่นใหม่ ๆ มักจะไม่ค่อยกินกัน

ผลของการไม่กินเครื่องในของคนรุ่นใหม่ก็แน่นอนครับว่ามันทำให้ “เครื่องใน” พวกนี้เหลือทิ้ง

บางคนอาจบอกมันเอาไปทำอาหารสัตว์ก็ได้ แต่ในความเป็นจริง มันมีอีกหลายอย่างที่มนุษย์ปัจจุบันยังไงก็ไม่กินอยู่แล้วที่ทำอาหารสัตว์ได้ ดังนั้น อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะใช้เครื่องในสัตว์ที่มนุษย์ไม่กิน

และปัญหาที่มากกว่านั้นก็คือ การกินแต่เนื้อสัตว์ มันก็ยิ่งทำให้ต้องมีสัตว์ถูกเลี้ยงมาเป็นอาหารมากขึ้น เพราะคนกินแต่เนื้อ ทิ้งเครื่องในไปหมด และผลของการเลี้ยงสัตว์มากขึ้น มันก็ทำให้โลกร้อนขึ้นอย่างที่ว่ามาแหละครับ

นี่จึงเป็นที่มาของข้อเสนอให้คน (อย่างน้อย ๆ ก็ในโลกตะวันตก) กลับมากินเครื่องในสัตว์กันซะ จะได้มีการลดการเลี้ยงสัตว์ลงได้บ้าง

แต่ก็แน่นอนว่ามีคนแย้งว่า ถ้ากินเครื่องในกันเยอะ ๆ ปัญหาสุขภาพก็จะตามมาอีก แต่ก็นั่นแหละครับ คนเสนอเขาก็ไม่ได้เสนอให้กินเป็นอาหารหลัก กินแทนเนื้อ เพราะเอาจริง ๆ แค่ทุกคนกินกันบ้าง มันก็จะเป็นอาหารส่วนที่ทดแทนเนื้อสัตว์ได้ไม่น้อย และโลกเราก็จะร้อนช้าลง

ดังนั้น ต่อไปนี้ เวลากินเครื่องใน เราก็ไม่ต้องรู้สึกผิดต่อร่างกายของเราอย่างเดียวแล้วนะครับ เพราะเรากำลังช่วยให้โลกร้อนช้าลงอยู่ในระดับโครงสร้างของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ทีเดียว

อ้างอิง