3 Min

กฎหมายป้องกันการผูกขาดทำงานได้จริง อเมริกาสั่งเบรกดีล NVDIA ควบรวม ARM

3 Min
139 Views
13 Dec 2021

Select Paragraph To Read

  • ประเด็นไม่ได้อยู่ที่มูลค่าดีล ประเด็นไม่ได้อยู่ที่คนขาย แต่ประเด็นอยู่ที่ ‘คนซื้อ’ ซึ่งคือเอ็นวีเดีย
  • มันมีการควบรวม ‘เทคโนโลยีผลิตคอมพิวเตอร์’ เอาไว้ในมือบริษัทเดียว
  • การเทคโอเวอร์อาร์มของเอ็นวีเดียมันเลยเป็นเรื่องซีเรียสพอสมควร
  • นี่เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมซอฟต์แบงก์ถึงซื้ออาร์มได้ แต่ตอนเอ็นวีเดียซื้อต้องคุยกันยาว

หากใครตามข่าวไอทีปีที่แล้ว มันจะมี ‘ดีลใหญ่’ ทางธุรกิจดีลหนึ่ง ที่เรียกว่า ‘หยุดโลก’ เลย มันคือดีลที่บริษัททำการ์ดจอชื่อดังอย่างเอ็นวีเดีย (NVDIA) เข้าซื้ออาร์ม (ARM) จากยักษ์ใหญ่ไอทีของญี่ปุ่นอย่างซอฟต์แบงก์ (Soft Bank)

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่มูลค่าดีล ประเด็นไม่ได้อยู่ที่คนขาย แต่ประเด็นอยู่ที่ ‘คนซื้อ’ ซึ่งคือเอ็นวีเดีย

ถามว่าดีลนี้มันใหญ่ยังไง ประเด็นไม่ได้อยู่ที่มูลค่าดีล ประเด็นไม่ได้อยู่ที่คนขาย แต่ประเด็นอยู่ที่ ‘คนซื้อ’ ซึ่งคือเอ็นวีเดีย

เอ็นวีเดียโดยทั่วไปเป็นที่รู้จักกันในฐานะบริษัทที่ผลิต ‘การ์ดจอ’ เจ้าใหญ่สุด แต่อาร์มนี่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้จักเท่าไร ทั้งที่จริงๆ มันคือเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง ‘สถาปัตยกรรมการประมวลผล’ ของสมาร์ตโฟนทั้งโลกทุกวันนี้

คือนึกออกมั้ยครับ สมัยก่อนคอมพิวเตอร์มันต้องเครื่องใหญ่ มันต้องมีพัดลมระบายความร้อนซีพียู แต่พอมายุคสมาร์ตโฟน ทำไมซีพียูอันเล็กจิ๋วไม่พอ มันยังไม่ร้อนจนต้องมีพัดลมอีก คำตอบคือเทคโนโลยีของอาร์มนี่แหละ และมันคือเทคโนโลยีที่ทำให้โลกเปลี่ยนเข้าสู่ยุค ‘ไร้สาย’ ที่เราอยู่ทุกวันนี้เลย

ที่นี้ทำไมเอ็นวีเดียไปซื้อมันถึงเรื่องใหญ่ คำตอบง่ายๆ คือ ตอนนี้ใครมีเทคโนโลยีของอาร์มในมือมันก็เรื่องใหญ่ทั้งนั้น เพราะนั่นคือเทคโนโลยีพื้นฐานของสมาร์ตโฟนทั้งหมด แท็บเล็ตเกือบทั้งหมด และรวมไปถึงพวกคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กจำนวนมากด้วย หรือพูดในเชิงอุปมาแล้ว นี่คือเทคโนโลยี ‘สมอง’ ของอุปกรณ์อัจฉริยะทั้งหลาย

ตอนซอฟต์แบงก์ซื้อไปในปี 2016 ก็เป็นข่าวใหญ่แล้วเพราะซอฟต์แบงก์คือบริษัทไอทีเจ้าใหญ่ มันเหมือนจะก้าวสู่อุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์ แต่พอเอ็นวีเดียซื้อนี่อีกระดับเลย เพราะมันคือบริษัทผลิตฮาร์ดแวร์ และเป็นฮาร์ดแวร์สำคัญของคอมพิวเตอร์ด้วย

พูดแบบนี้อาจไม่เห็นว่าเป็นเรื่องเท่าไร แต่อยากให้จินตนาการว่า เอ็นวีเดียไปซื้ออินเทล (Intel) น่ะครับ มันรู้สึกเป็นเรื่องใหญ่หรือเปล่าที่บริษัททำการ์ดจอไปเทคโอเวอร์บริษัททำซีพียู? ถ้ารู้สึก การที่เอ็นวีเดียไปซื้ออาร์มก็ประเด็นทำนองเดียวกันเลย

มันมีการควบรวม ‘เทคโนโลยีผลิตคอมพิวเตอร์’ เอาไว้ในมือบริษัทเดียว

อยากให้ลองนึกภาพตามอีกว่า ทุกวันนี้เนี่ย องค์ประกอบในคอมพิวเตอร์ที่เราใช้ มันมาจากเป็นสิบบริษัท มันมาจากเทคโนโลยีที่อยู่ในมือของหลายบริษัทมาประกอบกัน แต่ถ้าวันดีคืนดี มันมีบริษัทที่ไล่เทคโอเวอร์บริษัทที่ถือครองเทคโนโลยีพวกนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงวันหนึ่ง มันก็อาจเกิดภาวะที่ว่าเทคโนโลยีผลิตคอมพิวเตอร์ทั้งเครื่องมันไปตกอยู่ในมือของบริษัทๆ เดียว

มันจะเกิดอะไรขึ้น? คำตอบคือ บริษัทดังกล่าวอาจคุมราคาคอมพิวเตอร์ทั้งโลกได้ เพราะมันคุมเทคโนโลยีพื้นฐานเอาไว้หมด นั่นยังไม่นับว่าบริษัทอาจสอดไส้อะไรแปลกๆ ไม่ชอบมาพากลเอาไว้ในฮาร์ดแวร์ก็ได้ และผู้บริโภคไม่ว่าจะเป็นคนทั่วไปหรือรัฐบาลก็ไม่มีสิทธิ์จะทำอะไรหรือหลีกเลี่ยงได้เลย เพราะมันมีขายอยู่เจ้าเดียว

คือมองซีเรียส มันอันตรายมากๆ ที่เทคโนโลยีที่สำคัญกับยุคสมัยนี้ถูก ‘ผูกขาด’ ในมือบริษัทเดียว และทุก ‘ก้าว’ ที่มันจะนำโลกไปในทางนั้น ก็เป็นก้าวที่ถูกจับตาเสมอ

การเทคโอเวอร์อาร์มของเอ็นวีเดียมันเลยเป็นเรื่องซีเรียสพอสมควร

ละถ้ายังไม่ชัดพออยากให้ดูเป็นตัวเลข ทุกวันนี้ส่วนแบ่งตลาดซีพียูของสมาร์ตโฟนของอาร์มคือ 100 เปอร์เซ็นต์น่ะครับ (คือสมาร์ตโฟนทุกเรื่อง ใช้เทคโนโลยีของอาร์มหมด มันเลยไม่พูดกันเรื่องส่วนแบ่งตลาดแล้ว) และส่วนแบ่งตลาดของการ์ดจอสมาร์ตโฟนมันประมาณ 39 เปอร์เซ็นต์

บริษัทที่ส่วนแบ่งตลาดโหดขนาดนี้ ถ้ามีบริษัทจากนอกอุตสาหกรรมเทคโอเวอร์ มันถือว่าพอรับได้ แต่ถ้าบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือใกล้กันมาเทคโอเวอร์นี่คนละเรื่องเลย เพราะมันจะเปลี่ยนดุลอำนาจทางการตลาดไปสุดๆ คือส่วนแบ่งตลาดอาจไม่เปลี่ยน แต่ก็มีปัญหา เพราะอาร์มคือ ‘ตลาด’ ทั้งตลาดของซีพียูสมาร์ตโฟน และคนที่ผลิตอะไรเกี่ยวเนื่องได้ ‘ตลาด’ นี้ไป มันเอาไปใช้อำนาจเพื่อคุมตลาดอื่นได้

นี่เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมซอฟต์แบงก์ถึงซื้ออาร์มได้ แต่ตอนเอ็นวีเดียซื้อต้องคุยกันยาว

และหลังจากเจรจากับหน่วยงานกำกับดูแลการผูกขาดมาเป็นปีกว่า (มันดีลกันมาประมาณกันยายน 2020) สุดท้ายกรรมาธิการการค้ากลางของสหรัฐอเมริกาก็สั่งเบรกดีลนี้ในที่สุดในต้นเดือนธันวาคม 2021 ด้วยเหตุผลรวมๆ ว่ามันจะทำให้เอ็นวีเดียมีอำนาจเหนือตลาดฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์เกินไป

และที่เล่ามายืดยาวนี้ ก็อยากจะให้เห็นว่า ขนาดประเทศทุนนิยมโหดๆ อย่างอเมริกา กฎหมายต่อต้านการผูกขาดเขาก็ทำงานจริงๆ มันไม่ใช่บอกว่าตลาดเสรีใครจะซื้ออะไรก็ได้ถ้ามีเงิน เพราะสุดท้าย มันมีลิมิตในการซื้อ การซื้อที่ทำลายการแข่งขัน ‘มากเกินไป’ คือสิ่งที่ต้องห้าม และหน่วยงานอย่างกรรมาธิการการค้ากลางนั้นจริงๆ ก็คือองค์กรอิสระของอเมริกาที่มีหน้าที่โดยตรงเลยที่จะดูแลการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาด และเขาก็มีสิทธิ์ทำให้ดีลล่มได้และทำไปแล้วในกรณีนี้ (เช่นเดียวกับหลายกรณีก่อนหน้า)

อ่านมาถึงตรงนี้ เราจะนึกถึงดีลควบรวมกิจการด้านสัญญาณมือถือที่บริษัทอันดับ 2 และ 3 ควบรวมกิจการกันจนส่วนแบ่งตลาดทะลุ 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วในประเทศอีกซีกโลกก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่ผิดกติกาอะไร มันก็ชวนนึกถึงจริงๆ ว่ากฎหมายต้านการผูกขาดการค้าในประเทศดังกล่าวเนี่ย ตั้งแต่ออกมา เคยบังคับใช้จริงๆ ได้สักครั้งไหม

อ้างอิง: