ยามเจอเรื่องผิดหวัง
ยามเจอเรื่องไม่ได้ดั่งใจ
ยามเจอเรื่องเลวร้าย กระทบกระเทือนจิตใจ
โดยเฉพาะยามที่ต้องสูญเสียอะไรบางอย่างในชีวิตไป
เราไม่มีเวลามากพอจะให้โศกเศร้าได้นานนัก
ตราบใดที่ชีวิตต้องดำเนินต่อไป เพราะมันจะมีจุดหนึ่งที่เราจะ ‘ฮึบ’ ขึ้นมา
นี่ถือเป็นอีกหนึ่งขั้นของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่หรือเปล่า? ก็คงใช่
อาจหมายถึงการมีวุฒิภาวะมากขึ้น เพราะกระบวนการของการจัดการอารมณ์ของเราทำงานได้ไวขึ้น
เทียบกับช่วงวัยเด็ก ส่วนมากคนเราจะแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าเสียใจ และเสียใจจนกว่าจะพอใจถึงจะหยุด ยกเว้นโดนดุ หรือถูกทำโทษ อันนี้ก็จำเป็นต้องหยุด แต่ความรู้สึกเสียใจนั้นจะคงอยู่กับเราไปอีกนาน
แต่เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ต่อให้อยากนอนร้องไห้ให้นานที่สุดแค่ไหนก็ทำไม่ได้ดั่งใจอยาก เพราะการเป็นผู้ใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบมากมายที่ต้องแบกไว้บนบ่า
บางสิ่งเราวางมันลงก่อนเพื่อใช้เวลาเสียใจได้ แต่บางสิ่งก็วางลงไม่ได้ เพราะอาจกระทบถึงคนอื่น ดังนั้น ต่อให้อยากนอนขดกับความเศร้า กรีดร้องอย่างสุดเสียง ปล่อยให้น้ำตารินไหลจนกว่าจะเหือดแห้งไปแค่ไหน ก็ต้องหยุดตัวเองไว้ให้ไวที่สุดอยู่ดี
แล้วกอดความเศร้าเสียใจนั้นออกไปใช้ชีวิตอย่างที่เป็น
เศร้าแค่ไหนก็ต้องเข้มแข็งไว้ อยากร้องไห้แค่ไหน ก็ต้องกลั้นไว้จนกว่าจะถึงเวลาส่วนตัวที่เราจะได้ใช้เวลาคร่ำครวญกับความรู้สึกนั้นต่อได้
ทว่า นึกอีกทีก็ไม่ได้มีเวลาให้เศร้ามากพออยู่ดี เพราะในเมื่อชีวิตต้องไปต่อ จะมัวแต่ร้องไห้หนักเกินไปก็ไม่ได้ ดังนั้น คนเราจึงมีจุด ‘ฮึบ’ ที่จะบอกตัวเองว่า โอเค พอแล้ว ต้องไปต่อแล้วนะ แม้จะยังคงกอดความโศกเศร้าอยูภายในใจก็ตาม
แต่คนเราไม่ได้มีจุดฮึบเท่ากัน บางคนฮึบได้ไว บางคนก็ฮึบได้ช้า แตกต่างกันไปตามความเข้มแข็งทางอารมณ์
ถ้ามันไม่ไหวจริงๆ ก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องปล่อยให้ตัวเองใช้เวลาตรงนั้นกับความเสียใจไปก่อน แล้วพอถึงระยะเวลาหนึ่ง ‘ความฮึบ’ มันจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
เพราะมนุษย์มีสัญชาตญาณการเอาตัวรอดเป็นเลิศอยู่แล้ว หากหัวใจไม่สลายไปหมด ไฟในการใช้ชีวิตมันจะค่อยๆ ส่องสว่างขึ้นมาอีกครั้งเอง
เพราะฉะนั้น แม้ว่าทุกความเสียใจ ทุกความโศกเศร้าจะทำให้ใจเจ็บปวดสักแค่ไหน ค่อยๆ ให้เวลาเยียวยา ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ แต่ก็จำเป็นต้องเข้มแข็งให้พอที่จะปล่อยให้ชีวิตดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็นเช่นกัน
ฮึบๆ เข้าไว้แม้มันจะเศร้าแค่ไหน แต่หัวใจจะค่อยๆ กลับมาพองฟูขึ้นอีกครั้งในสักวันแน่นอน