“เราขอพูดแทนในนาม…ป่าผืนสุดท้าย…ที่เรารัก เพราะเขาพูดแทนตัวเองไม่ได้”

“เราขอพูดแทนในนาม…ป่าผืนสุดท้าย…ที่เรารัก เพราะเขาพูดแทนตัวเองไม่ได้”              

                “ผู้สืบทอดเจตนา สืบ นาคะเสถียร” คำคำนี้ เรามักจะได้ยิน และเห็นอยู่บ่อยๆ สติกเกอร์ติดหลังรถ ตามหนังสือ ตามข่าวบ้าง บางคนรู้จัก สืบ นาคะเสถียร จากการบอกเล่า บางคนฟังมาจากเพลงของศิลปินบ้าง บางคนยิบยกเอาคำพูดของ สืบ นาคะเสถียร มาพูดเพื่อให้ตัวเองดูเท่ห์ บางคนแอบอ้างว่าฉันนี้แหล่ะคือผู้สืบทอดเจตนา แต่จะมีสักกี่คนที่รัก และเข้าใจเจตนารมณ์ที่แท้จริงของ “สืบ นาคะเสถียร”

                เราเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้รู้จักประวัติหรืออินอะไรกับสืบ นาคะเสถียร เลย ได้ยินแต่ชื่อ ไม่รู้เลยว่าเขาคือใคร จนวันหนึ่ง ได้มีโอกาส เข้าไปทำงานในหน่วยงานภาคสนาม ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แถวบ้านเกิดของเราเองและนี้ก็เป็นปฐมบทของการใช้ชีวิตในป่า

                คำถามที่เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า สัมภาษณ์เพื่อวัดความรู้ความสามารถ ทัศนคติของบุคคลที่จะเข้ามาทำงานในด้านการอนุรักษ์ เป็นคำถามง่ายๆ ตรงๆ ไม่ได้เน้นวิชาการอะไรมากมาย แต่ทุกคำถามล้วนแล้วแต่ถามถึงประสบการณ์ สิ่งที่เราเคยทำ และคำถามที่แม้แต่ตัวเราเองก็ต้องกลับมาถามตัวเอง เช่น เราลำบากได้ไหม นอนในป่าได้ไหม ต้องอยู่บนเขา อยู่ในป่า หลายๆวันทนได้ไหม ต้องเสี่ยงอันตรายในบางครั้ง ต้องเจอปัญหาต่างๆนานา เรารับได้หรือเปล่า… ต้องทำอะไรเอง และจะทำอาชีพนี้ได้หรือเปล่า… คำตอบที่บอกเขาออกไปมันถูกเรียบเรียงมาจากบ้านเป็นอย่างดีเพื่องานนี้โดยเฉพาะ บอกเขาว่า “ได้” ไม่มีเขินอาย แต่สิ่งที่เรา คิดว่าตัวเรามีไม่แพ้ใคร ก็คือ ความมั่นใจ มุ่งมั่นที่จะทำงานในสายนี้

                วันแรกในการเข้าไปทำงาน สิ่งที่คิด กับความเป็นจริงมันช่างต่าง หลังจากที่รับฟังข้อชี้แนะ และมอบตัวเข้าทำงานเราและพี่ๆน้องๆ ที่เข้างานพร้อมกัน ถูกสั่งให้ ทำความสะอาด ห้องเก็บหนังสือ จัดหนังสือที่กองฝุ่นเขรอะ เหมือนไม่เคยมีใครมาแตะมันเลยสักครั้ง เราเจอบทความในหนังสือเล่มหนึ่ง และนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการได้รู้จัก “สืบ นาคะเสถียร”

                คืนแรกของการนอนป่า บ้านที่เราได้พักอยู่ท้ายสุดติดริมป่า เป็นบ้านปูนเสริมผนังไม้ยกพื้นสูงที่มองก็ทะลุเห็นป่า หลังคาสังกะสี เก่าๆ ที่มองก็เห็นดาว ที่เปิดเข้าไปก็ต้องอุทาน ว่า Oh, My God!… มันคือ อะไรเนี่ย เพราะมันไม่มีใครมาทำความสะอาด หรือซ่อมมันเลย เราต้องทำกันเอง มันต้องทำอะไรด้วยตัวเองจริงๆ มันเป็นวันที่หลับไปโดยไม่คิดอะไรเพราะเพลียจากการทำความสะอาด และซ่อมบ้านทั้งวัน

                เส้นทางการทำงานไม่ได้เป็นอย่างที่คิดและเป็นอย่างที่หวัง เหนื่อย ท้อ และถอย เพื่อนร่วมทีม ทยอยลาออกไปทีละคน สองคน บางวันต้องเดินเท้าเข้าป่า เดินวันละเป็นสิบกิโล(เมตร) พร้อมสะพายกระเป๋าเป้ แบกเสบียงอาหารและน้ำ บางวันเจอทั้งฝนตก แดดร้อนแทบจะไหม้  บางวันหลงป่า บางคนนอนไม่ระวังโดนแมลงมีพิษกัดต่อย ต้องห้ามกันส่งโรงพยาบาลกลางดึก เดินทางเป็น สิบยี่สิบกิโล(เมตร) เพื่อลงจากเขา มันเป็นอะไรที่หนักสำหรับผู้หญิง แต่มันก็มีความสุข มันสนุกนะ มันทำให้เราได้รู้ในสิ่งที่ไม่รู้ มันทำให้เราได้เจอในสิ่งที่เราไม่เคยเจอ หรือเคยไปมาก่อน และสิ่งสำคัญมันทำให้เรารักป่าผืนนี้ ป่าที่เหลือผืนสุดท้ายในชุมชนของเรา ป่าที่ใครหลายคนมองเห็นเพียงผลประโยชน์ แต่ไม่เคยเหลียวแล ไม่เคยดูแล ไม่เคยรักษา มันเกิดคำถามขึ้นมาในหัวอยู่ตลอดว่า ถ้าเราไม่ดูแล แล้วลูกหลานเรา เขาจะเหลืออะไร? จะยังมีป่า มีต้นไม้ มีสัตว์ป่า ให้เขาได้เห็นอยู่หรือเปล่า? จะเหลืออากาศบริสุทธิ์ หรืออะไรให้เขาไหม? ให้มันเหลือเพียงคำบอกเล่า และเถ้ากระดูกไว้ให้เห็น เช่น ซากกระดูกไดโนเสาร์ ให้เดาและจินตนาการแบบนั้นหรือ ความรู้สึกหวงแหน อยากปกป้องป่า และสัตว์ป่ามันเกิดขึ้น  เหมือนมันถูกถ่ายทอดเข้าไปในเลือดเนื้อ ในหัวใจ โดยที่ตัวเราเองก็ไม่รู้ตัว

                เราเป็นคนแรกและคนเดียวในชุมชน ที่ทำงานด้านการอนุรักษ์ ท่ามกลาง คำดูถูก กระทบกระเทียบเหน็บแนม จากคนในชุมชน เพราะคนในชุมชน ให้ชีวิตแบบคนชนบท เว้นว่างจากการทำอาชีพเกษตรกรรม ก็ต้องเข้าป่าหาของป่าเลี้ยงชีพ ไม่เว้นโดนจับ โดนยืดอุปกรณ์ล่าสัตว์ทิ้งของเพื่อวิ่งเอาตัวรอด เราเลยเหมือนกลายเป็นคนที่หันหลังให้คนในชุมชน เอาตนเข้ากับเจ้านาย แม้จะมีกฎหมาย แต่คนในชุมชน เคยชินกับการใช้ชีวิตแบบเดิมจึงไม่คิดที่จะปรับเปลี่ยน ใช้ช่องทาง ช่วงเวลาที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ลาดตระเวน กระทำความผิด ตัดต้นไม้ หาของป่าเพื่อเป็นอาหาร และขายเลี้ยงชีพตามที่เคย ไม่เว้นแต่ละวัน โดยไม่ได้คิดเลยว่าสิที่ทำอยู่มันจะส่งผลเสียแค่ไหน ต่อไปในวันข้างหน้าจะเกิดอะไร และไม่เข้าใจในสิ่งที่เราเองกำลังทำ

                 เรา ถือ ตัวเองว่าเป็นเด็กรุ่นใหม่ ที่อยากจะสร้างจุดเปลี่ยนให้กับป่าในชุมชน และยังมีกลุ่มเด็กในชุมชน ที่ผลักดันการอนุรักษ์ผืนป่าผืนสุดท้ายของชุมชนให้คงอยู่ มันเลยทำให้เรารู้ว่าเราไม่ใช่คนเดียวที่สู้  พวกเราพยายามทำกิจกรรมเพื่อรักษาป่าต้นน้ำผืนนี้ ให้คนในชุมชนรู้ว่ามันคือบ้าน มันคือที่ที่เราควรรักษา มันคือชีวิต เราเป็นเพียงกระบอกเสียง เป็นสื่อเล็กๆ ที่ต้องการให้คนรุ่นเก่าๆและคนรุ่นใหม่ๆมองเห็นคุณค่าของป่าที่เขาอาศัยอยู่ร่วมกันมาตลอด แม้ว่าเสียงของเราจะไม่ดัง แต่เราก็หวังว่า สักวัน สักเสี้ยววินาทีหนึ่ง เขาจะรับรู้ เขาจะได้ยินเสียงเสียงนี้ กระซิบบอกเขาให้พอ และหยุดทำลาย ลมหายใจ… อากาศบริสุทธิ์… บ้านของลูกหลาน… บ้านของสัตว์ป่า…บ้านของสิ่งมีชีวิต อีกนับพัน นับแสน นับหลายล้านตัว เขาอาจบอกเรามาตั้งนานแล้ว บอกกันมารุ่นสู่รุ่น เขาอาจพยายามบอกทุกคนมาตลอด แต่เขาพูดภาษาคนไม่ได้ เขาพูดภาษามนุษย์ไม่เป็น เราจึงมาขอ  “เราขอพูดแทนในนาม…ป่าผืนสุดท้าย…ที่เรารัก เพราะเขาพูดแทนตัวเองไม่ได้”

                (ปัจจุบันเรายังคงทำหน้าที่ด้านการอนุรักษ์ แม้จะเจอปัญหามากมายก็ตาม ไม่ได้เก่งเท่าใคร ไม่ได้ตำแหน่งใหญ่โต ค่าตอบแทนจะน้อยนิด แต่ เราคิดเสมอว่าสิ่งที่เราทำให้ได้ค่าตอบแทน ไม่ใช่…เพียงเพราะเงินเดือน ตำแหน่ง หน้าที่ แต่ค่าตอบแทนที่เราหวังเป็นที่สุด คือ ฝืนป่าผืนนี้ยังอยู่ชั่วลูกชั่วหลาน กระบอกเสียง เล็กๆอันนี้ สักวันมันจะส่งเสียงดัง และมองเจตนารมณ์ของ “สืบ นาคเสถียร” อยากเปิดกว้าง เรียนรู้ตลอดไป และ “จะขอเป็นแมงมุมที่สร้างใยท่ามกลางแสงแดด”)                          

…………………………………

นามปากกา “ดั่งสายลม”