ยูเออีตั้งเป้า Net-Zero ภายในปี 2050 พร้อมเพิ่มการผลิตน้ำมันให้ได้ 5 ล้านบาร์เวลต่อวัน?

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ได้กลายเป็นชาติแรกในกลุ่ม “Petrostates” หรือประเทศที่เป็นแหล่งทรัพยากรน้ำมันบนอ่าวเปอร์เซีย ที่ประกาศเป้าหมาย Net-Zero ต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศภายในปี 2050

การออกตัวของยูเออีในครั้งนี้ ถูกวิเคราะห์เป็นความหวังสำคัญในการแก้ไขปัญหา ก่อนการประชุม COP26 จะเริ่มขึ้น เนื่องจากประเทศกลุ่มอาหรับที่มีคลังน้ำมันอยู่ในมือมักเมินเฉยต่อข้อเรียกร้องต่อปัญหาโลกร้อนมาโดยตลอด

และอาจเป็นจุดเริ่มต้นให้ประเทศในกลุ่ม Petrostates หันมาเอาอย่างบ้าง

Noor Abu Dhabi โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกของยูเออี | Abu Dhabi Media Office

ทุ่ม 165 พันล้านดอลลาร์ให้กับพลังงานสะอาด

สำหรับแผนการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ในอีกสามทศวรรษข้างหน้า ยูเออีจะทุ่มเงินลงทุนประมาณ 165 พันล้านดอลลาร์ให้กับพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นการต่อยอดจากสิ่งที่ได้ลงมือทำมาก่อนหน้า เช่น การสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ผลิตพลังงานได้เกือบ 1,177 เมกะวัตต์ จากโซลาร์เซลล์จำนวน 3.2 ล้านแผง

ชีค ฮัมเดน บิน โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มัคตูม นายกรัฐมนตรีของประเทศกล่าวว่า

“เรามุ่งมั่นที่จะคว้าโอกาสในการเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคของเรา และใช้โอกาสทางเศรษฐกิจที่สำคัญนี้เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนา การเติบโต และสร้างงานใหม่”

ยูเออี เป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกน้ำมันและก๊าซเป็นหลัก คิดเป็น 30% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายใน แม้ว่าจะมีความพยายามหลายทศวรรษในการกระจายเศรษฐกิจไปสู่ด้านอื่นๆ แล้วก็ตาม

ขณะที่ประชากร 10 ล้านคนในประเทศ มีอัตราการปล่อยมลพิษต่อหัวสูงที่สุดในโลก แซงหน้าประเทศออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกาไปเป็นที่เรียบร้อย

แผนที่แสดงพื้นที่น้ำท่วมเมืองดูไบในปี 2100 หากน้ำทะเลเพิ่มขึ้น 1-3 เมตร l Earth.org

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีแผนผลักดันโครงสร้างพลังงานสะอาด แต่รัฐบาลก็ยอมรับว่ายูเออียังไม่เลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในเร็วๆ นี้ มิหนำซ้ำยังมีแผนเพิ่มการผลิตให้ได้มากกว่าเดิมล้านบาร์เรลต่อวัน

โดย Abu Dhabi National Oil Co. บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของประเทศมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันจาก 4 ล้านบาร์เรล เป็น 5 ล้านบาร์เรล ภายในระยะเวลา 10 ปีนับจากนี้

ฟังดูอาจเป็นเรื่องย้อนแย้ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องลงรายละเอียดแยกกันระหว่างเรื่องการผลิตกับการใช้ ซึ่งยูเออีจะพัฒนาการผลิตและวิธีส่งออกน้ำมันให้เกิดมลพิษน้อยที่สุด ซึ่งก็ยังอยู่ในเป้าหมาย Net-Zero เพราะจะพิจารณาเฉพาะการปล่อยมลพิษที่เกิดขึ้นภายในพรมแดนของประเทศเท่านั้น ส่วนที่ส่งออกไปก็เป็นเรื่องที่ประเทศปลายทางต้องรับผิดชอบต่อ

สำหรับกลุ่มประเทศ Petrostate หรือประเทศเจ้าของแหล่งทรัพยากรน้ำมัน ตลอดจนองค์กรพลังงานสากลต่างเชื่อว่าประเทศต่างๆ ยังต้องการน้ำมันจำนวนมากไปถึงปี 2040 แล้วจึงค่อยลดลงในช่วงหนึ่งทศวรรษก่อนเส้นตายปี 2050

ทุกวันนี้ โลกกำลังผลาญน้ำมันอยู่วันละ 100 ล้านบาร์เรล แต่การจะไปถึงเป้าหมาย Net-Zero ได้ ต้องลดการใช้น้ำมันให้เหลือ 24 ล้านบาร์เรลต่อวัน แล้วการปล่อยมลพิษจะสมดุลกับความสามารถดักจับและฝังก๊าซคาร์บอนฯ ของโลก เช่น จากป่าที่เหลืออยู่

ในวันที่อากาศร้อนโรงแรมหลายแห่งต้องเทน้ำแข็งลงในสระน้ำเพื่อลดอุณหภูมิของน้ำในสระ | AFP

ยูเออีถือเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโลกร้อนชัดเจน ปัจจุบันอุณหภูมิเฉลี่ยในประเทศร้อนกว่าเมื่อ 60 ปีก่อน ราว 1.5 องศา ตามที่ธนาคารโลกคาดการณ์ไว้อุณหภูมิที่นี่อาจเพิ่มไปถึง 2.4 องศา ในอีก 40 ปีข้างหน้า

ซึ่งในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ที่เมือง Sweihan ทางตอนเหนือของประเทศสามารถวัดอุณหภูมิสูงสุดได้ 51.77 องศาเซลเซียส ทำเอาสระน้ำหลายแห่งกลายเป็นออนเซ็นกันเลยทีเดียว

นอกจากเรื่องสภาพอากาศแล้ว ยูเออียังต้องเตรียมรับมือกับระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นหากเราแก้วิกฤตโลกร้อนไม่สำเร็จ

โดยโครงสร้างพื้นฐานเกือบทั้งหมดในดูไบอาจจมอยู่ใต้น้ำภายในปี 2100 รวมถึงเมืองอาบูดาบี ซึ่งอยู่ในที่ราบต่ำก็จะไม่รอดเช่นกัน

ชาวยูเออีส่วนใหญ่หรือประมาณ 85% ต่างอาศัยอยู่ในพื้นที่ชายฝั่งทะเล และแนวชายฝั่งเทียม หมู่เกาะ ซึ่งถือเป็นจุดที่คาดว่าจะจมน้ำทั้งหมด กระทบต่อประชาชนหลายพันล้านคนต้องย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองต่างๆ ในอีก 30 ปีข้างหน้า

เหล่านี้คือข้อมูลที่ปรากฏ และเป็นสิ่งที่ยูเออีจะต้องเผชิญหากมัวแต่ทำตัวเพิกเฉยให้กับปัญหา

อ้างอิง

• Boomberg. UAE Sets 2050 Net-Zero Goal, First Among Gulf Petrostates. https://bloom.bg/3Frp7EK
• The National News. Climate change is making UAE hotter – a trend that will continue. https://bit.ly/3j2JYVr
• The National News. Climate change and rising seas ‘could spell disaster’ for UAE’s coastal cities. https://bit.ly/3vazAzH