“ความ Woke มันเหมือนเรื่อง ‘คนดี’ ในไทย ที่บอกตัวเองว่า Woke แล้วคือดี และดูถูกคนที่ไม่ Woke ว่าเลว ไม่มีจริยธรรม” ปลื้ม – ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล
ผู้ชายที่เบื่อ Woke จากหัวใจ แต่ยังเชื่อว่าไทยต้อง Woke อีกมากมายเหมือนกัน
ย้อนกลับไปในปีค.ศ. 2017 คำว่า “Woke” ได้รับเลือกจากออกซ์ฟอร์ดฯ ให้ถูกบัญญัติลงพจนานุกรมอย่างเป็นการ
นอกเหนือจากการเปิดรับคำศัพท์ใหม่ๆ แล้ว การบัญญัติแต่ละครั้งยังเป็นการสื่อว่าสังคมให้ความสำคัญกับประเด็น ‘เหล่านั้น’ มากขึ้นเรื่อยๆ หรือจะมองว่ามันเป็นเทรนด์ของปีนั้นเลยก็ว่าได้
หากพูดในบริบทสังคม คำว่า Woke เปรียบเหมือนการตื่นรู้จากความมืดบอด (ซึ่งก็มาจาก คำว่า Wake) โดยเราจะพบเห็นมากขึ้นจากการเรียกร้องต่างๆ ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสีผิว เรื่องเพศ เรื่องความเหลื่อมล้ำ และประเด็นอื่นๆ
แต่อย่างไรก็ตาม คนบางส่วนเริ่มไม่เห็นด้วยกับวัฒนธรรมการตื่นรู้นี้สักเท่าไหร่นัก เพราะรู้สึกว่าบางเหตุการณ์ หรือในบางกรณี ชาวตื่นรู้เองก็ข้ามเส้นจนเกินไปมากเหมือนกัน
และถ้าพูดประเด็นนี้ขึ้นมาคงไม่มีใครจะวิจารณ์ประเด็นเรื่อง ดังกล่าวในได้ดุเด็ด ทั้งเผ็ดและมันไปกว่าผู้ชายคนนี้
เขาคนนั้นคือ ม.ล. ณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “คุณปลื้ม” ผู้ดำเนินรายการวิเคราะห์ข่าว Daily Dose ของ Voice TV ชายผู้ที่เคยเป็นทั้งเด็กนักเรียนนอก ทหาร ดารา นักร้อง เป็นผู้ลงสมัครผู้ว่าฯ เป็นนักข่าว เป็นนักวิจารณ์ เป็นคุณพ่อ และยังเคยถูก อนุทิน ชาญวีระกุล รองนายกรัฐมนตรีฟ้องร้องจนเป็นข่าวใหญ่โตอยู่พักหนึ่ง (ปัจจุบันมีการถอนฟ้องแล้ว)
ในขณะที่โลกตื่นตัวเรื่องความเท่าเทียม ทุกคนต่างตื่นรู้ ทำไมเขาถึงเบื่อวัฒนธรรม Woke ขนาดนั้น? คุณปลื้มมีปมปัญหาอะไรในใจกับคนรุ่นใหม่? เขาอคติมากไปหรือเปล่า? นี่คือสิ่งที่ Brandthink อยากรู้ เราจึงชวนเขามาคุยกันให้หายสงสัย
ส่วนเรื่องที่ว่าอ่านแล้วคุณจะตัดสินใจปลื้มหรือไม่ปลื้ม “คุณปลื้ม” นั้นก็เป็นวิจารณญาณของแต่ละคน แต่อย่างน้อยที่สุดก็ให้เขาได้เล่าให้คุณฟังก่อน
ทำไมถึงมาสนใจในเรื่อง Woke?
เมื่อก่อนสมัยผมเรียนจบรัฐศาสตร์จากสหรัฐฯ ผมจะพูดถึงเรื่องที่ผมได้ศึกษามา ตอนแรกจะเป็นเรื่องทั่วไป เช่น การทำรัฐประหาร เป็นสิ่งไม่ควรทำ หรือกระบวนการยุติธรรมจะต้องมีความเป็นธรรมต่อราษฎร ซึ่งต่อมา คนประมาณค่อนประเทศ ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ เขาต้องการประชาธิปไตย เขามองเห็นถึงความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นจากฝ่ายการเมืองต่างๆ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าประเด็นนั้นมันไม่เหลืออะไรให้ต้องขยายความแล้ว ผมรู้สึกว่าคนตาสว่างกันแล้ว ประเด็นนั้นมันจบแล้ว
และด้วยความที่รำคาญความเป็นแผ่นเสียงตกร่องของตัวเอง
ในระยะหลังก็เลยหันมาหาประเด็นใหม่ ๆ พูด ไป ๆ มา ๆ และด้วยความตั้งใจนี่แหละ มันก็เข้าไปสู่ประเด็นเรื่อง Woke เพราะผมสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในต่างประเทศ
พวกสังคมที่มีความเสมอภาคระหว่างกัน สังคมที่เขาเข้าถึงอำนาจทางกฏหมาย และก็ไม่ได้มีการเลือกปฏิบัติอะไรมากเป็นพิเศษนัก หรือสังคมที่เป็นประชาธิปไตยพอสมควรแล้ว เขาไม่ได้ต่อสู้กันเรื่องนั้นแล้ว แล้วมันเหลือประเด็นอะไรอื่น ๆ ที่มันชอบต่อสู้กัน นั่นคือเส้นทางที่นำมาสู่เวลาที่ผมจัดรายการ ที่หาเรื่องใหม่ ๆ มานำเสนอ
และบางทีก็เพื่อให้มันเป็นประเด็นที่ทัวร์ลงด้วย พอทัวร์ลงมันทำให้คนเอาไปคิดต่อ ว่าทำไมมันเป็นเรื่องอยู่ การทัวร์ลงมันเป็นการนำเสนอประเด็นที่เป็นที่ถกเถียงกัน
เมื่อก่อนถ้าวิจารณ์พันธมิตรชุมนุมแล้วคุณดันไปเชียร์ ดร.ทักษิณ อันนั้นก็ทัวร์ลง ตอนนี้ถ้าพูดในแนวประชาธิปไตย ทัวร์มันไม่ลงแล้ว ผมก็ไปหาทัวร์ใหม่ ผมไปหาทัวร์จากฝ่ายก้าวหน้าแทน
เหมือนสถานการณ์เปลี่ยนก็เลยเปลี่ยนประเด็นที่จะนำเสนอ?
ผมค้นพบรสนิยมของตัวผมเอง มันเป็นรสนิยมของมนุษย์โบราณซึ่งมีมานานแล้ว แต่ผมมัวไปติดหล่มอยู่กับการคุยเรื่องสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย ที่มันเป็นเรื่องตามสคริปต์ของผม
ผมก็หันมาหารสนิยมดั้งเดิมที่ผมเคยมี ที่ลึก ๆ มันอยู่ในกมลสันดาน
ซึ่งในเส้นทางสู่การค้นหาตัวตนในการนำเสนอเนื้อหาต่าง ๆ ผมคิดว่ามันสนุกดี แล้วเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าเด็กรุ่นใหม่ที่เรียนจบมาควรค้นหารสนิยมความต้องการหรือตัวตนที่แท้จริง ไม่ใช่เอาแต่สิ่งที่ถือว่าเป็นมาตรฐานตามปกติของเพื่อนร่วมสังคมที่เขาพูดกันว่า นี่คือสิ่งที่ดี
ในทุกเรื่องที่คุณจับประเด็นมา แล้วคุณออกมาเรียกร้อง แล้วคุณได้ถามตัวตนของคุณถึงรสนิยมของตัวคุณ แล้วคุณหาแก่นสารส่วนนั้นของคุณ ผมคิดว่านั่นคือเรื่องที่สนุกกว่า ผมสนใจกับความเป็นตัวตนที่แท้จริงของแต่ละคน ว่ารสนิยมของคนคนนั้นมันเป็นอย่างไรมากกว่า
เช่นการที่เราจำเป็นต้องหันมาขับรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า โอเค สวยงาม แล้วก็ต้องรณรงค์ให้มีการปลูกต้นไม้ แต่การต้องไปชุมนุมต่อต้านการสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ จะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่กระบี่ไม่ได้ คำถามคือแล้วทุกวันนี้ชีวิตคุณใช้อะไร
หรือเรื่อง LGBTQ เรื่องเกย์แต่งงานกัน ผมไม่มีปัญหานะ เวลาคน ๆ นี้ เคลื่อนไหวว่าชายและชายต้องแต่งงานด้วยกันได้ หญิงและหญิงต้องแต่งงานด้วยกันได้ ผมไม่มีปัญหา คุณก็สู้ของคุณไป
แต่สำหรับผมคืออยากรู้ว่า คนที่เคลื่อนไหวอยู่ คุณคนที่เป็นผู้ชายที่รักผู้หญิง และคุณคนที่เป็นผู้หญิงที่รักผู้ชาย ลึก ๆ คุณรู้สึกอย่างไร
หรือสมมติคุณไปคุยกับนักศึกษาที่เป็นผู้หญิงในสหรัฐฯ ที่เพิ่งเรียนจบมา แล้วไปเดินขบวนเรียกร้องให้ผู้หญิงต้องมีสิทธิในการทำแท้ง สมมติคุณดึงผู้หญิงหนึ่งในร้อยคนนั้นมา แล้วคุณมานั่งคุยกับเขาจริง ๆ ผมไม่แน่ใจว่าคนคนนั้นเห็นด้วยกับสิทธิในการทำแท้งไหม
ผมได้สัมผัสกับคนที่เคยทำแท้งมาแล้วแล้วเขาได้เล่าถึงความรู้สึกที่เขารู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าเรื่องเหล่านี้มันลึกไปกว่าเรื่องที่คุณจะแค่ใช้วาทกรรมในการเคลื่อนไหว มันตื้นเขินเพราะคนส่วนใหญ่แค่เอาตามสิ่งที่คนอื่นเขาสอนกัน
แต่ละเรื่องที่หลายคนเคลื่อนไหวมันเคลื่อนไหวไปตามสิ่งที่ถูกบ่มเพาะออกมาในตอนเรียนมหาวิทยาลัย หมายความว่าสิ่งทั้งหมดนี้มันมาจากอะไร ผมว่าเราต้องตั้งคำถามกับตัวเองด้วย
สมมติวันนี้คุณยังไม่มีลูกทัศนะคุณเป็นอย่างหนึ่ง พอคุณมีลูกแล้วทัศนะคุณเปลี่ยน ผมคิดว่าคุณจะต้องซื่อตรงกับการเปลี่ยนแปลงทัศนะ ไม่อย่างนั้นทุกการเคลื่อนไหวมันจะเป็นการเคลื่อนไหวเฟค ๆ ไปเรื่อย ๆ
คุณคิดว่านี่การตื่นรู้ที่แท้จริงหรือ?
สิ่งนี้คือภาวะที่ผมตื่นตัวที่แท้จริง แล้วผมก็ไม่มานั่งเพ้อฝันแล้วว่าเมืองไทยต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้
มันเหมือนกับเวลาคุณค้นพบตัวตน รสนิยมที่แท้จริงของคุณ แล้วคุณมีความสุข ทุกวันนี้ผมกลับมาห้อยพระ ซึ่งเมื่อก่อนสมัยเด็ก ๆ ผมห้อยพระแล้วผมก็สวดมนต์ทุกคืนกับคุณพ่อ แล้วก็เลิกไปเพราะตอนไปเรียนสหรัฐฯ
แต่พอผมเริ่มมีลูก ผมก็นึกถึงสมัยก่อน การมีลูกมันเป็นส่วนหนึ่งของการเริ่มตระหนักรู้ว่าว่าจริง ๆ แล้วสิ่งใดคือสิ่งที่มีคุณค่าในชีวิต ทุกวันนี้ผมกลับมาห้อยพระ ผมตื่นตัวกับความเป็นปลื้ม (ชี้ที่ตัวเอง) มากขึ้น
ผมเริ่มกลับมามีความสุขกับชีวิต ผมไม่รู้สึกว่าผมจะต้องพูดอะไรใช้วาทกรรมอะไร และผมได้ค้นพบตัวตนแล้วก็รู้ว่าอะไรมีค่ากับผม ทุกวันนี้ผมคิดถึงพ่อผมก็ขับรถไปหาแก เข้าไปนั่งคุย มีความสุข
อยากให้ลองอธิบายคำว่า Woke ในมุมตัวเองว่ามองอย่างไร?
ประเด็นของ Woke ซึ่งมันแปลเหมือนคำว่า Awake เป็นสแลงที่ใช้ในยุค 80-90 ในสหรัฐฯ ซึ่งมันแปลว่าการตื่นตัวที่จะเข้าใจว่าความรู้สึกนึกคิดของกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม เพราะฉะนั้นการใช้ภาษา ซึ่งไม่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าถูกล่วงละเมิดมันก็เป็นวิธีการใช้ภาษาของคนซึ่ง Woke คือคนซึ่งตื่นรู้และเข้าใจว่าผู้อื่นจะถูกล่วงละเมิดด้วยวาจาอย่างไรถ้าเกิดใช้ภาษาที่ผิด
Woke เป็นเรื่องของความเสมอภาคทางกฎหมาย และความเสมอภาคในพื้นที่สาธารณะ ในการที่เป็นสิ่งที่รู้กันว่าห้ามเหยียดกัน ห้ามใช้วาจาที่ไม่เหมาะสมต่อกัน มันเป็นมารยาททั่วไป ในยุโรปตะวันตกและในสหรัฐฯ
แต่เมื่อการบ่มเพาะให้คนใช้วาจาที่เหมาะสมกลับตาลปัตรกลายเป็นสิ่งที่เอามาใช้ในการไล่ล่าให้คนไม่มีเสรีภาพในการพูด มันคือตำรวจภาษาที่มาในรูปแบบของการไล่ล่า
แบบที่ถ้าคุณเป็นคนมีชื่อเสียงแล้วคุณไปใช้วาจาที่ไม่เหมาะสม แค่แซวเซเลปฯ ด้วยกันว่าอ้วน คุณหมดอนาคต คุณถูกไล่ออกจากบริษัท ถ้าผมไปแซวว่าคนนี้ตุ้งติ้งจัง ผมจะหางานทำไม่ได้อีกเลย ยิ่งกว่านั้นถ้าผมเป็นผู้ประกาศแล้วผมเสือกไปชมผู้ประกาศร่วมสถานีว่าสวย ผมโดนไล่ออก นรกมีจริง
อาการนี้มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในสังคม แล้วสำหรับผมมันเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลย
มันเป็นความพยายามทำให้มนุษย์เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ คือการมองว่าทุกคนจะกลายเป็นคนที่ไม่มีความหยาบคายเลย ไม่เคยหยอกล้ออะไรเลย ไม่เกลียดใครเลย แฮปปี้ รักทุกคน มันเป็นโลกที่ใสซื่อ โลกสวย ไม่ใช่โลกจริงในความรู้สึกของผม เพราะมนุษย์ทุกคนมันมีอคติในใจทุกเรื่อง
แต่ Woke ในตอนนี้ของเราคือการพยายามทำให้สังคมบริสุทธิ์ ทำให้ความรู้สึกต่าง ๆ ที่ตรงตามข้อเท็จจริง และความจริงใจของมนุษย์หายไป
ในอเมริกาเวลาคุณเปิดทีวีมามันมีแต่คนที่ผมเรียกว่า ‘ขันที’ คือเป็นคนที่ไม่มีรสชาติอะไรเลย แล้วในที่สุด พอมีคนที่มีรสชาติอย่าง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ออกมา คนที่พูดอย่างที่ผมพูด มันคิดยังไงมันก็พูดอย่างนั้น เป็นคนที่กล้าออกทีวีแล้วบอกว่า แอนเจลินา โจลี ก็งั้น ๆ ไม่เห็นสวยเท่าไหร่ ซึ่งตอนนั้นแค่พูดประโยคนี้ทัวร์ลงอย่างมาก ทั้งที่จริง ๆ แล้วทำไมคุณจะออกทีวีแล้วบอก โจลี ไม่สวยไม่ได้ มันมีกฎบัญญัติที่ห้ามพูดอะไรอยู่เหรอ
ตอนนี้ในต่างประเทศ บางฝ่ายเลือกเอาคำว่า Woke มาด่าคนที่คิดว่าตัวเองตื่นรู้ แล้วไปไล่บอกว่าคนอื่นทำไมไม่หัดมีจริยธรรม ไม่พูดอย่างเขาบ้าง
ความ Woke มันเหมือนเรื่อง ‘คนดี’ ในไทย ที่บอกว่าตัวเอง Woke แล้วคือดี แล้วต้องการดูถูกว่าอื่นที่ไม่ Woke ว่าเลว แล้วกล่าวหาคนอื่นที่ไม่ Woke ว่าไม่มีจริยธรรม วาทกรรมคนดีในเมืองไทยเมื่อก่อนมันเป็นวาทกรรมเดียวกันกับพวกที่ Woke ใช้ นี่แหละนี่คือประเด็น
Woke เป็นสภาวะจิตที่รู้สึกว่าต้องต่อสู้ตลอดเวลาเพื่อให้มีความเสมอภาค ทั้งๆ ที่มันมีความเสมอภาคอยู่แล้ว แต่ในเมื่อสังคมที่มันมีความเสมอภาคแล้ว สำหรับผมไม่มีความจำเป็นต้องไปสร้างสภาพการต่อสู้ตลอดเวลาขึ้นมา
อะไรที่มันเป็นอยู่ต้องพยายามเปลี่ยนจากนั้นให้มันเป็นอีกอย่างหนึ่ง คุณก็เอาเกย์ซุปเปอร์ฮีโร่อะไรมาก็ได้ไม่มีปัญหา ผมเอาด้วย แต่อะไรที่มันไม่ได้เป็นเกย์คุณจะทำให้เป็นเกย์ทำไม สิ่งที่มันเป็นชายอยู่ก็ให้มันเป็นชาย คุณก็เอาเกย์ซุปเปอร์ฮีโร่ตัวใหม่ขึ้นมา หรืออย่าง James Bond เป็นผู้ชายได้ ก็ต้องเอา Bond ผู้หญิงให้ได้ เพื่ออะไร
ประเด็นของผมก็คือว่า เพศสภาพมันสำคัญ มันแตกต่าง
แต่มันเหมือนกับเราจะต้องมีทุกอย่างที่มันไม่เคยมี จะต้องมีเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่างตลอดเวลา
ถามจริงคุณอคติมากไปหรือเปล่า?
ผมให้สัมภาษณ์กับ จอห์น วิญญู ในประเด็นที่เขาบอกว่า “คนที่คิดอย่างผมบางทีมันจะเต็มไปด้วยความเกลียดชัง” ผมไม่ได้เกลียด ผมแค่รำคาญกับวาระที่มันอยู่ในสื่อที่พยายามยัดเยียด ซึ่งผมอคติกับอะไรที่จู่ ๆ ก็มายัดเยียด
เช่น เรื่องนักฟุตบอลไม่ยอมใส่เสื้อ Gay pride แล้วทำไมเขาต้องมาต่อสู้เพื่อสิทธิ์ของชาวเกย์ ? คือเขาไม่อยากจะสู้เพื่อสิทธิ์ของชาวเกย์ก็เรื่องของเขา แล้วถ้าคุณจะต่อสู้เพื่อสิทธิ์ของชาวเกย์ก็ได้ ถ้าคนที่เป็นเกย์ถูกเลือกปฏิบัติ ถูกกลั่นแกล้งและถูกกระทำอย่างรุนแรง แต่คุณก็ไม่ต้องเอาธง Rainbow ไปติดหน้าสถานทูตหนึ่งเดือนก็ได้ คือมันกลายเป็นวิธีการที่มันบังคับ และวิธีการบังคับเนี่ยมันน่ารำคาญ
การ Woke มันไม่ได้ช่วยให้สังคมเท่าเทียมขึ้นหรือ?
ผมว่ามันช่วย ถ้าสังคมมันมีปัญหานั้นอยู่จริง ๆ ถ้าสมมุติว่าทุกวันนี้ในสังคมมีการใช้ความรุนแรงกับคนซึ่งเป็นเกย์ เลสเบี้ยนบ่อยๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นผมคิดว่าการยกประเด็นของการล่วงละเมิดซึ่งเป็นเกย์ เลสเบี้ยน ก็ควรทำก็เหมือนกัน
ในอเมริกาการต่อสู้เพื่อสิทธิ์ของคนดำในสมัยที่มีการเลือกปฏิบัติ ในยุค 50-60 การกีดกันไม่ให้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งในยุค 60-70 มันนำมาซึ่งการต่อสู้ของ Martin Luther King การต่อสู้นั้นจำเป็น
แต่สำหรับผมที่เป็นปัญหาก็คือ เมื่อภารกิจมันสิ้นสุดลงแล้ว ก็ไม่ต้องสู้แล้ว
เพราะปัญหาของคนซึ่ง woke คือ เขาเอาสิ่งที่เป็นความเชื่อของเขาว่ามีการกดขี่กันอยู่ตลอดเวลามามองว่าการกดขี่เป็นสิ่งที่ถาวร
คนที่รู้ว่าต้องเลิกต่อสู้คือคนที่มีความสุข คือผมไม่ได้มองว่ามันไม่ได้มีความไม่เป็นเป็นธรรมในสังคมนะ มันมี แต่ไม่ใช่ว่ามันมีความกดขี่กันทุกเรื่องตลอดเวลาขนาดนั้น
สิทธิพิเศษในสังคมไทยจากคอนเนคชันมันมี แต่ถ้าคุณตั้งใจ คุณก็สร้างคอนเนคชันอย่างนั้นได้ มันเป็นโอกาสที่สร้างได้ ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้เลย
และสำหรับผม ถ้าคุณจะมีความสุขในชีวิตตอนนี้หรือไม่ มันขึ้นอยู่กับแค่สองอย่าง คุณต้องประสบความสำเร็จในชีวิตการงาน และคุณต้องสร้างฐานะรายได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง แล้วคุณต้องสร้างครอบครัว มีทายาท เมื่อคุณมีเงินทอง มีวัตถุ มีครอบครัว มีทายาท แล้วคุณประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
วันนั้นคุณจะตื่นมาแล้วมีความสุข แล้วเมื่อคุณมีความสุข คุณก็จะคิดว่าถ้าคนอื่นมุ่งมั่นในเรื่องสำคัญ ๆ พวกนี้ มันก็จะมีความสุขเหมือนกัน World is happy
อะไรคือเส้นแบ่งระหว่างการ Woke ที่คุณโอเคกับรับไม่ได้?
ผมคิดว่าฝ่ายก้าวหน้ามีศักยภาพในการดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้เชื่อ เพราะฉะนั้นคนรุ่นใหม่ก็คงพร้อมจะเถียงกับผมในเรื่อง LGBTQ+ เรื่องคนผิวสี เรื่องความเหลื่อมล้ำ เรื่องสิทธิ เรื่องโอกาสในการประกอบอาชีพ และการสร้างรายได้ ซึ่งดี แต่ผมคิดว่าเส้นแบ่งมันคือความไม่บ้าบอคอแตก ผมไม่ชอบอะไรซึ่งมันเวอร์เกินไป
เรื่องนี้มันกำลังมาในไทย แต่บางทีเมืองไทยมันก็สมควรไง เพราะว่าเรื่องชนชั้นวรรณะ เรื่องฐานะ เรื่องความเหลื่อมล้ำมันมีอยู่มากกว่าสังคมอื่น
เพราะฉะนั้นเมืองไทยก็ควรมี Woke สักระยะ อย่างเรื่อง #MeToo สำหรับผมมันมีหลาย ไดนามิค แต่ผมคิดอยู่เสมอว่าเรื่อง #MeToo มันมีสักรอบมันดี อย่างเช่น Hollywood มี #MeToo สักรอบ มันกวาดพวกที่ชีกอ พวกที่เป็นโปรดิวเซอร์แย่ ๆ ออกไป แต่ว่ามันต้องมีความพอดี
ในอนาคต ผมก็ไม่รู้ ของเรามันอาจจะมี #MeToo ไม่ได้เพราะถ้ามันเกิดขึ้นมันเหมือนนิวเคลียร์ลง คือทุกอย่างจะหายไปหมดเลย (หัวเราะ)
อย่างคุณไปดูที่ผมด่าดิสนีย์ คุณรู้เรื่อง Frozen ใช่ไหม ข้อความของ Frozen คืออะไร? “ไม่ต้องมีผู้ชาย”
Frozen ภาคสอง มันแย่มากนะ เขื่อนที่คนที่มีอำนาจในการปกครองดำริให้สร้าง แล้วเด็กผู้หญิง Frozen สองคนก็ไปบอกชาวบ้านว่าที่ดำริให้สร้างเพราะต้องการให้แผ่นดินยุบได้ง่าย ๆ ถึงเวลาจะได้มีแผ่นดินถล่ม จะได้ยึดครองที่ดิน จะยึดครองป่าทั้งหมด จริง ๆ เขื่อนมันสร้างให้แก้ปัญหาเรื่องไฟฟ้า เรื่องน้ำท่วม เจตนารมณ์ของการสร้างเขื่อนเป็นเจตนารมณ์ที่ดี
แต่ใน Frozen ผู้หญิงสองคนกำลังพยายามจะบอกว่าผู้ชายที่ยิ่งใหญ่สั่งให้สร้างเขื่อนแล้วชาวบ้านเดือดร้อน
อีกประเด็นหนึ่งของ Frozen คือ ไม่ต้องมีผู้ชายก็ได้ ผมจะไม่เซอร์ไพรส์เลยถ้ามี Frozen ภาคต่อไปแล้วหนึ่งในสองคนนี้เป็นเลสเบี้ยน แล้วยิ่งไปกว่านั้นคือการเลี้ยงเด็กได้โดยที่ไม่มีพ่อ เพราะว่าต้องโชว์ให้ดู เพราะว่าพ่อกดขี่อยู่
รับรองถ้ามีภาคที่สาม เดี๋ยวมีเลสเบี้ยนแน่นอน แล้วผมต้องมานั่งด่าอีกรอบ มันค่อย ๆ แซมเข้ามา สิ่งที่น่ากลัวคือมันจะใส่เข้าไปในตัวละครหลัก ที่เด็กผู้หญิงดู แล้วเด็กผู้หญิงก็เป็นวัยที่สับสนจะตาย
จริง ๆ คุณเข้าใจเด็ก ๆ ในไทยที่ยังมีความ Woke อยู่ไหม?
ผมเข้าใจ ตอนนี้เมืองไทยมันอาจจะจำเป็นต้อง Woke เพราะว่ามันมีบางอย่างที่จะต้องต่อสู้ มันมีอำนาจอยู่จริง ๆ เป็นกลุ่มอำนาจที่จับต้องได้ แต่อย่าลืมว่า ต้องไม่เพ้อฝัน การเปลี่ยนโครงสร้างในสังคมมันไม่ได้ทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นสักเท่าไหร่
เพราะส่วนหนึ่งก็คือ ชีวิตคุณทุกคนมันจะดีขึ้นหรือไม่ มันขึ้นอยู่ที่สิ่งที่คุณทำ มันขึ้นอยู่กับอาชีพการงานของคุณ แต่ว่าถามว่าคุณร่วมสร้างประชาธิปไตยแล้วมันดีขึ้นสำหรับประเทศชาติโดยรวมไหม ก็ดีขึ้นแน่นอน แต่มันไม่ได้จะทำให้คุณกลายเป็นเศรษฐี อันนั้นคุณต้องไปทำของคุณเอง