คุยผ่านแว่นตา ‘น้ำหวาน-ชวนา’ Managing Director แห่งเอเจนซี CJ WORX ถึงวงการเอเจนซีในยุคสมัยที่แพลตฟอร์มอาจสำคัญน้อยกว่าชุดความคิด
“คอนเทนต์บนแพลตฟอร์มมีอายุของมัน แต่ว่า big idea ทรงพลังกว่า อยู่ได้ยาวกว่า แล้วมันจะอยู่บนแพลตฟอร์มไหนก็ได้ และต้องอยู่ให้คนจําได้”
นี่คือมุมมองของ ‘น้ำหวาน-ชวนา กีรติยุตอมรกุล’ Managing Director แห่ง CJ WORX ที่มีต่อวงการเอเจนซีในยุคสมัยที่แพลตฟอร์มต่างๆ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด บนความเชื่อว่าตัวเองเป็นนักคิดสร้างสรรค์ พร้อมหาโซลูชัน เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ามากกว่าจะเอ่ยปากบอกว่าตนเป็น ‘นักโฆษณา’
แม้จะคลุกคลีอยู่ในวงการเอเจนซีมากว่า 20 ปี ทว่าหัวเรือใหญ่ของ CJ WORX คนนี้ยังคงรู้สึกตื่นเต้น และมองเป็นความท้าทายที่ยังคงอยากพิชิต เพราะมันสร้างความหมายให้การมีชีวิต และเชื่อว่าในอนาคตมันแตกต่างออกไปจากเดิม
ทุกการเปลี่ยนผ่าน จาก Client Service สู่นักวางกลยุทธ์ จนได้มาบริหารเอเจนซี ในฐานะ Strategic Planning Director คุณเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
เรารู้สึกว่าแต่ก่อนชีวิตมันสงบกว่านี้ หมายถึงว่าเวลาที่เราทํางานแล้วลูกค้าบรีฟว่าจะเอาโฆษณา คําว่าลูกค้าบรีฟเราว่าจะเอาโฆษณา ส่วนใหญ่มันจะเป็น TVC, Print AD, KV แต่ทุกวันนี้เวลาลูกค้าจะเอาโฆษณา แปลว่ากูจะเอา TikTok CapCut หรือเวลาจะเอาโฆษณาแปลว่า อยากได้คอนเทนต์ทาง IG
จากแต่ก่อนที่มันเป็นแค่ material ที่ลูกค้าบรีฟว่า ฉันอยากได้ 5 materials แต่ตอนนี้มันมี 100 แพลตฟอร์มที่เราต้องไป engage ซึ่งแต่ก่อนมีไม่กี่แพลตฟร์ม
มันเลยเป็นการเปลี่ยนผ่านที่เหมือน revolutionize ไม่ใช่แค่แพลตฟอร์ม แต่ยัง revolutionize ความคิดของเรา เออ เราไม่ยอม เราจะไม่แก่
แปลว่าเรามองการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องดีใช่ไหม
เราว่ามันก็ดีนะ เพราะสิ่งที่นักโฆษณากลัวที่สุด คือกลัวว่าวันรุ่งขึ้นจะไม่มีความคิดใหม่ๆ ไปนำเสนอ
เพราะสำหรับเรานักโฆษณาคือนักคิดสร้างสรรค์ คือคนที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ สรรค์สร้าง innovation ใหม่ๆ หมายความว่าถ้าวันรุ่งขึ้นคิดไม่ออก แปลว่าเราคงทํางานนี้ไม่ได้แล้ว
ฉะนั้นแพลตฟอร์มใหม่ๆ เด็กใหม่ๆ ที่เราได้คุย ได้เจอทุกวัน สื่อใหม่ วิธีการทํางานใหม่ ทําให้เราได้คิด ทําให้คนที่อายุ 43 อย่างเรา รู้สึกว่าเฮ้ย Capcut ทํายังไง เฮ้ยเราอยากเปิด TikTok กดติดตามหน่อย คือมันจะมีความแบบ…เราต้องไม่หยุดแค่นี้ ก็สนุกดี
ความสนุกที่ว่านี้ กับการมีแพลตฟอร์มจำนวนมากขึ้น คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง
รู้สึกตื่นเต้นไปอีก เราว่าตั้งแต่แพลตฟอร์มมันเข้ามาเยอะ คือแต่ก่อนคําว่าเอเจนซีโฆษณา คําว่าเอเจนต์ (agent) ก็คือคําว่าตัวแทน ตัวแทนในการทํางานโฆษณาแทนลูกค้า จนวันหนึ่งที่แพลตฟอร์มมี เอเจนซีโฆษณาอาจไม่ต้องมีแล้วมั้ง สามารถเข้าไปยิง Ads ใน Facebook เองได้ จากแต่ก่อนถ้าจะซื้อ TVC ต้องผ่านตัวแทนใช่ไหม แต่ตอนนี้เข้าไปยิง Ads ได้เอง
หรือเดี๋ยวนี้ MarTech ทั้งหลาย จากแต่ก่อนถ้าจะเขียนโปรแกรม ทําเว็บอะไรสักอย่าง จะต้องไปเรียนเขียนเว็บ อาจจะต้องจ้างตัวแทนทําเว็บ developer ทําเว็บ แต่ตอนนี้ MarTech ทั้งหลายอนุญาตให้ทุกคนสามารถมี Skill set อะไรก็ได้ แล้วเข้าไปทําใน MarTech อันนั้น ก็จะเข้าไปหลังบ้านแล้วทําอะไรสักอย่าง จะออกมาเป็นแบบที่นักโฆษณาทํา
“นั่นแปลว่าคําว่า ‘agency’ หรือตัวแทนทําโฆษณา
อาจจะไม่ได้มีความหมายแล้ว ถ้าเราไม่ได้หาความหมายให้ตัวเองจริงๆ ว่าเรามีบทบาทสําคัญในงานๆ นั้น หรือเรากำลังทําอะไรให้เขาจริงๆ นะ”
เราก็เลยคิดว่าความตื่นเต้นนั้นๆ ตั้งแต่มีแพลตฟอร์ม มันเลยทําให้เราตื่นเต้นทุกวัน ว่าวันรุ่งขึ้นเราจะมีงานทําไหมนะ มันตื่นเต้นว่า เอ๊ะ วันนี้ที่ลูกค้าเขาไม่เรียกใช้เราแล้ว เพราะว่ามันมีเครื่องมือบางอย่างที่ทําแทนเราได้ หรือตื่นเต้นที่ว่าจากแต่ก่อนที่เราสามารถสร้างรายได้ก้อนนี้ได้ ลูกค้าเขาไม่ใช้เราแล้วนะ เพราะว่ามีน้องๆ ที่เป็น KOL (Key Opinion Leader) มาทําแทน
นี่คือความตื่นเต้นที่เกิดขึ้น ซึ่งเราเชื่อว่ามันเกิดขึ้นกับเอเจนซีเจ้าใหญ่ทุกเจ้า
ความรู้สึกตื่นเต้นนี้ ช่วยตอบโจทย์หรือทำให้คุณรู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีความหมายหรือเปล่า
เป็นคำถามที่ดีนะ ในแง่ทำงานมันใช่ เพราะสำหรับเราความหมายของการมีชีวิตอยู่ คือการสร้างมาตรฐานใหม่ สร้างองค์ความรู้ใหม่ เพราะเราก็ไม่อยากอยู่ในวงการ แล้วไม่ได้ได้สร้างอะไรเลย มันเหนื่อยมากนะ แต่เราก็ยังอยากเป็นผู้บุกเบิก ผู้นำทางอยู่ วิธีการทํางานของเราเลยเหมือนต้องหาสิ่งใหม่ในทุกวัน แต่ก็ไม่ใช่หาสิ่งใหม่อย่างเดียว
มันคือการเอาสิ่งใหม่อันนั้นมารวบรวม และสร้างคุณค่าให้กับมัน
เพราะคุณมองความรู้สึกเหนื่อยที่ว่านี้ เป็นความเหนื่อยที่ดี เป็นความท้าทายให้เราใช่ไหม
ธรรมชาติของมนุษย์ มันจะมีสารเคมีตัวหนึ่งที่จะหลั่งตอนเช้า เพื่อให้เราได้ตื่นและออกไปล่าสัตว์ ซึ่งสารเคมีตัวนั้นมันคือสารแห่งความเครียด หมายถึงว่ามนุษย์ถูกปลุกให้ตื่นทุกเช้าและออกจากถ้ำไปล่าสัตว์
ถ้าถามว่าความตื่นตัวนั้น มันทําให้เกิดสารเคมีที่ทําให้เราเครียด
แต่เราต้องออกไปล่าสัตว์ เราว่ามันคือเรื่องปกติ เรามีความจําเป็นที่ต้องมีสารเคมีนั้น เพื่อให้เราได้ออกไปกระทําสิ่งที่มีความหมายกับชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน มันจะได้มาซึ่งความเครียดด้วย
ทั้งความตื่นเต้นและความเหนื่อยที่คุณประสบ มองมันเป็นผลในแง่บวก?
ใช่ ไม่มีอะไรเป็นแง่ลบ เราว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ดีทุกอย่าง แต่เพียงแค่ว่าต้องมีทักษะการแก้ปัญหา คือพอมันเกิดปัญหาขึ้นทุกวัน เหมือนหน้าที่ของเราคือคนดับไฟ เออ แต่พอเราทําแบบนั้นทุกวันแล้ว เราก็คงจะต้องเชื่อว่าสุดท้ายมันคงกลับไปเป็นจุดที่ดีได้
ถ้าอย่างนั้นความเชื่อแบบใดที่คุณยึดถือไว้ใช้ในการทำงาน ตลอดระยะเวลาที่คลุกคลีในวงการเอเจนซีมา 20 ปี
จริงๆ อาจจะต้องยกเครดิตให้ครอบครัว นอกจากเขาอาจจะสรรค์สร้างดีเอ็นเอในหัวสมองของเรามาแล้ว เขายังสอนให้เรามีความตั้งมั่นกับสิ่งที่เราจะทําด้วย เพราะเราเชื่อว่าไม่มีอะไรที่เอาชนะการทำอะไรซ้ำๆ ความตั้งใจทำซ้ำๆ ได้ หรือไม่ก็คงเป็นความอยากเอาชนะ เพราะถ้าพูดถึงความฉลาด ไม่มีหรอก เพราะที่บ้านเป็นหมอกันหมด แต่เราไม่ได้เป็น
แล้วเคยไหม พอทำอะไรซ้ำๆ มากๆ เกิดรู้สึกท้อ ไม่อยากทำแล้ว มันวนลูปเกินไป
ก็เพิ่งเป็นเมื่อวันเสาร์ที่แล้วนี่เอง ที่เราร้องไห้ มันเหมือนวันจันทร์ถึงศุกร์ เราลืมไปว่าเราเป็นคน เราเป็นเหมือนหุ่นยนต์ ก็คือทํางาน ทํางาน ทํางาน สั่งงาน สั่งงาน สั่งงาน แก้ปัญหา แก้ปัญหา แก้ปัญหา พอจังหวะที่เราได้อยู่กับตัวเอง ก็จะมีจังหวะที่ดร็อปลง แล้วก็จะคิดว่า เฮ้ย ที่ผ่านมา ทําไมเราเหนื่อยจังวะ แต่มันก็กลับมาได้เหมือนเดิม กลับมามีพลังทำอะไรเดิมๆ ซ้ำๆ อีก
เพราะเราเชื่อว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เหนื่อยก็ร้องไห้ แล้วพอร้องไห้หาย ก็กลับมาทําสิ่งที่ต้องทําต่อ
ทำไมทุกวันนี้คุณถึงมองว่าหน้าที่ของ ‘เอเจนซี’ ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของโฆษณา แต่เป็นเรื่องของ ‘Solution’ ที่ตอบโจทย์แบรนด์ลูกค้าได้
เราคิดว่าปัญหาของนักโฆษณาก็คือ เขาทําโฆษณาเพื่อที่เขาจะปล่อยโฆษณา แต่เขาไม่ได้สนใจว่าทําโฆษณาแล้วยอดขายของลูกค้าจะมาหรือเปล่า มันเหมือนกับคนที่มีค้อน เขาเห็นอะไรก็เป็นตะปูหมดเลย พอเห็นตรงนี้ก็จะตอก ซึ่งจริงๆ แล้วเราต้องเห็นทุกอย่างว่า อ๋อ ลูกค้าเขามี pain point อะไร ซึ่ง pain point นั้น มันไม่ได้แก้ด้วยหนังโฆษณา แต่แก้ได้ด้วยอย่างอื่น
อาจจะด้วยวิธีการที่เล็กน้อย ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรมาก เราว่าอันนั้นเจ๋งกว่าเยอะเลย
กว่าจะได้มาซึ่ง Solution เพื่อเพิ่มยอดขาย หรือตอบโจทย์ลูกค้า ต้องทำอย่างไรบ้าง
หลักๆ เราใช้ความเข้าใจหรือการรับฟัง เราต้องเข้าใจเขาก่อนว่า pain point เขาคืออะไร แล้วเราก็เป็นคนที่มี empathy มาก แล้วก็เป็นคนที่ sensitive มันก็เลยทําให้เป็นข้อดี
เหมือนเป็นฟองน้ํา ที่รับพลังงานจากคนอื่นว่าเขาเป็นอะไรมาวันนี้ แล้วก็คงจะเอาตรงนั้นมาช่วยเขาคิดเป็นโซลูชันที่มันมีการแตะ pain point ของเขาได้เยอะกว่าคนอื่น
ยกตัวอย่าง Solution แบบไหนที่คุณประทับใจ หรือมีอิทธิพลต่อการทำงานมาก
อาจจะไม่ใช่เป็นเคสที่ได้รับรางวัลอะไร แต่เราเป็นจิตอาสาของมูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก เพราะว่าตอนอายุ 25 ปี เราเกือบจะตายด้วยโรคไข้เลือดออก เขารับเราไปรักษาอยู่ประมาณ 7 วัน จนหายออกมาใช้ชีวิตได้ปกติ เราเลยอยากกลับไปตอบแทนมูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก ด้วยการใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่ ในการทําโซลูชันนิดๆ หน่อยๆ แถมยังช่วยต่อชีวิตคนอื่น มันสร้างคุณค่าให้กับชีวิตตัวเอง งานนี้มันเลยมีความหมายมากกว่างานที่ได้รางวัล
หลายคนอาจมองว่าการตลาด (Marketing) เป็นศาสตร์ที่หนักไปทางศิลปะ การใช้คำ การเล่นกับ ‘Insight’ การทำ ‘Art Direction’ แต่ทำไมคุณถึงมองว่าเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์
สำหรับเรางานโฆษณาคืองานที่เป็นตรรกะ (logic) เราทําสิ่งนี้ เพราะต้องการสิ่งนี้ ทุกอย่างมันมีเหตุผลของมัน ที่เราต้องทํา และเราเชื่อว่างานโฆษณาคือวิทยาศาสตร์ ที่ต้องหาเหตุผลมาซัปพอร์ตได้เสมอ แล้วออนท็อปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ไอเดียของเรามันจะได้เป็นไปได้ คิดอะไรก็ได้ ซึ่งเราเชื่อว่ามันนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดี
ทำไมคุณถึงเชื่อว่า ‘Big Idea’ สำคัญกว่าแพลตฟอร์ม
เราว่าคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มมีอายุของมันเนาะ แต่ว่า big idea มันทรงพลังกว่า อยู่ได้ยาวกว่า แล้วมันจะอยู่ที่ไหนก็ได้ เลยคิดว่า big idea สําคัญมาก ซึ่งอยู่บนแพลตฟอร์มไหนก็ได้ และอยู่ได้นานกว่า อยู่ให้คนจําได้
แล้วจะทำอย่างไร ให้ ‘Big Idea’ เกิดประโยชน์สูงสุด
เราว่า big idea มันเป็นก้อนความคิด แล้วจะทำให้มันเกิดประโยชน์สูงสุด คือการเอาไปอยู่ใน touchpoint ของกลุ่มเป้าหมายที่เราอยากคุย เพราะถ้าเกิด big idea อยู่ผิดที่ก็อาจจะไม่มีประโยชน์ หรืออยู่ผิดเวลา ก็อาจจะไม่มีประโยชน์ มันเลยต้องอยู่ในกาลเทศะ แล้วก็อยู่กับคนที่ถูกต้อง มันถึงจะเกิดประโยชน์จริงๆ
มองอย่างไร เมื่อยุคนี้ที่ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตการทำงานมากขึ้น
ณ ตอนนี้ เรามองว่า AE สําคัญกว่า AI นะ หมายถึงว่าไม่เคยคิดว่า AI จะสามารถมาทำงานแทนคนได้ เพราะเราเป็นนักคิด สร้างสรรค์ที่คิดโดยไม่มีแพตเทิร์น ทำให้ AI ไม่สามารถเลียนแบบได้ เราจึงต้องพยายามเป็นคนนั้น คนที่อยู่เหนือ AI
ถ้าอย่างนั้นแปลว่าเทคโนโลยีอย่าง AI จะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของคุณ?
ใช่ คงไม่ส่งผลกระทบ แต่ความยากคือ เราต้องเรียนรู้และเข้าใจว่า AI มันทำงานยังไง เราจะได้หลีกเลี่ยงการทำงานแบบมันเพราะเราคงทำงานแบบแพตเทิร์นเดิมๆ สู้มันไม่ได้ เราเลยต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เพื่อที่จะสั่งการและควบคุมมันได้
แล้วจะทำอย่างไร ถ้า AI สามารถเข้ามาแทรกแซงหรือแย่งงานคนทำเอเจนซีได้
จริงๆ สิ่งที่ทำลายหรือทำให้ทุกอย่างวุ่นวายก็คือตัวมนุษย์เอง หมายถึงมนุษย์ดันสร้าง AI ขึ้นมาเอง เพราะฉะนั้นมนุษย์ต้องเป็นผู้รับผิดชอบกับการกระทําของตัวเอง ฉะนั้นต้อทำให้ความคิดของเราไม่เป็นแพตเทิร์น ต้องเอาชนะมันให้ได้
เคยมีวันที่หมดพลัง รู้สึกเหนื่อยกายเหนื่อยใจกับวงการเอเจนซีบ้างไหม แล้วมีแนวทางหรือวิธีการเยียวยาตัวเองอย่างไร
เราเชื่อในเรื่องของธรรมะ คิดว่าทุกอย่างตั้งอยู่ดับไป ความเหนื่อยก็ตั้งอยู่ เดี๋ยวพอนอนก็ดับไป ตื่นขึ้นมาก็หายเหนื่อย ความทุกข์ก็ตั้งอยู่ วันรุ่งขึ้นก็ดับไป มองทุกอย่างให้เป็นเรื่องธรรมดา
เช่นจังหวะที่เราผ่านช่วงโควิด จนถึงช่วงที่เราผ่านวิกฤต ก็จะมีข่าวมากมาย แต่เราเชื่อว่าวันหนึ่งที่คนเราเวลาดําดิ่ง จนไปถึงจุดต่ำสุดแล้ว เดี๋ยวธรรมชาติจะทําให้เราวิ่งกลับมาสู่จุดปกติอยู่ดี แล้วเดี๋ยวมันก็จะดิ่งลงไปใหม่
เบาขึ้นเบาลงมันก็คือเรื่องปกติของชีวิต ถ้าเรามองให้ดิ่งมากมันก็จะดิ่งแหละ แต่ถ้าเรามองว่าก้นเหวมันก็แค่นี้เองนี่หว่า เดี๋ยวก็จะปีนกลับขึ้นมาได้ เราว่าทุกอย่างมันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ทุกข์มาก ไม่สุขมาก
เพราะเป็นคนมองความจริงเป็นหลักด้วยหรือเปล่า
ใช่ๆ เพราะจริงๆ เป็นคน emotional เนอะ เป็นคนที่ขึ้นสุดลงสุด ด้วยอารมณ์ แต่พออายุเท่านี้เราเคยอยู่จุดนั้นมา ก็จะรู้สึกว่าเออขึ้นได้ลงได้แหละ แต่เดี๋ยวมันก็จะกลับมาอยู่บริเวณเส้นกลางๆ เดิมๆ แต่ก่อนหน้านี้คือทุกอย่างต้องเพอร์เฟกต์ ฉันจะต้องเป็นแบบนี้ ฉันห้ามเป็นแบบนี้ ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาด้วย
จุดไหนที่ทำให้คิดว่าทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตไปแล้ว
จริงๆ มีหลายจุดมาก แต่จุดหนึ่งที่สำคัญคือเวลาเราตั้งหน้าตั้งตาจะทําให้มันเพอร์เฟกต์ เราอยากจะไป ณ เส้นที่เราเขียนไว้ แล้วคนอื่นเขาต้องมีความทุกข์กับเส้นนั้น จะรู้สึกว่าเราเอาเปรียบความสุขของเขา เพราะเขาไม่รู้สึกอยากไปเส้นนั้นกับเราด้วย แต่เราไปบังคับให้เขาไปด้วยกัน อันนั้นน่ะคือความทุกข์ของเรา เพราะเราไปบังคับเขา
หรือว่าอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจเรามากๆ แล้วเราอยากจะเอาของเขวี้ยง แต่มันคือความทุกข์ ที่ทําให้เขาเกิดความทุกข์ แต่ก่อนมันจะมีจังหวะที่เรารู้สึกว่า ไม่ ฉันอยากทําแบบนี้ ฉันอยากได้แบบนี้ แต่ตอนนี้มันก็เปลี่ยนไป เพราะว่าเราไม่อยากเอาเปรียบความสุขของคนอื่น
สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในชีวิตของคุณ ณ ปัจจุบันคืออะไร
ไม่รู้ตอบแบบนี้จะเห็นแก่ตัวไหม แต่ว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดและอยากรักษาไว้ให้ดี คือพลังงานของตัวเองแบบนี้ เพราะพลังงานแบบนี้ ก่อให้เกิดประโยชน์กับคนหลายๆ กลุ่ม ถ้าเรายังมีพลังงานแบบนี้ได้ แปลว่าจะมีคนอีกมากมายได้รับประโยชน์จากพลังงานของเรา เลยขอให้พลังงานแบบนี้ยังคงอยู่ต่อไป
ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่ของวงการเอเจนซี มีอะไรที่อยากแนะนำน้องๆ เอเจนซีรุ่นใหม่บ้างไหม
อยากให้คิดว่าเราอยู่ในห้องประชุม เรามีคนที่แก่กว่าอยู่เยอะ อยากให้น้องๆ ให้คุณค่ากับคนที่เขามีอายุ เด็กสมัยนี้มักชอบคิดว่าเราเก่ง เราเกิดมาพร้อมกับแพลตฟอร์ม เราทำนู่นทำนี่ได้ ขณะที่รุ่นป้ารุ่นลุงทำไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วพวกเขามีประสบการณ์ อย่างน้อยก็เกิดมาก่อน เลยอยากให้เคารพบนการมีประสบการณ์นั้นๆ ของพวกเขา
เวลาเราไปประชุมแล้วมีลูกค้าที่อายุเยอะกว่า เราจะตั้งคำถามเสมอว่าทำไมเขาถึงยังนั่งตรงนี้ได้นะ ยังทำตรงนี้ได้ มีสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อนในชีวิต คงดีถ้าเราได้เรียนรู้จากเขา ซึ่งเราก็รู้สึกว่าเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้เก่งมาก แต่อย่าลืมว่าความเก่งหรือความฉลาด ต้องมาพร้อมกับระยะเวลาที่ได้บินอยู่บนท้องฟ้า จะได้รู้ว่าจังหวะที่ตกหล่นลงมาเป็นแบบไหน ขึ้นแล้วลงยังไง
อยากบอกน้องๆ รุ่นใหม่เวลาที่เราคิดอะไรออก ให้นึกก่อนว่า ทำไมพระเจ้าถึงจะประทานพรให้คิดสิ่งนี้ได้คนเดียวเหรอ เพราะเด็กสมัยนี้ชอบคิดว่า อ๋อ เฮ้ย คิดออกแล้ว ใช่เลย แต่จริงๆ แล้ว ลืมคิดตรงนู้นตรงนี้ไปหรือเปล่า มันมีหลายอย่าง ลองฟังนิดนึง เพราะเขามีประสบการณ์มากกว่าเรา
สุดท้ายด้วยสายตาที่คลุกคลีอยู่ในวงการเอนเจนซีมาตลอดระยะเวลาหลายปี คิดว่าอนาคตวงการนี้จะเป็นอย่างไร
วงการเอเจนซีจะมีจุดยืนที่ชัดเจนขึ้น จะไม่มีเอเจนซีที่ทำทุกอย่าง แต่เป็นเอเจนซีที่เฉพาะเจาะจงไปเลย เช่น เรื่องของอาหาร เรื่องของรถยนต์ เรื่องของความสวยความงาม ไม่มีแบบโอ๊ย… ฉันทำทุกอย่างบนโลกนี้ มันเป็นไปไม่ได้ ในอนาคตถ้ายังอยากอยู่แบบมีที่ยืนแบบเท่ๆ เราต้องชัดเจนว่าจะเป็นเอเจนซีที่เก่งเรื่องอะไร เพราะพิสูจน์มาแล้วว่าการทำทุกอย่างพร้อมๆ กันในทุกๆ วงการ มันทำได้ไม่ดี