รัฐประหารแล้วได้อะไร? หนึ่งปีผ่านไป ‘เมียนมา’ ระอุสงครามกลางเมือง ทุนต่างชาติหนี-ประชาชนกลายเป็นผู้ก่อการร้าย
เมียนมาเคยตกอยู่ภายใต้อำนาจของ ‘รัฐบาลเผด็จการทหาร’ มายาวนาน ก่อนจะมีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2008 ที่เปิดทางให้มีการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบเกือบครึ่งศตวรรษ และก็มีการเลือกตั้งครั้งต่อๆ มา จนกระทั่งได้รัฐบาลพลเรือนอย่างเป็นทางการในปี 2015 และ 2020 ซึ่งพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ NLD ที่มี ‘อองซานซูจี’ เป็นผู้นำ ได้รับชัยชนะถล่มทลายยิ่งกว่าพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (USDP) ที่มีกองทัพเมียนมาหนุนหลัง
จนกระทั่งเกิดรัฐประหารเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2021 ทุกอย่างก็เหมือนถูกดึงกลับสู่รูปรอยเดิมที่กองทัพและเครือข่ายนายทหารระดับสูงของเมียนมากลายเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของประเทศแทนกลุ่มคนในแวดวงการเมืองที่ได้รับเลือกมาจากประชาชน
แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิม คือ การที่คนเมียนมาลุกฮือขึ้นต่อสู้กับรัฐบาลทหาร ‘ทันที’ ที่มีการประกาศยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน โดยคนที่มาร่วมชุมนุมต่อต้านรัฐประหารในช่วงแรกของเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว มีตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงคนวัยหนุ่มสาวที่เพิ่งเริ่มทำงาน รวมถึงกลุ่มวิชาชีพต่างๆ ที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่วัยกลางคน ไม่ว่าจะเป็นครู แพทย์ พยาบาล รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐอีกหลายฝ่าย ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้วิธี ‘อารยะขัดขืน’ หรือการประท้วงอย่างสันติ ไม่ว่าจะเป็นหยุดงานประท้วง, เคาะหม้อเคาะไหเพื่อแสดงการประท้วงเชิงสัญลักษณ์ว่าไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร เรื่อยไปจนถึงการเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ในสื่อสังคมออนไลน์เพื่อประณามกองทัพที่ยึดอำนาจจากรัฐบาลที่ประชาชนเลือกมา
หนึ่งปีผ่านไป การประท้วงต่อต้านรัฐบาลทหารยังไม่หยุดง่ายๆ แต่กลับยิ่งทวีความดุเดือดมากขึ้น เพราะกองทัพเมียนมาใช้กำลังอาวุธปราบปรามประชาชนอย่างจริงจัง มีทั้งการกวาดจับผู้ต่อต้านรัฐบาลทหารโดยอ้างข้อหา ‘ยุยงปลุกปั่น-เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ’ โดยคาดว่ามีผู้ถูกจับกุมจากหลากหลายแวดวงรวมกว่า 11,000 ราย และองค์กรสิทธิมนุษยชนคาดว่าผู้เสียชีวิตจากการใช้กำลังปราบปรามของฝ่ายรัฐบาลน่าจะมีจำนวนอย่างน้อย 1,500 ราย รวมถึงการที่กองทัพวางเพลิงเผาหมู่บ้านและข่มขู่คุกคามประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ก็เกิดขึ้นถี่กว่าเดิมช่วงปลายปี 2021 แต่การใช้กำลังปราบปรามอย่างหนักหน่วงไม่ได้ทำให้ผู้ประท้วงยอมแพ้ เพราะยังมีการชุมนุมเกิดขึ้นต่อเนื่องทั่วประเทศ และคนหนุ่มสาวบางส่วนไปเข้าร่วมกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ในรัฐต่างๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารและต่อต้านกองทัพเมียนมาอยู่ก่อนแล้ว
อดีตทูตยูเอ็นชี้เมียนมาเข้าสู่ภาวะ
‘สงครามกลางเมือง’ – เศรษฐกิจจมดิ่ง
เมื่อเดือนตุลาคม 2021 คริสติน ชเรเนอร์ เบอร์เกเนอร์ (Christine Schraner Burgener) ทูตพิเศษสหประชาชาติประจำเมียนมา (UN Special Envoy Myanmar) ซึ่งกำลังจะพ้นจากตำแหน่ง เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างชาติว่าเมียนมาเข้าสู่ภาวะ ‘สงครามกลางเมือง’ และย้ำว่านานาประเทศจะต้องช่วยกันกดดันให้รัฐบาลทหารเมียนมายุติการคุกคามประชาชนและเข้าสู่กระบวนการเจรจาเพื่อหาทางออกจากความขัดแย้งในประเทศ โดยการเปิดให้รัฐบาลพลเรือนที่ถูกยึดอำนาจได้กลับเข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศต่อไป
แต่ข้อเสนอของทูตพิเศษ UN ไม่อาจเป็นจริงได้ง่ายๆ เพราะรัฐบาลทหารเมียนมาไม่ฟังคำทักท้วงใดๆ ขณะที่กระบวนการยุติธรรมในประเทศก็ทำตามความต้องการของผู้มีอำนาจ โดยศาลตัดสินว่าอองซานซูจี อดีตผู้นำพรรครัฐบาลเอ็นแอลดีและสัญลักษณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ‘มีความผิดจริง’ ในข้อหายุยงปลุกปั่นและละเมิดกฎหมายควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมทั้งพิพากษาจำคุก ทั้งยังมีอีกคดีที่รอการพิพากษาในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2022 คือ ข้อกล่าวหา ‘โกงการเลือกตั้ง’ ทำให้นักวิเคราะห์ว่าซูจีจะต้องเผชิญกับการถูกจองจำอิสรภาพอีกครั้งหนึ่ง
กองทัพเมียนมานำโดย ‘มินอ่องหล่าย’ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ที่แต่งตั้งตัวเองเป็นผู้นำรัฐบาลชุดปัจจุบัน อ้างข้อความในรัฐธรรมนูญปี 2008 (ที่ร่างขึ้นในสมัยของอดีตรัฐบาลเผด็จการทหาร) ซึ่งระบุว่ากองทัพมีอำนาจในการแทรกแซงทางการเมืองเพื่อความมั่นคงและความสงบของประเทศชาติ ก่อรัฐประหารยึดอำนาจ โดยกล่าวหารัฐบาลพรรคเอ็นแอลดีว่ามีส่วนรู้เห็นในการทุจริตเลือกตั้งเมื่อปี 2020 แม้ว่าองค์กรสังเกตการณ์การเลือกตั้งระหว่างประเทศ รวมถึงตัวแทนของสหภาพยุโรปและอีกหลายประเทศจะยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าการเลือกตั้งเมียนมาในปีนั้นเป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม แต่ผลลัพธ์ของมันอาจจะ ‘ไม่ถูกใจ’ กองทัพที่หนุนหลังพรรคยูเอสดีพีที่พ่ายแพ้ยับเยิน
ข้ออ้างในการยึดอำนาจของกองทัพจึงฟังไม่ขึ้นในสายตาของหลายประเทศ และประชาชนเมียนมาเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะยุติการประท้วง ซึ่งก็ยิ่งทำให้เมียนมาไม่มีเสถียรภาพมากกว่าเดิม กลุ่มทุนต่างชาติจำนวนมากทยอยอำลาเมียนมา ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายโทรคมนาคม ‘เทเลนอร์’ ที่ขายกิจการไปเมื่อปีที่แล้ว หรือการประกาศถอนการลงทุนของ ‘โททาล’ (Total) และ ‘เชฟรอน’ (Chevron) ธุรกิจพลังงานยักษ์ใหญ่จากฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาเมื่อปลายเดือนมกราคม 2022 ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของเมียนมาอยู่ในภาวะตกต่ำ ต่างจากช่วงที่รัฐบาลพลเรือนของอองซานซูจีอยู่ในอำนาจ ซึ่งมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
นักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่าเศรษฐกิจเมียนมาจะอยู่ในภาวะขาลงต่อไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังคงมีการประท้วงและจลาจลต่อต้านรัฐบาลทหาร เพราะบ้านเมืองที่ไร้เสถียรภาพทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุน ขณะที่เมียนมายังต้องพึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติอย่างมาก แต่ประเด็นนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงว่าประชาคมโลกจะกดดันเมียนมาได้จริงหรือไม่ เพราะองค์กรสิทธิมนุษยชนบางส่วนมองว่ารัฐบาลทหารเมียนมายังคงได้รับการสนับสนุนจากอีกหลายประเทศที่ไม่สนใจชะตากรรมประชาชนเมียนมาที่ถูกรัฐแปะฉลากว่าเป็น ‘ผู้ก่อการร้าย’ และใช้กำลังปราบปรามอย่างรุนแรง
หากดูจากการแสดงจุดยืนในปีที่ผ่านมา ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่างไทยและกัมพูชา ชัดเจนว่ายังสานต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับเมียนมาเหมือนเดิม ไม่ได้มีการประกาศคว่ำบาตรหรือกดดันรัฐบาลทหาร เพราะไทยส่งตัวแทนทางทหารไปเข้าร่วมพิธีรำลึกวันกองทัพเมียนมา และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทย ก็ยอมรับหนังสือชี้แจงของมินอ่องหล่ายที่ระบุว่ารัฐประหารคือความจำเป็นในการรักษาความสงบของประเทศเมียนมา ขณะที่ ‘ฮุน เซน’ นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพิ่งเดินทางเยือนเมียนมาอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา และยังมี ‘จีน’ ที่เป็นสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ (UNSC) แต่ประกาศคัดค้าน ‘มาตรการคว่ำบาตรรัฐบาลทหารเมียนมา’ ทำให้การกดดันเมียนมาโดยประชาคมโลกไม่มีผลมากนัก
อ้างอิง
- ABC. Myanmar’s military took control of the country one year ago, but it never expected resistance like this. https://ab.co/3435MMo
- Amnesty International. Myanmar: World must act now to prevent another year of intolerable ‘death and misery’. https://bit.ly/3AIKTCa
- CNN. Total and Chevron are pulling out of Myanmar. https://cnn.it/3giGJHu
- Japan Times. ‘Living in a dark era’: One year since Myanmar’s coup. https://bit.ly/3KUiYnt
- PBS. U.N. envoy says ‘civil war’ has spread throughout Myanmar. https://to.pbs.org/3AKbQFz