เมืองเปลี่ยน คนต้องปรับ รับมือวิกฤตอย่างไร? MQDC จัดงานเสวนาเพื่อเมืองแห่งอนาคต และความสุขที่ยั่งยืน
เมื่อสิ่งแวดล้อมกำลังเปลี่ยนไป และโลกของเรากำลังจะไม่เหมือนเดิม แล้วเราจะทำยังไงดี?
เชื่อว่านี้เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจหลายคนหลังเห็นปัญหาสิ่งแวดล้อมรอบตัว ภัยพิบัติ ไปจนถึงวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม เพื่อชวนให้ทุกคนมาหาคำตอบร่วมกัน ทาง MQDC (บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าที่ก่อตั้งมานานกว่า 25 ปีจัดงานเสวนา MQDC Sustainnovation Forum 2022 ในหัวข้อ “เมืองเปลี่ยน คนต้องปรับ รับมือวิกฤตอย่างไร”
ถ้าหากใครติดตามวงการอสังหาริมทรัพย์คงคุ้นเคยกับ MQDC และแนวทางในพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างความสุขที่ยั่งยืนให้กับทุกคน ผ่านโครงการต่างๆ หนึ่งในนั้นคือโครงการน่าจับตาย่านบางนา The Forestias ที่สร้าง ‘ป่าในเมือง’ และระบบนิเวศครบวงจรในโครงการเพื่อในนวัตกรรมในการขับเคลื่อนความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในทุกมิติ
แต่เมื่อสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป พร้อมกับโลกที่ต้องรับมือ เราต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง ทาง MQDC จัดงานเสวนาครั้งนี้เพื่อให้ทุกคนรับมือและร่วมมือในการเดินต่อไปด้วยกัน โดยการร่วมมือกับศูนย์วิจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น RISC ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน, Creative Lab ศูนย์วิจัยเพื่อออกแบบคุณภาพชีวิต, FutureTales Lab ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษา และ Unisus-EEC เพื่อหาแนวทางร่วมกันว่าเราควรทำอย่างไรต่อไปเพื่อ ‘เลือก’ อนาคตที่เราต้องการ และรับมือแบบไหนเพื่อให้อยู่ได้อย่างยั่งยืนจริงๆ
ในงานเสวนามีประเด็นอะไรน่าสนใจบ้าง การพัฒนาเมืองในรูปแบบอสังหาเป็นอย่างไร เรารวบรวมมาไว้ในอัลบั้มนี้แล้ว
ก่อนการปรับตัวเพื่อรับมือกับอนาคตที่เปลี่ยนแปลง สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำความเข้าใจว่าในอนาคตเมืองและโลกของเราจะเป็นอย่างไรต่อ?
จากงานเสวนา ดร.การดี เลียวไพโรจน์ ผู้อำนวยการบริหาร FutureTales Lab ได้เสนอการเปลี่ยนแปลงของเมืองในอนาคตจากหัวข้อ “How Future Cities will be Transformed: เมืองในอนาคตจะเปลี่ยนไปอย่างไร” โดยระบุว่าปัจจุบันเราทุกคนอยู่ระหว่าง 2 ทางเลือก คืออยู่ในภาวะที่ถูกผลักไปสู่อนาคตที่ไม่ต้องการจากสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว หรือการเป็นคนเลือกอนาคตของเราเองโดยเริ่มออกแบบตั้งแต่วันนี้
การวิเคราะห์แนวทางในอนาคต ทาง FutureTales Lab วิเคราะห์จาก 6 ประเด็นสำคัญ คือ สังคม เทคโนโลยี เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม การเมืองการปกครอง และวิถีชีวิต เพื่อนำทั้ง 6 มิติร่วมวิเคราะห์สิ่งที่อาจเกิดในปี 2050 หรือราว 30 ปีข้างหน้า
ปัญหาสำคัญที่มนุษยชาติกำลังเผชิญคือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งหากโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นเฉลี่ย 1.5 องศาตามการคาดการณ์ จะส่งผลให้น้ำทะเลสูงขึ้นเกิน 1 เมตร ผู้คน 200 ล้านคนต้องย้ายถิ่นฐาน และ 400 ล้านคนต้องเผชิญกับการขาดน้ำและอาหาร และประเทศไทยย่อมได้รับผลกระทบจากระบบเศรษฐกิจและการเคลื่อนย้ายที่เชื่อมโยงกันทั่วโลก
ส่วนในกรุงเทพฯ ได้มีการจำลองสถานการณ์พบว่าหากยังมีการใช้พลังงานในระดับเดียวกับปัจจุบัน กรุงเทพฯ จะมีคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น 8 เท่า PM2.5 เพิ่มขึ้น 5 เท่าจากปัจจุบัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำอย่างสุดขั้วในภาคสังคมได้ต่อไป
แต่การปรับตัวในวันนี้ก็สามารถสร้างพื้นที่กรุงเทพฯ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดต่อระบบนิเวศ สิ่งสำคัญคือทุกคนต้องมองเห็นภาพอนาคตที่ชัดเจนเพื่อรับมืออย่างทันท่วงทีและพัฒนานวัตกรรมเพื่ออยู่ร่วมกับอนาคตได้ต่อไป
เมื่อเราเห็นภาพรวมในอนาคตที่ตรงกันแล้วว่าจะเป็นอย่างไร และจะเกิดมีแนวโน้มจะเกิดปัญหาใดขึ้นบ้างก็จะทำให้การวางแผนเพื่อรับมือเป็นไปอย่างมีระบบมากขึ้น
โดยในหัวข้อ “Resilience Framework for Resilient City: กลยุทธ์การรับมือเพื่อเมืองแห่งอนาคต” โดยรศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต หัวหน้าคณะที่ปรึกษาศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) ได้เสนอกรอบการรับมือกับอนาคตของเราทุกคน ที่เรียกว่า “Resilience Shock & Stress” โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ
- Nature & Environment – สิ่งแวดล้อม น้ำ และ สภาพภูมิอากาศ
- Living & Infrastructure – ภัยพิบัติต่างๆ สุขภาพ สาธารณูปโภค
- Society & Economy – ประเด็นสังคม ความเท่าเทียม คุณภาพชีวิต วัฒนธรรมและเศรษฐกิจ
เมื่อเราจับกลุ่มแล้วแยกย่อยในแต่ละหัวข้อจะพบว่าในแต่ละกลุ่มใหญ่จะมีปัญหาที่ต้องแก้ราว 4-5 ปัญหาเท่านั้นที่นวัตกรรมและความรู้ปัจจุบันสามารถแก้ไขได้ และนำแบบแผนเหล่านี้มาเป็นสารตั้งต้นในการวางแผนแก้ไขผังเมืองและอสังหาริมทรัพย์ต่อไปในอนาคต โดยเชื่อมโยงปัญหากับแต่ละพื้นที่ซึ่งอาจมีปัญหาแตกต่างกัน
ยกตัวอย่างเช่น โครงการ The Forestias คือการสร้างป่ากลางเมืองเข้าไปที่บางนา เพื่อรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อสร้างอนาคตที่เราอยากอยู่เองโดยใส่ป่าในโครงการไปกว่า 50% ของพื้นที่และศึกษาการสร้างระบบนิเวศเพื่อให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพภายในโครงการ
หรือเครื่องฟอกอากาศระดับเมือง ‘ฟ้าใส’ ที่เริ่มปล่อยให้เห็นตั้งแต่ในปี 2019 เพื่อรับมือกับฝุ่น PM2.5 และสร้างอากาศปลอดภัยสำหรับคนเมืองจนปัจจุบันออกฟ้าใสเป็นรุ่นที่ 3
ปัจจุบันมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีมากมายที่เกิดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหา และหลายนวัตกรรมก็สามารถจัดการปัญหาได้มากกว่าหนึ่งอย่าง กลยุทธ์การรับมือกับอนาคตที่สำคัญอาจเริ่มต้นจากการระบุปัญหาที่อาจเกิดในแต่ละพื้นที่ และค้นหาว่าปัจจุบันมีแนวทางหรือนวัตกรรมใดที่ช่วยได้บ้าง หรือเราอาจเริ่มต้นสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเป็นช่องทางใหม่ๆ ให้กับอนาคตได้
หนึ่งในศาสตร์และกลไกที่สำคัญในการพัฒนาเมืองเพื่อไปสู่อนาคตคือ ‘วิศวกรรม’ ที่ขับเคลื่อนเมือง ในงานเสวนาคุณเกชา ธีระโกเมน ประธานคณะกรรมการ กลุ่มบริษัท EEC และประธานกรรมการ บริษัท ยูนิซัส กรีน เอ็นเนอร์จี จำกัดได้กล่าวถึงความสำคัญของการพัฒนาโมเดลวิศวกรรมในหัวข้อ “Engineering model for future urbanization: โมเดลวิศวกรรมสำหรับเมืองอนาคต”
การปรับเปลี่ยนมุมมองของวิศวกรรมที่แต่เดิมมีเป้าหมายเพียงแค่ทำให้ ‘น้ำไหลไฟสว่าง’ ด้วยวิธีที่ง่ายที่สุดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงเป้าหมายเท่านี้อาจไม่เพียงพออีกต่อไป การสร้างเมืองที่เน้นการก่อสร้างและเป็นส่วนหนึ่งที่ให้เกิดภาวะ ‘เมืองร้อน’ ไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป ทางด้านวิศวกรรมต้องคำนึงถึงความยั่งยืนและอนาคตที่ดีสำหรับทุกคน
เมื่อพัฒนาผ่านเทคโนโลยีและวิศวกรรม คุณเกชาได้ยกตัวอย่างการสร้างพื้นที่ Cool urban ผ่าน ‘อาคารที่หายใจได้’ Breathable building ที่ใช้การถ่ายเทอากาศให้มีคุณภาพดีขึ้น ประกอบกับการฟอกอากาศผ่านต้นไม้ จนกลายเป็นลมหายใจของป่ากลางเมืองจะสร้างระบบนิเวศที่ร่มรื่นให้กับพื้นที่ได้
รวมถึงการสร้าง District cooling system หรือระบบทำความเย็นให้กับอาคารโดยการส่งน้ำเย็นเข้าไปตามอาคารโดยที่ไม่ต้องมีการใช้เครื่องปรับอากาศ ไปจนถึงระบบการจัดการน้ำในโครงการของทาง MQDC ที่ไม่ปล่อยน้ำออกจากโครงการเลยแต่ใช้การเวียนกลับมาบำบัดและใช้งานในโครงการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อลดการใช้พลังงานและสร้างสภาพแวดล้อมที่ขึ้นของทุกคน และค่อยๆ สร้างพฤติกรรมที่คนและสิ่งแวดล้อมอยู่ด้วยกันได้อย่างยั่งยืนผ่านแนวคิดทางวิศวกรรมที่เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างเมืองแห่งอนาคต
เมื่อเมืองเปลี่ยนไป เราวางแผนพัฒนาเมืองในภาพกว้างแล้ว สำหรับคนทั่วไปอย่างเราล่ะ จะปรับตัวยังไงไงต่อ?
เพื่อหาคำตอบในหัวข้อ “From Urbanscape to Humanscape: ปรับอย่างไร ให้คนและเมืองอยู่อย่างยั่งยืน” คุณภารุต เพ็ญพายัพ ผู้อำนวยการอาวุโส ครีเอทีฟ แล็ป (Creative Lab) และผู้อำนวยการโครงการ MQDC Metaverse ได้เล่าถึงการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์และความต้องการ ผ่าน Service Design หรือ Design Thinking
โดยการพัฒนาโครงการของ MQDC จะเริ่มวิจัยผ่าน 2 มิติ คือ ทิศทางการพัฒนาของเมืองในภาพรวม และการวิจัยเฉพาะของพื้นที่ เพราะคุณภารุตระบุว่าการใช้หลักการ On Size fit all นั่นเป็นเรื่องที่อาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริง โดยได้มีการวางแนวทางเป็นวงล้อ Wheel of life ที่เป็นมาตรวัดใน 6 มิติ คือ
- ความปลอดภัย มั่นคงทางร่างกายและจิตใจ
- การสร้างสุขภาพจิตและร่างกายที่ดีที่สุดในลูกค้า
- ความต้องการเชิงลึก สร้างโอกาสในชีวิตเพิ่มเติมจากโครงการของเราได้อย่างไร
- สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว และชุมชน สังคมได้อย่างไร
- การพักผ่อนที่เราต้องคำนึงถึง
- การเติบโต เรียนรู้ และการสร้างอาชีพใหม่ๆ
การออกแบบและพัฒนาเมืองในอนาคตต้องเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์มิติต่างๆ เหล่านี้เพื่อผลักดันและสร้างแรงจูงใจเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีในระดับบุคคล เมื่อผู้คนรู้สึกว่ามีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเมืองของตัวเอง ย่อมเกิดการสร้างนวัตกรรมและหนทางแก้ไขปัญหาใหม่ๆ ในอนาคต
จากงานเสวนาเราจะเห็นว่าการสร้างเมืองในอนาคตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกและสิ่งแวดล้อม สิ่งสำคัญคือความร่วมมือและการพัฒนาในทุกภาคส่วนเพื่อหาทางรับมือกับปัญหาและช่องทางใหม่ๆ ในการแก้ไขต่อไปในอนาคต โดย MQDC มีแนวทางที่จะเป็นผู้นำในการพัฒนาคุณภาพชีวิตละความเป็นอยู่ของทุกคนอย่างยั่งยืน