Memoria ภาพเลือน การหลับ การดับสูญของความทรงจำ
Memoria ภาพเลือน การหลับ การดับสูญของความทรงจำ
ล่วงเข้าปีที่หกแล้ว ภายหลังจากหนังยาวลำดับล่าสุดของ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล อย่าง รักที่ขอนแก่น (2015) ปรากฏตัวสู่สายตาชาวโลก ช่วงระยะที่เว้นว่าง เขากำกับหนังสั้นและทำงานศิลปะออกมาอีกหลายต่อหลายชิ้น พร้อมกันนั้น -ในห้วงยามก่อนที่โลกจะถูกถล่มด้วยไวรัส- เขาก็ออกเดินทางไปยังดินแดนแห่งใหม่ รวมถึงประเทศโคลอมเบีย อันกลายเป็นปลายทางของหนังลำดับล่าสุด Memoria (2021) ซึ่งคว้ารางวัล Jury Prize จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ ร่วมกันกับ Ahed’s Knee (2021) หนังร่วมทุนสร้างสามสัญชาติ (ฝรั่งเศส-อิสราเอล-เยอรมนี) กำกับโดย นาดาฟ ลาพิด
และสำหรับคนที่ติดตามงานอภิชาติพงศ์มาโดยตลอด Memoria นับเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของเขาในฐานะคนทำหนัง เพราะที่ผ่านมา เรื่องราวในหนังของอภิชาติพงศ์ก่อตัวขึ้นในประเทศไทย นักแสดงไทยและร่วมงานกับทีมสร้างชาวไทย ขณะที่ Memoria คือการออกไปถ่ายทำยังต่างประเทศและพูดภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาไทยเป็นเรื่องแรก รวมทั้งยังใช้นักแสดงฮอลลีวูดชื่อดังกับทีมงานโคลอมเบียเกือบทั้งหมด จนไม่เกินเลยนักหากเราจะกล่าวว่า มองโดยภาพรวมแล้ว ด้านหนึ่งนี่ย่อมเป็นการ ‘ออกจากพื้นที่คุ้นชิน’ ของอภิชาติพงศ์เองด้วยเช่นกัน
หนังจับจ้องไปยังเรื่องราวของ เจสสิกา (ทิลดา สวินตัน) หญิงสาวชาวสก็อตแลนด์ที่ออกเดินทางมาใช้ชีวิตยังโคลอมเบีย นับตั้งแต่ฉากเริ่มเรื่อง ทั้งเธอและคนดูถูกรบกวนด้วยเสียง ‘ปัง!’ ครึกโครม ตามมาด้วยเสียงโหยหวนของสัญญาณกันขโมยจากลานจอดรถที่ยิ่งรบกวนโสตประสาทจนชวนคลุ้มคลั่ง จากนั้นเราจึงพบว่า เจสสิกาตกอยู่ในสภาวะยากลำบากเพราะต้องคอยรับมือกับเสียง ‘ปัง!’ ที่เกิดขึ้นในหัวของตัวเองเกือบตลอดเวลา เธอออกเดินทางไปเยี่ยมน้องสาวที่โรงพยาบาล รับฟังความฝันภายใต้อาการคล้ายละเมอของน้อง จากนั้นเจสสิกาจึงไปพบ แอร์นัน (ฆวน ปาโบล เออร์เรโก) นักวิศวกรด้านเสียงเพื่อให้เขาช่วย ‘สร้าง’ เสียงปังที่ดังขึ้นในหัวของเธอให้ออกมาเป็นรูปธรรม ท่ามกลางความลึกลับที่ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นทีละนิดจนเจสสิกาไม่อาจทำความเข้าใจได้อีกต่อไป
แม้ว่า Memoria จะเป็นงานแรกของอภิชาติพงศ์ที่ถ่ายทำนอกประเทศไทย แต่เราก็ยังพบว่าตัวหนังยังมีองค์ประกอบความเป็นอภิชาติพงศ์อยู่หลายประการ ไม่ว่าจะป่าไม้ ผืนหญ้าตลอดจนความวิเวกที่เกิดขึ้นในนั้น, โรงพยาบาล, ความตาย ที่สำคัญคือเรื่องเล่า ความเชื่อ และตำนานปรัมปราจากอีกซีกโลกหนึ่ง หากกาลครั้งหนึ่งอภิชาติพงศ์เคยเล่าเรื่องราวของเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรโบราณกับปลาดุกของหล่อนใน ลุงบุญมีระลึกชาติ (2010) ในอีกทศวรรษต่อมาเขาก็เล่าเรื่องของหญิงโบราณที่ถูกเจาะกะโหลกเพื่อจะได้ปลดปล่อย ‘ความทุกข์ทรมาน’ ออกจากเนื้อตัวใน Memoria เรื่อยไปจนความแค้นของหมากับความเมตตาของมนุษย์ในภาพฝัน รวมทั้งเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่ถูกเพื่อนกลั่นแกล้ง หลงเหลืออยู่ในรูปแบบของเสียงกระซิบผ่านก้อนหิน สรรพสิ่งละอันพันละน้อยที่ค่อยๆ ปรากฏตัวให้เธอได้สดับ
ตลอดทั้งเรื่อง เราจะพบว่าเจสสิกาตกอยู่ในภาวะดิ้นรนต่อสู้กับอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยและท่วงท่าที่เกือบเหมือนละเมอ ครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ตลอดเวลา เธอปะทะเข้ากับกำแพงภาษาเมื่อต้องพยายามอธิบายเสียงในหัว -ที่ตามปกติก็อธิบายด้วยภาษาแม่ลำบากอยู่แล้ว เช่น “เป็นเสียงที่ก้องกังวาลมาจากใจกลางของโลก” และ “มีทั้งความเป็นเหล็ก มีทั้งความกลม”- ให้คนอื่นฟัง, การรับรู้เรื่องความเป็นตายของคนรอบตัวที่สวนทางกับความเป็นจริง จนเธอไม่อาจแน่ใจได้อีกต่อไปแล้วว่าเธอกำลังหลับฝันหรือตื่นอยู่ เจสสิกาจึงมีสภาวะ ‘ผิดที่ผิดทาง’ ตลอดทั้งเรื่อง ไม่เพียงแต่ภาษา เชื้อชาติ แต่อาจหมายรวมถึงห้วงเวลาบางอย่างที่สวนทางกับคนอื่นๆ ในเรื่อง โดยเฉพาะโมงยามที่เธอตระหนักดีว่าสิ่งหรือผู้คนที่เธอเคยพบนั้น อาจไม่ได้ดำรงอยู่จริง -หรือไม่ได้ดำรงอยู่อีกต่อไปแล้ว- ในห้วงเวลานั้น
องก์ท้ายของเรื่องจึงเป็นการขับเคลื่อนของเวลาภายใต้การรับรู้ของเจสสิกา เธอไปหาหมอและระบุว่าเธอต้องการยาบางชนิดเพื่อรักษาอาการประจำตัว (ก่อนจะถูกหมอสั่งสอนแกมสวนกลับมาว่า “หมอดูก็รู้ว่าคนอย่างคุณ ถ้ากินยาประเภทนี้เข้าไปละก็ต้องเสพติดอย่างแน่นอน” แล้วจึงยื่นแผ่นโบชัวร์ศาสนาให้!) เนื่องจากเธอไม่นอน -ซึ่งเป็นไปได้ว่าเธอนอนไม่ได้อีกต่อไปแล้วนับตั้งแต่เสียง ‘ปัง!’ แรกดังขึ้นเมื่อต้นเรื่อง- เธอจึงใช้ชีวิตบนเส้นบางอย่างที่เหลื่อมไปสู่ระหว่างความเป็นกับไม่เป็น ความมีกับไม่มี ดังที่เธอได้พบกับแอร์นัน (เอลกิน ดีอาซ) ชายวัยกลางคนที่นั่งขอดเกล็ดปลาแถวชายป่า กล้องจับจ้องไปยังสภาวะ ‘การหลับลึก’ ของแอร์นัน อันเป็นสิ่งที่เจสสิกาไม่อาจทำได้
หนังจับจ้องไปยังสภาวะการนอนหลับว่าเป็นดั่งเสมือนการตาย (อันจะเห็นได้จากการที่เจสสิกาเฝ้ามองลมหายใจของเขา ตลอดจนลักษณะการหลับที่เสมือนดับสูญของแอร์นัน) ซึ่งไม่เพียงแต่เชื่อมโยงกลับมายังสถานะไม่อาจหลับได้ของเจสสิกาเนื่องมาจากเสียงที่ดังขึ้นในหัว แต่มันยังชวนหวนกลับไปถึงเรื่องราวของ ‘ความฝัน’ ที่ผู้คนรอบตัวเล่าให้เธอฟัง ไม่ว่าจะเรื่องของหมาโดนรถชนที่ปรากฏตัวขึ้นในฝันของน้องสาว หรือเรื่องราวปรัมปราของชนเผ่าลึกลับที่ทำให้ใครก็ตามที่บังอาจตัดถนนเข้าไปในป่ามีอันต้องเป็นไป เช่นเดียวกันกับเรื่องคนที่จำต้องถูกเจาะรูที่กะโหลกเพื่อปลดปล่อยความตรอมตรมและวิญญาณร้ายออกจากเนื้อตัว
การได้พบกับแอร์นันทำให้เจสสิกาทำความเข้าใจกับเสียงที่ดังขึ้นในหัวของเธอได้ แอร์นันผู้เป็นชายวัยกลางคนที่เธอได้พบในป่าใช้ชีวิตราวกับห้วงเวลาหยุดนิ่งแล้วตลอดกาล เขาบอกเธอว่าเขาไม่ได้ดูโทรทัศน์ ไม่ได้รับข่าวสาร และไม่เคยเดินทางออกไปไหน (ขณะที่แอร์นันคนหนุ่มเปรยให้เธอฟังว่าเขาปรารถนาจะเดินทางไปโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น อาจจะเพื่อแสดงคอนเสิร์ตกับเพื่อนที่ฟอร์มวงดนตรีมาด้วยกันของเขา) แอร์นันคนนี้อยู่กับเสียงกระซิบกระซาบของอดีตที่ถ่ายทอดผ่านก้อนหิน ผ่านเก้าอี้ ผ่านเครื่องเรือนต่างๆ และนี่เองที่ทำให้เจสสิกา ‘มองเห็น’ ได้ในที่สุดว่าเสียงที่เธอ ‘ได้ยิน’ นั้นมีที่มาจากสิ่งละอันพันละน้อยรอบตัว และบอกเล่าเรื่องราวบางอย่าง-เพียงแต่มันไม่ใช่เรื่องราวของเธอ หากแต่เป็นเสียงจากเรื่องของใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่ซึ่งในเวลาต่อมากะเทาะลอกร่อนกลายเป็นหินก้อนน้อยที่ยังกำซาบเรื่องราวนั้นไว้ เป็นเสียงจากเรื่องของเด็กชายที่หลบอยู่ใต้เตียงในค่ำคืนอันแสนทรมาน เป็นเสียงจากอดีตกาลที่สะท้อนก้องกลับมายังห้วงเวลาที่เธออยู่ ณ ขณะนั้น
และเช่นเดียวกับประเทศไทยในหลายๆ แง่มุม โคลอมเบียเป็นประเทศที่ ‘เก็บ’ ประวัติศาสตร์และอดีตไว้ด้วยความเงียบ ซึ่งในเวลาต่อมาได้ระเบิดออกมาเป็นงานศิลปะและวรรณกรรมจำนวนมากที่เล่าเรื่องภาวะปกปิด เหนือจริงไว้ อันปรากฏอยู่ในชิ้นงานแสนลือลั่นของ กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ (รวมทั้งงานเขียนอื่นๆ ของเขา) นักเขียนชาวโคลอมเบียกับ หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว ในนามของสัจนิยมมหัศจรรย์ (magical realism) ซึ่ง ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ระบุไว้ในหนังสือ สัจนิยมมหัศจรรย์ ว่า “[…] สัจนิยมมหัศจรรย์จึงแตกต่างจากวรรณกรรมแนวอื่นๆ อาทิ สัจนิยม (realism) ธรรมชาตินิยม (naturalism) สมัยใหม่นิยม (modernism) ซึ่งเป็นผลผลิตของวัฒนธรรมตะวันตก และอาจด้วยเหตุดังกล่าว นักเขียนในประเทศอดีตอาณานิคมตะวันตกที่ต้องการสลัดตัวเองทิ้งจากอิทธิพลตะวันตกและแสวงหาอัตลักษณ์ของตน จึงอ้าแขนรับวรรณกรรมสัจนิยมมหัศจรรย์อย่างเต็มอกเต็มใจ” ซึ่งด้านหนึ่งสอดรับกันกับสภาวะการเป็นคนตะวันตกพลัดถิ่นของเจสสิกา ในดินแดนแห่งใหม่อันเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และเรื่องเล่าที่เธอไม่อาจเข้าใจได้
ทั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่จะไม่กล่าวถึงเสียมิได้คือบรรดาสรรพเสียงที่ ‘ดังระงม’ ขึ้นในเรื่อง ไม่เพียงแต่เสียง ‘ปัง!’ หากแต่ยังเสียงสัญญาณกันขโมยรถ, เสียงประหลาดที่ดังกลางถนน, เสียงพูดคุยของต้นไม้ใบหญ้า และเสียง ‘ป่า’ ที่โอบล้อมรอบตัวเจสสิกาไว้ โดยนี่เป็นผลงานของ อัคริศเฉลิม กัลยาณมิตร และ ริชาร์ด ฮอกส์ ทีมเสียงคู่บุญของอภิชาติพงศ์ที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่ สัตว์ประหลาด และเป็นผู้ออกแบบเสียงปังซึ่งดังขึ้นในหัวของอภิชาติพงศ์จากอาการ exploding head syndrome -หรือภาวะได้ยินเสียงระเบิดในหัว- ให้ออกมาเป็นรูปธรรมที่เราได้ยินกันในโรงภาพยนตร์ ลักษณะเดียวกันกับที่แอร์นันคนหนุ่มค่อยๆ ควานหาเสียงที่ดังขึ้นในหัวของเจสสิกาเมื่อเธอพยายามอธิบายให้เขาฟังอย่างเต็มกำลัง และการกำซาบเสียงเหล่านี้ให้เต็มกำลังนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากเราไม่ได้รับชมทั้งงานภาพและเสียงอย่างสมบูรณ์แบบในสถานที่ซึ่งจัดขึ้นเพื่อฉายหนังอย่างโรงภาพยนตร์
ภายหลังจากดูหนังจบ สิ่งหนึ่งที่ก้องอยู่ในใจคือคำว่า “Long Live Cinema!” ของอภิชาติพงศ์จากงานฉาย Memoria รอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลหนังเมืองคานส์เมื่อกลางปี 2021 ที่ผ่านมา เนื่องมาจากการได้กำซาบภาพและเสียงซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูในโรงภาพยนตร์เท่านั้น และในห้วงยามแห่งความซบเซาของภาพยนตร์อันเนื่องมาจากโรคระบาด Memoria คือหนึ่งในเครื่องยืนยัน คือหนึ่งในบทพิสูจน์ และคือหนึ่งในการต่อสู้ว่าภาพยนตร์จะยังมีตัวตน จะยังคงอยู่ และจะยังจงเจริญต่อไป ไม่ว่าจะในสถานการณ์ใดก็ตาม