วันที่ 19 มกราคมอาจไม่ใช่วันที่สำคัญอะไร แต่เมื่อ 10 ปีก่อนมันมี ‘เหตุการณ์ใหญ่’ ระดับสะเทือนอินเทอร์เน็ต
เหตุการณ์ที่ว่าเกิดเมื่อ 19 มกราคม 2012 มันคือเหตุการณ์ที่อยู่ดีๆ เข้าเว็บ Megaupload แล้วก็เจอ ‘ประกาศจาก FBI’ ว่าทางสำนักงานสอบสวนกล หรือ FBI ของสหรัฐอเมริกาได้ทำการยึดโดเมนเนมนี้เอาไว้แล้ว เพราะมีการกระทำผิดหลายอย่าง ตั้งแต่ละเมิดลิขสิทธิ์ยันฟอกเงิน
ตรงนี้อยากจะเล่าย้อนให้ ‘คนยุคหลัง’ ฟังหน่อยว่า ณ ตอนโน้น เมื่อ 10 ปีก่อน การ ‘โหลดไฟล์เถื่อน’ ตั้งแต่ หนัง เพลง และหนังโป๊ ยังเป็นเรื่องปกติมากของชาวเน็ต เว็บบอร์ด และบล็อกต่างๆ ก็เป็นฐานสำคัญในการลงลิงก์ว่าจะไปโหลดที่ไหน และแหล่งที่ใหญ่ที่สุดที่เป็น ‘โฮสต์’ ของ ‘ไฟล์เถื่อน’ พวกนี้ในยุคนั้นคือ Megaupload
แน่นอนเว็บที่ ‘โฮสต์ไฟล์เถื่อน’ มีมานานแล้ว แต่ความ ‘ประหลาด’ ของ Megaupload ก็คือตัวเจ้าของที่เป็นเศรษฐีชาวเยอรมันที่อาศัยอยู่ที่นิวซีแลนด์นาม คิม ดอทคอม (Kim Dotcom) หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เขาเป็นเจ้าของ ‘ธุรกิจไอทีสีเทา’ ระดับโลกไม่กี่คนที่เปิดเผยตัว และดูจะชอบออกสื่อด้วย
ทีนี้ หลายคนคงสงสัยว่าธุรกิจเถื่อนแบบนี้อยู่ได้ยังไง? คำตอบง่ายๆ เร็วๆ ก็คือ ตัวแก่นธุรกิจเองจริงๆ มันไม่ ‘ผิดกฎหมาย’ เพราะ ‘บริการฝากไฟล์’ มันย่อมไม่ผิดกฎหมายอยู่แล้ว ซึ่งกฎหมายอเมริกาเองก็มีข้อกำหนดพื้นฐานว่าถึงคุณจะรับฝากไฟล์ผิดกฎหมาย คุณก็ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ตราบใดที่คนแจ้งคุณ แล้วคุณถอดไฟล์ออกไป
ทีนี้ด้วยความซ่าส์ของ คิม ดอทคอม เขา ‘ไม่ยอมก้มหัวให้อเมริกา’ และก็ประกอบธุรกิจนี้ต่อเนื่องมาตลอด เนื่องจากในทางปฏิบัติ คุณไม่มีทางจะไล่รายงานไฟล์ละเมิดลิขสิทธิ์ได้เร็วเท่าคนที่อัปโหลด ดังนั้นถ้ามีคนแจ้งให้ลบก็ลบ แต่ถ้าจะมีคนอัปโหลดใหม่ ก็ปล่อย แจ้งอีกทีค่อยลบ เพราะหน้าที่แพลตฟอร์มตามกฎหมายคือแบบนี้
แน่นอน ธุรกิจแบบนี้ดูค่อนข้าง ‘ผิดกฎหมาย’ มาก และถ้าว่ากันตามหลักกฏหมายและสิทธิแล้ว การปิดทั้งแพลตฟอร์มหรือการเอาทั้งไฟล์ถูกกฎหมายและผิดกฎหมายลงพร้อมกันหมดมันถือเป็นการละเมิดสิทธิในการแสดงออก ซึ่งคนก็จะเทียบว่า คุณไม่มีสิทธิ์จะปิดตลาดทั้งตลาดเพราะมีแค่ร้านๆ หนึ่งขายของผิดกฎหมาย ซึ่งก็เถียงกันได้อีกว่า แล้วถ้ามันมี ‘หลายร้าน’ ล่ะควรจะปิดไหม? แล้วจะพิสูจน์ยังไง? ฯลฯ
ความคลุมเครือของความผิดนี้เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมทาง FBI ถึงต้องตั้งข้อหาที่หนักกว่า “ละเมิดลิขสิทธิ์” อย่างเช่น ‘ฟอกเงิน’ ให้คิม ดอทคอมไปด้วย และใช้ข้อหานี้ขอความร่วมมือตำรวจนิวซีแลนด์ในการจับกุม
ข้อหา ‘ฟอกเงิน’ เป็นข้อหาใหญ่ เป็นอาชญากรรมร้ายแรงระหว่างชาติที่นานาชาติยอมรับ ซึ่งคิม ดอทคอมก็โดนบุกจับกุมที่บ้านพร้อมๆ กับที่ FBI ไปปิดเว็บ Megaupload นั่นเอง และก็บอกเลยว่าตำรวจนิวซีแลนด์นี่ ‘เล่นใหญ่’ มากๆ เพราะเอาเฮลิคอปเตอร์ไปบุกบ้าน ราวกับว่าคิมคือ “ผู้ก่อการร้าย”
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อน และ ‘แรงกระเพื่อม’ นั้นก็ทำให้ ‘เว็บฝากไฟล์’ อื่นๆ ในยุคนั้นทยอยปิดตัว ซึ่งที่เด่นที่สุดที่ปิดตัวไปเงียบๆ ตามๆ Megaupload ก็คือ Filesonic และการปราบปรามการ ‘ละเมิดลิขสิทธิ์’ ก็ขยายตัวไป ทำให้ปีต่อมาเว็บทอร์เรนต์ที่ใหญ่สุดในยุคนั้นอย่าง Isohunt ต้องปิดตัวตาม
เรียกได้ว่ามันคือ ‘ยุคของการกวาดล้าง’
แต่ที่สนุกคือเรื่องหลังจากนั้น
อยากจะสปอยล์ตอนจบก่อนว่า ณ 19 มกราคม 2022 คิม ดอทคอมก็ยังไม่ได้อยู่ในคุก เขาถูกประกันตัวมาสู้คดีแต่แรก ซึ่งหลักๆ ก็คือสู้กับการถูกส่งตัวในฐานะ ‘ผู้ร้ายข้ามแดน’ ไปสหรัฐอเมริกา หรือพูดง่ายๆ 10 ปีผ่านมา อเมริกาก็ยังเอาผิดเขาไม่ได้ ซึ่งเขาก็สู้หลายคดีมาก รวมถึงคดีที่เขาฟ้องตำรวจนิวซีแลนด์ที่ ‘เล่นใหญ่เกินจริง’ ตอนจับเขา (แถมยัง ‘ชนะคดี’ ได้ค่าชดเชยด้วย)
จริงๆ 1 ปีหลังการปิด Megaupload คิม ดอทคอมก็เปิดเว็บฝากไฟล์ใหม่ชื่อ Mega โดยคราวนี้วางระบบรัดกุมเลย เข้ารหัสหลายต่อหลายชั้น ทั้งหมดทำเพื่อให้แพลตฟอร์มเองไม่มีวันเห็นว่าผู้ใช้บริการอัปโหลดอะไรขึ้นไป เพื่อ ‘ปฏิเสธความรับผิดชอบ’ กับไฟล์ผิดกฎหมายใดๆ บนแพลตฟอร์ม (เพราะตอน Megaupload ข้อหาหนึ่งที่เขาโดนคือ เขาปล่อยให้มีการละเมิดลิขสิทธิ์บนแพลตฟอร์มทั้งๆ ที่รู้)
และ Mega ก็ยังคงดำรงอยู่ถึงทุกวันนี้ เช่นเดียวกับ ‘เว็บฝากไฟล์’ จำนวนมากที่ใช้คำว่า ‘ตายสิบ เกิดแสน’ ได้เต็มปากเลย
แต่บทบาทของสิ่งเหล่านี้กลับลดลงไปมาก 10 ปีให้หลัง
ด้านหนึ่ง บางคนก็จะบอกว่า ‘คนรุ่นหลัง’ มี ‘จิตสำนึก’ ดีขึ้น ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ แต่จริงๆ แล้วงานวิจัยซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยืนยันตรงกันว่า ‘ทางเลือกหลากหลายที่ถูกกฎหมาย’ คือทางแก้ที่ดีที่สุดของ ‘ปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์’ นี่คือสิ่งที่เรารู้จักในนาม ‘สตรีมมิ่ง’ หรือแพลตฟอร์มตั้งแต่ Spotify, Netflix หรือกระทั่ง Pornhub
เราจะเห็นการโตและการขยายตัวของแพลตฟอร์มเหล่านี้พร้อมๆ กับการลดลงของการละเมิดลิขสิทธิ์ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไม ‘เว็บฝากไฟล์’ ถึงไม่ใช่อุตสาหกรรมที่ ‘ฮอต’ ดังเช่นในอดีตแล้ว เพราะทุกคนก็ต้องการแค่บริโภคคอนเทนต์โดยไม่ได้สนหรอกว่าหนทางจะถูกหรือผิดกฎหมาย และถ้ามันมี ‘ทางที่ถูกกฎหมายและง่ายกว่า’ ก็ไม่แปลกที่คนจะเลือก
แต่จะถามว่าการปิด Megaupload ไม่มีผลต่อโลกเลยเหรอ? คำตอบคือไม่ใช่ คือมันเป็นการ ‘ส่งสัญญาณ’ ไปยังแพลตฟอร์มไอทีใหญ่ๆ อย่าง Google และ Facebook ให้ทำการ ‘สกรีนเนื้อหาละเมิดลิขสิทธิ์’ เข้มงวดขึ้น และทำให้เกิดการพัฒนาระบบ AI ไล่ตรวจจับแม้กระทั่งเศษเสี้ยวของไฟล์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ และแนวทางแบบนี้มันกลายเป็น ‘มาตรฐานอุตสาหกรรม’ ไปแล้วในช่วง 10 ปีให้หลัง
แน่นอนว่า ‘การปราบลิขสิทธิ์’ มีมานานก่อนการปราบ Megaupload แต่คราวนั้นมันคือการส่งสัญญาณว่ารัฐบาลอเมริกันจะ ‘ใช้ไม้แข็ง’ กับผู้ที่ไม่ยอมทำตามกฎหมายลิขสิทธิ์อเมริกัน และถึงคุณจะนอนเล่นอยู่ในคฤหาสน์ที่อยู่อีกมุมโลก คุณก็ไม่รอด และนี่เป็นเหตุผลที่ ‘การจัดกุมคิม ดอทคอม’ มื่อ 10 ปีก่อน มันถึงสะเทือนอุตสาหกรรมไอทีไปทั้งโลก
ดังนั้น จะบอกว่า Megaupload ไม่เกี่ยวกับเรา ก็ใช่ แต่ประเด็นคือ เราอยู่ในโลกที่ไม่มีใครกล้า ‘แหลม’ ท้าทายอุตสาหกรรมลิขสิทธิ์ของอเมริกา เพราะไม่มีใครอยากเป็นคิม ดอทคอม คนต่อไป และแพลตฟอร์มใหญ่ๆ ก็ถึงกับค่อยๆ ยอมอ่อนข้อ ยอมทำตามข้อเรียกร้องของพวกอุตสาหกรรมลิขสิทธิ์และติดตั้ง AI ไล่จับการละเมิดลิขสิทธิ์ในที่สุด
อ้างอิง
- Wikipedia. Megaupload. https://en.wikipedia.org/wiki/Megaupload