เม็กซิโกซิตี้ค่าครองชีพแพงจนคนท้องถิ่นเริ่มจ่ายไม่ไหว เพราะชาวต่างชาติมา ‘ทำงานระยะไกล’ เพิ่มขึ้นมหาศาล
ตอนนี้โควิดก็ดูเหมือนจะเดินทางมาถึง ‘จุดจบ’ แล้วกับการที่นานาชาติค่อยๆ ปรับตัวมาใช้ชีวิตปกติ ลด ละ เลิกมาตรการทุกด้าน และปฏิบัติราวกับโควิดเป็นไข้หวัดใหญ่ธรรมดา
ทีนี้ก็แน่นอนว่ามันส่งผลทางสาธารณสุขแน่ๆ แต่สิ่งที่ส่งผลกระทบลึกล้ำกว่านั้นก็คือผลทางเศรษฐกิจ เป็นที่รู้กันว่าประเทศที่ ‘หากินกับการท่องเที่ยว’ ก็จะได้รับผลกระทบมาก ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น
ถ้าถามว่าหลังโควิดถ้านักท่องเที่ยวกลับมาเหมือนเดิม ทุกอย่างก็จะเป็นเหมือนเดิมหรือไม่? คำตอบคือไม่ เพราะหลายคนก็คงเห็นแล้วว่าแม้แต่ร้านอาหารโปรดหลายร้านก็สู้พิษโควิดไม่ไหว ตึกรามบ้านช่องก็ประกาศขายและเซ้งกันถ้วนหน้า และสิ่งที่มาทดแทนได้บ้างก็เห็นจะเป็นพวก ‘ร้านแฟรนไชส์’ ต่างๆ ที่ถือโอกาสช่วงโควิดในการเข้ายึดครองพื้นที่
นี่คือสิ่งที่เราเห็นในไทย แต่ถ้าอยากมองไกลกว่านั้น อยากให้ลองดูอุทาหรณ์จาก ‘เม็กซิโกซิตี้’ เมืองหลวงของประเทศเม็กซิโก ที่ตอนนี้โควิดได้เปลี่ยนสภาพเมืองจนมันไม่น่าอยู่แล้ว
เม็กซิโกเป็นประเทศที่ ‘หากินกับการท่องเที่ยว’ เหมือนไทย และจริงๆ ในบรรดาประเทศกำลังพัฒนา เม็กซิโกกับไทยถือเป็นประเทศที่หารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นสัดส่วนของรายได้ประชาชาติสูงสุด ซึ่งไทยถือว่าสูงกว่าเม็กซิโกนิดหน่อย จึงไม่น่าแปลกใจที่โควิดทำเม็กซิโก ‘กระอัก’ เพราะรายได้จากการท่องเที่ยวหายไปนี่แหละ
แต่ฝันร้ายจริงๆ ของคนเม็กซิโก คือวิธีการที่รัฐบาลใช้แก้ปัญหามากกว่า
รัฐบาลเม็กซิโกเล็งเห็นว่าโควิดเปลี่ยนโครงสร้างการทำงาน ทำให้คน ‘ทำงานระยะไกล’ ได้มากขึ้น ก็เลยหัวใส เน้นโปรโมตการท่องเที่ยวให้คนมาอยู่นานๆ เพื่อทำงาน และกลุ่มเป้าหมายหลักก็คือคนอเมริกันที่สามารถเข้าเม็กซิโกได้ 180 วันโดยไม่ต้องทำวีซ่า
เม็กซิโกซิตี้ก็คล้ายๆ กรุงเทพฯ พอนักท่องเที่ยวหายไปช่วงโควิด ร้านรวงก็ปิดกันเต็มไปหมด มันก็เลยมีพวกนายทุนเข้าไปแปรสภาพอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ให้กลายมาเป็นที่พักและร้านค้าต่างๆ ที่เน้นรองรับตลาด ‘ชาวต่างชาติ’ ที่มาทำงานระยะยาว ภายใต้นโยบายที่รัฐสนับสนุน
การที่ชาวต่างชาติเข้ามาทำงานในประเทศถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจก็จริง แต่ถ้าเข้ามามากเกินไปถึงจุดหนึ่ง มันก็อาจทำให้ ‘เงินเฟ้อ’ ได้ เพราะสินค้าและบริการต่างๆ ในเมืองจะมุ่งไปขายพวก ‘ชาวต่างชาติ’ ที่มีกำลังซื้อมากกว่า
เม็กซิโกกับไทยถือว่ารายได้ต่อหัวพอๆ กัน ค่าแรงขั้นต่ำก็ใกล้ๆ กัน (รายได้ต่อหัวเม็กซิโกสูงกว่าไทยนิดหน่อย ส่วนค่าแรงขั้นต่ำนั้นต่ำกว่าไทยไม่มาก) พอราคาค่าเช่ารวมถึงสินค้าและบริการถูกนำวางขายให้แก่บรรดานักท่องเที่ยวอเมริกันที่รายได้ต่อหัวมากกว่า 3 เท่าตัว ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ราคาสินค้าและบริการต่างๆ ในเม็กซิโกซิตี้เด้งขึ้นทั้งแผง
ต้องเน้นว่าส่วนหนึ่งที่ราคาสินค้าและบริการมันเด้งเพราะเงินเฟ้อเช่นเดียวกับที่อื่นๆ ในโลก แต่อีกส่วนมันเด้งเพราะการไหลบ่าเข้ามาของอเมริกันชนที่เข้ามา ‘ทำงานระยะไกล’ และมันหนักถึงขนาดทำให้ค่าเช่าในบางโซนนั้นปรับตัวไปใกล้ๆ กับกรุงนิวยอร์คด้วยซ้ำ ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่อธิบายไม่ได้จากปัจจัยเงินเฟ้อปกติแบบที่เจอในประเทศอื่นแน่ๆ
ภาวะแบบนี้ทำให้คนท้องถิ่นปวดหัวมาก เพราะสังคมเม็กซิกันก็ถือว่าเหลื่อมล้ำมากเป็นทุนเดิมแล้ว ยิ่งรัฐนำเข้า ‘คนรวย’ จากต่างแดนมาอยู่ ความเหลื่อมล้ำก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น สัมผัสได้จากการที่ราคาทุกอย่างมันแพงขึ้นเพราะคนรวยพวกนี้พร้อมจะจ่ายในราคาสูงขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดคือหายนะแท้ๆ และน่าจะเป็นบทเรียนได้เลยว่า การใช้นโยบายเน้นให้ชาวต่างชาติมาอยู่อาศัยและทำงานในระยะยาวโดยไม่ระมัดระวังนั้น อาจส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของคนท้องถิ่นอย่างมหาศาล และปลายทางของแนวทางแบบนี้ก็คือ ในเมืองก็คงจะเหลือแต่คนรวย ส่วนแรงงานระดับล่างก็ต้องถอยร่นออกไปอยู่ชานเมืองหรือเมืองใกล้เคียงจนหมด
อ้างอิง
- Vox. Mexico City and the pitfalls of becoming a remote work destination. https://bit.ly/3EXlk24