คำว่า Documentary มันล้าสมัยไปแล้ว” Martin Scorsese เอ่ยถึงหนังสารคดียุคใหม่ .
หลังจากเคยสร้างวลี “หนังมาร์เวลไม่ต่างกับสวนสนุก” จนทัวร์ลงเมื่อหลายปีก่อน ล่าสุด มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) ผู้กำกับระดับตำนานก็สร้างวลีใหม่อีกครั้ง โดยครั้งนี้กล่าวถึงหนังสารคดีโดยกล่าวอ้างว่า “คำว่า Documentary มันล้าสมัยไปแล้ว”
หลังจากปรากฏตัวในรอบปฐมทัศน์ของหนังสารคดีเรื่อง ‘Personality Crisis: One Night Only’ สารคดีที่ตามติดชีวิตของ เดวิด โจแฮนเซน (David Johansen) อดีตฟรอนต์แมนของวงแกลมร็อกในตำนาน New York Dolls ที่สกอร์เซซีกำกับร่วมกับ เดวิด เทเดสกี (David Tedeschi) โดยปู่มาร์ตี้ได้กล่าวบนเวทีว่า
“สำหรับผมแล้ว สิ่งที่ผมกำลังพยายามทำคือการหาวิธีการสร้างหนังเพื่อไม่ให้มันเป็นเพียงหนังเรื่องหนึ่ง หรือสารคดีเฉพาะกลุ่ม คำว่า Documentary มันกลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้วล่ะ”
อาจจะดูเป็นคำที่หยิ่งผยองไปสักหน่อย แต่ผู้กำกับระดับตำนานที่เริ่มต้นจากการเป็นหนึ่งในคนตัดต่อ และเป็นผู้ช่วยผู้กำกับให้สารคดีบันลือโลกอย่าง Woodstock ในปี 1970 และสร้างชื่อด้วยการทำหนังทั้งหนังเล่าเรื่องระดับขึ้นหิ้ง รวมไปถึงการผลิตสารคดีชั้นยอดมาแล้วถึง 17 เรื่อง เขากำลังจับจ้องมองเทคโนโลยียุคใหม่ โดยเฉพาะการเสพสื่อผ่านโทรศัพท์มือถือโดยเน้นชัดไปที่สมาร์ทโฟนอย่าง iPhone
“หนังสารคดีในความรู้สึกของคนทั่วไป มักเกี่ยวข้องกับหนังแนวนีโอเรียลลิสม์ขาวดำยุคหลังสงคราม หรือหนังข่าว เราทุกคนเคยคิดว่า ถ้ามันไม่ใช่ภาพขาวดำ และภาพเป็นเม็ดๆ มันจะไม่เป็นความจริง เว้นเสียแต่ว่าตอนนี้มันถูกแทนที่ด้วยทีวีความละเอียดสูง รูปบนไอโฟน สำหรับผมนั่นคือโรงหนังแห่งใหม่
“สิ่งที่เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ คือมันมีหนังสารคดีบางประเภทที่มีหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์โดยจำเพาะเจาะจง ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับดนตรีหรือกีฬา แต่ผมก็พยายามจัดการบางอย่างในทางภาพยนตร์เพื่อให้มันลื่นไหล เอาจริงๆ ผมยังตกหลุมพรางของการเล่าเรื่องแบบในหนัง ซึ่งผมไม่ชอบ แต่บ่อยครั้งหัวใจสำคัญของหนังมันอยู่ที่การเล่าเรื่อง และคุณต้องเข้าถึงประเด็นบางอย่างเพื่อให้คนดูรู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ แต่ผมก็พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น เพื่อให้คนดูรับรู้ถึงเรื่องราวโดยไม่ต้องเล่าให้ฟัง”
หลายคนวิเคราะห์ความเห็นที่ตรงไปตรงมาของปู่มาร์ตี้ ว่าเกิดจากการที่เขาได้พาหนังสารคดีเรื่องนี้ไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองนิวยอร์กครั้งล่าสุด แล้วรู้สึกหงุดหงิดกับการหมกมุ่นของอเมริกันชนที่มีต่อตัวเลขบนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศ โดยมองว่ามันไปทำลายความบริสุทธิ์ของศิลปะบนจอ…จนปู่เผลอพูดคำว่า “น่าขยะแขยง” ออกสื่อ
แต่ถึงแม้อารมณ์ที่พูดจะดูเดือดดาลและดูเป็นผู้ใหญ่ขี้หงุดหงิดไปบ้าง แต่โดยรวมก็สะท้อนถึงสภาพแวดล้อมโดยรวมของวงการภาพยนตร์ได้อย่างชัดเจน ในยุคสมัยที่กล้องถ่ายหนังอยู่ในมือของทุกคน ใครก็ได้สามารถจะรังสรรค์ภาพยนตร์ได้ด้วยมือตัวเอง และมือถือเครื่องเดียวกันนี้ก็เป็นโรงภาพยนตร์ที่คุณสามารถจะดูที่ไหนก็ได้ด้วยความละเอียดที่สูง ดังนั้นคำพูดของปู่มาร์ตี้อาจจะบอกให้เราเปิดใจกับเทคโนโลยีใหม่ และอย่าไปเสียดายกับชุดความคิดเก่าๆ ก็เป็นได้
อ้างอิง