สำรวจเศษซากแห่งความเปราะบางของวัยรุ่น ผ่านการพูดคุยกับ เจ้าพ่ออนิเมะแห่งยุคสมัย Makoto Shinkai
ทำไมคุณถึงเลือกเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี 2011 มาเป็นแบ็กกราวด์ของหนังเรื่องนี้
คือ…ความจริงแล้วก็ไม่ได้จะเจาะจงเลือกเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แต่ต้องยอมรับว่า เหตุการณ์สึนามิ 2011 เป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ และมันไม่ใช่แค่ตัวผมคนเดียว แต่มันกระทบญี่ปุ่นทั้งประเทศ โลกทั้งโลกมองเหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้น ผมเองที่ไม่ได้ประสบเหตุการณ์นี้โดยตรง ยังรู้สึกเลยว่าตัวเองต้องเปลี่ยนมุมมองความคิดเสียใหม่ ความคิดหลายอย่างมันเปลี่ยนเพราะเหตุการณ์นี้จริงๆ เลย เหมือนกับว่าเหตุการณ์นี้ดึงเอาเรื่องเล็กๆน้อยๆ รวมไปถึงวิถีชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่นออกไปหมดเลย และมันก็สูญหายไปหมด เพราะฉะนั้น ไอเดีย การคิดหนัง การสร้างหนัง ก่อนและหลังเหตุการณ์นี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งทุกวันนี้เอาจริงๆ แล้วมันไม่ได้จบ การฟื้นฟูก็ยังคงมีต่อเนื่องอยู่ ยังมีบางคนที่เขายังกลับบ้านไม่ได้ก็มี เรื่องสึนามินี้ถือว่ามีอิทธิพลต่อความคิดมาก
หนังหลายๆ เรื่องที่ผ่านมาของคุณ ทำไมจึงโยงใยเรื่องความผูกพันระหว่างวัยรุ่นกับวิกฤตการณ์ทางธรรมชาติ
อย่างแรกเลย การสร้างอนิเมะเนี่ย ต้องบอกว่าอนิเมะมันคือ entertainment และบุคคลที่ชื่นชอบอนิเมะนั้นกลุ่มเป้าหมายใหญ่ ก็น่าจะเป็นวัยรุ่น เพราะวัยรุ่นเป็นช่วงอายุที่มีไลฟ์สไตล์ชีวิตไม่มาก เขาแค่ไปโรงเรียนและกลับบ้าน คือโลกมันยังเล็กนิดเดียว เขากำลังแสวงหาโลกอื่นที่เขาจะเอนจอย ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม อ่านนิยาย หรือว่าดูอนิเมะเหล่านี้ เพราะฉะนั้นถือได้ว่าอนิเมะเป็นความบันเทิงที่เข้าถึงเด็กกลุ่มนี้ได้มากที่สุด และผมอยากทำหนังให้กับเด็กกลุ่มนี้ดู วัยรุ่นเป็นวัยที่ค่อนข้างเปราะบางมากเพราะเขายังไม่ชินกับการใช้ชีวิต
อีกมุมมองหนึ่ง ผมก็คิดแล้วว่าชีวิตคนเรามันมีภัยพิบัติอยู่รอบๆตัว เราไม่สามารถทำนายได้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ อย่างน้อยในประเทศญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นเองใช้ชีวิตทุกวันนี้ ก็ต้องคิดตลอดเลยว่า แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จะมีอะไรเกิดขึ้นอีกไหม ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในหนังแต่ละเรื่องของผมรวมถึงเรื่องนี้ จุดร่วมของทั้งสองสิ่งระหว่างวัยรุ่นกับภัยพิบัติคือความเปราะบาง ถึงแม้ว่าเราจะใช้ชีวิตโดยที่เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ถึงแม้เกิดอะไรขึ้นก็ตาม มันจะต้องมีวิธีมูฟออน เราต้องหาจุดหมายแล้วก็ก้าวต่อไป ผมเลยอยากจะเขียนธีมนี้ออกมาเป็นเรื่องราว
ในยุคที่วัยรุ่นมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่หลังโควิดมานี้ คุณมีมุมมองต่อชีวิตวัยรุ่นเปลี่ยนไปหรือไม่
ยังไม่เปลี่ยนเท่าไหร่ ถ้าเอาตามตรงคือ…ความคิดเห็นส่วนตัวของผมต่อวัยรุ่น ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไหม เอาจริงๆ คือไม่มี แล้วก็ไม่สามารถจะคาดเดาหรือว่ารู้ได้ ได้แต่จินตนาการแล้วก็สมมติฐานเอาในหัว เพราะว่าการที่เรามี COVID-19 เกิดขึ้น แม้จะเป็นความเสียหาย แต่ผมก็เชื่อว่าแต่ละเจเนอเรชั่นได้รับความเสียหายที่แตกต่างกันไป เราคนทำงาน คนที่ใช้ชีวิตแบบเป็นผู้ใหญ่ ก็จะมีความกังวลที่แตกต่างกันไป แต่ลองคิดดูว่าถ้าเป็นเด็ก ม.ต้น ม.ปลาย หรือว่ามหาวิทยาลัยที่ชีวิตเขายังไม่ได้กว้างมาก มีแค่ที่บ้านกับโรงเรียนหรือเพื่อนๆ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันถูกดึงออกไป แล้วชีวิตของเขากำลังไปที่ไหนสักแห่ง แต่กลายเป็นว่า ชีวิตโรงเรียน ชีวิตมหา’ลัย สิ่งที่เขาวาดฝันไว้ มันไม่เป็นอย่างที่เขาคาดหวัง มันหายไปหมดเลย ภายในช่วงเวลา 2-3 ปีนั้น เพราะฉะนั้นสำหรับผมแล้ว ถ้าเหตุการณ์สึนามิครั้งนั้นทำให้ความคิดก่อนและหลังเปลี่ยนไป สำหรับเด็กๆ พวกนี้นั้น ความคิดก่อนและหลังโควิดก็อาจจะมีอะไรเปลี่ยนไปก็ได้เช่นกัน แต่ทั้งหมดนี้มันก็คือจินตนาการและสิ่งที่ผมคาดเดา เรื่องจริงผมก็ไม่สามารถรู้ได้ แต่ก็คิดว่าไม่มากก็น้อยน่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
ขอกลับเข้าเรื่องหนัง ‘SuZumi’ บ้าง ทำไมต้องเป็นเก้าอี้สามขา มันสื่อถึงอะไร
ขออธิบายจุดแรกก่อนว่าทำไมเก้าอี้มีแค่สามขา คือผมเจอเก้าอี้ตัวนี้ที่ประสบภัยด้วยในเหตุการณ์สึนามิ นั่นคือเหตุผลที่ผมสร้างคาแรกเตอร์เก้าอี้ที่สูญเสียขาข้างหนึ่งไป ซึ่งในหนังมันอาจจะไม่มีฉากหรือไม่มีการพูดถึง แต่เรื่องราวมันถูก setting ให้เป็นประมาณนั้น
ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะว่า ผมอยากจะให้มันเป็นตัวสะท้อนความรู้สึกของนางเอก ‘ซูซูเมะ’ ด้วย ตัวซูซูเมะเองก็สูญเสียมาเยอะ นั่นหมายความว่าบางส่วนของจิตใจเขามันก็สูญหายไป คือความไม่ครบกับความไม่ครบมาเจอกัน แต่สังเกตได้ว่าในหนังต่อให้เก้าอี้จะมีขาไม่ครบ แต่เขาก็จะวิ่ง ก็จะแอ็กชั่นค่อนข้างเยอะ หมายความว่าต่อให้ไม่ครบ มันก็ยังสามารถทุ่มเทและสามารถทำทุกอย่างได้เต็มที่เหมือนกัน
ประตูตอนที่เห็นครั้งแรกในโปสเตอร์หนัง ทำให้คิดไปถึง ‘ประตูไปที่ไหนก็ได้’ เหมือนในโดราเอมอน
ก็ใช่ครับ มันก็มีอีกเรื่องที่เหมือนกันก็คือ Monsters, Inc. (2001) ของ Pixar ก็จะเป็นประตูเหมือนกัน คือโปสเตอร์นั้นออกมาก็แอบคิดเหมือนกัน อืม…คนดูเขาจะคิดว่าเหมือนหรือเปล่า
ที่ประตูเป็น symbol สำคัญของเรื่องนี้ เพราะว่าสิ่งที่อยากสื่อกับประตูก็คือ ประตูเป็นสิ่งที่อยู่ในกิจวัตรประจำวันของทุกคน เราตื่นเช้ามาเราออกจากบ้าน เปิดประตูออกไปทำงาน เรียนหนังสือ กลับมาเปิดประตู แล้วยิ่งในภาษาญี่ปุ่นมันจะมีคำทักทายอยู่เสมอ “ไปแล้วนะ” คนไปก็มีภาษาส่ง คนรอก็มีภาษาอำลา กลับมาก็มีภาษาต้อนรับอีก มันเป็นรูทีนของชีวิตที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไลฟ์สไตล์ แต่การที่มีภัยพิบัติหรืออุทกภัยเกิดขึ้น หมายความว่าเขาออกไปแล้วเขาไม่กลับมา หรือมันจะมีอะไรเกิดขึ้น มันทำให้สิ่งปกติเหล่านั้น มันไม่ครบอีกต่อไป ประตูจึงถือเป็น symbol เป็นสิ่งสำคัญของเรื่องนี้
มีการซ่อนเพลงจากหนังการ์ตูนเรื่องแม่มดน้อยกิกิ (Kiki’s Delivery Service) เอาไว้ด้วย ถือว่าเป็นการคารวะให้กับ Studio Ghibli หรือเปล่า
แน่นอนครับ การใช้เพลงนี้ที่เป็นธีมของแม่มดกิกิ ส่วนหนึ่งก็เป็นการแสดงความเคารพกับสตูดิโอจิบลิ อีกบทบาทหนึ่งที่เพลงเหล่านี้ทำหน้าที่ก็คือ เป็นการเชื่อมโยงคนดูกับตัวหนังว่า เหตุการณ์นี้มีจริง หรือว่ามันเกิดในโลกของเรา เพราะว่าในหนังเรามีวันที่เหตุการณ์แผ่นดินไหวเกิดขึ้น นั่นก็คือวันที่ 11 มีนาคม ปี 2011 ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับโลกของเราที่เป็นโลกแห่งความจริง แล้วก็…ตัวเชื่อมที่สองคือเพลงเหล่านี้ (เพลงที่เพื่อนของพระเอกใช้เปิดระหว่างการเดินทาง) ผมใช้เป็นเพลงยอดฮิตของประเทศญี่ปุ่น ที่ใครๆ ฟังก็ต้องร้องอ๋อ แล้วก็บวกกับเด็กๆ ที่อยู่ในหนังเรื่องนี้ เขาก็คงจะโตมาคล้ายๆ กับพวกเรา อาจจะดูหนังสตูดิโอจิบลิมา รู้จักเพลงที่ใช้ประกอบหนังพวกนี้ นี่คือเหตุผลสำคัญที่ผมใช้เพลงฮิตต่อๆ กันหลายเพลง มันเป็นการเชื่อมโยงว่า คนดูในโลกแห่งความจริงมันเชื่อมโยงกับเรื่องราวในจินตนาการของหนังอย่างไร
ใน ‘She and Her Cat’ หนังสั้นเรื่องแรกของคุณมาโกโตะก็มีแมว หนังเรื่องนี้ก็มีแมว จริงๆ แล้วคุณเป็นทาสแมวใช่ไหม
ใช่ครับ ผมรักแมวมาก ถ้าพูดถึงเรื่องแมวแล้ว มีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะเล่าให้ฟังก็คือ ช่วงที่เขียนตัวสตอรี่ Suzume ผมไปรับแมวมาเลี้ยง ผมก็ตั้งชื่อแมวตัวนั้นว่าซูซูเมะเลย เพราะฉะนั้นเบื้องหลังสำคัญของหนังเรื่องนี้คือแมวที่ชื่อซูซูเมะ ผมเล่นกับซูซูเมะไปด้วยเขียน Suzume ไปด้วย
(คำเตือน: คำถามนี้มีการเปิดเผยฉากสำคัญในหนังเรื่อง ‘Weathering with You’)
ขอถามถึงหนังเรื่องที่แล้ว ‘Weathering with You’ หลายคนคาใจกับตอนจบ การที่พระเอกเลือกนางเอกแทนที่จะเลือกฝั่งปกป้องเพื่อนมนุษย์ ทำไมถึงเลือกแบบนั้น
เหตุผลก็คือ แน่นอนพระเอกเลือกที่จะปกป้องนางเอก แต่จริงๆ แล้ว ถ้าคิดดีๆ แล้วเนี่ย ในฐานะมนุษย์ปุถุชนทั่วไปคนนึง มันน่าจะเป็นการตัดสินใจที่น่าจะเป็นแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า ตราบใดที่คุณไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่ หรือมีหน้าที่ปกป้องโลก คุณก็เป็นเพียงคนคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าเป็นผม ผมก็ต้องเลือกปกป้องคนรอบๆ ข้างผมก่อนหรือเปล่า ผมอยากสะท้อนความเป็นมนุษย์ อยากให้คนที่ดูเรื่องนี้ใจกว้างพอที่จะเข้าใจเหตุผลนะ แทนที่จะกล่าวหาว่าทำไมถึงเห็นแก่ตัวจังเลย ทำไมไม่คิดถึงส่วนรวม ลองคิดกลับกัน ลองทำความเข้าใจว่า คนคนหนึ่งจะรักษาชีวิตและปกป้องคนที่ตัวเองรักเนี่ย มันควรจะเป็นเรื่องที่ปกติมากๆ เราควรจะให้อภัยได้ ต่อการตัดสินใจแบบนั้น อยากให้สังคมเป็นสังคมที่สามารถให้ความเข้าใจคนอื่นได้ ไม่ใช่ว่าไม่ทำเพื่อส่วนรวมแล้วก็ไปโกรธไปเกลียดเขา ซึ่งเราอยู่ในสังคมที่ทำอะไรผิดนิดหน่อยก็ลงโซเชียลมีเดียแล้ว ทุกคนประฌามทุกคนด่า ผมเลยอยากให้เราลองหยุดคิดนิดนึงไหม เขาอาจจะมีเหตุผล ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา ลองเข้าใจกันนิดนึง โลกมันน่าจะน่าอยู่กว่านี้
ผลงานของคุณมาโกโตะมีความเป็นญี่ปุ่นสูงมาก และชื่อของคุณมาโกโตะตอนนี้ก็ดังในระดับโลกแล้ว แต่ทำไมยังคงยึดมั่นในการเล่าเรื่องญี่ปุ่นอยู่
ผมอยากจะเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บนผืนแผ่นดินของผม ถึงแม้อาจจะต้องมีการขุดลึกเพื่อไปหาความจริง แต่การขุดมันก็ไม่แน่นะครับ ขุดลึกไปมันอาจจะไปโผล่ประเทศอื่นก็ได้ วันนึงผมอาจจะไปทำอะไรที่อีกประเทศหนึ่ง อันนั้นก็เป็นแค่คำเปรียบเทียบเท่านั้น แต่ผมก็เชื่อว่าต่อให้ผมเล่าเรื่องที่เป็น local ของผมเนี่ย ความคิดเห็นของคนที่มีต่อชีวิตที่ตัวเองเติบโตมา บ้านเมือง มันอาจจะไม่แตกต่างเท่าไหร่ มันอาจจะมีบางส่วนที่เราสามารถ สะท้อนกลับซึ่งกันและกันได้ เข้าใจได้ อาจจะไม่ได้เหมือนกันเป๊ะ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่มันน่าจะมีบางส่วนที่น่าจะโยงถึงกันได้
ถ้าได้ทำหนังที่มีแบ็กกราวด์เป็นไทย อยากจะทำออกมาแบบไหน
บอกตรงๆ คือยังไม่รู้ แต่ถ้าให้ผมอยู่สักเดือนสองเดือนเนี่ย ผมอาจจะเริ่มสัมผัสได้ถึงความเป็นไทย และอาจจะมีเรื่องราวที่อยากเล่าขึ้นมาก็ได้
ในยุคสมัยหนึ่ง การมาของคุณมาโกโตะ ผู้คนมากมายเรียกขานและถือว่าเป็น The Next Generation ของจิบลิ แล้วตอนนี้คุณคิดว่าใครคือ The Next ของ มาโกโตะ ชินไค ในยุคนี้
ถ้าพูดตามตรง ทุกคนอาจจะเห็นว่าผมคือผู้กำกับ แต่ความจริงแล้วในวงการแอนิเมชั่น ผมอยู่แค่มุมมุมหนึ่งเท่านั้น ผมไม่ได้ไปอยู่ตรงกลาง ไม่ได้เป็นไฮไลต์ของวงการ หรืออะไรเลย ผมทำแอนิเมชั่นและสร้างผลงานในสิ่งที่ตัวเองชอบมาตลอด ไม่มีความคิดจะครอบครองวงการ เอาจริงๆ แล้วเรื่องในวงการใครกำลังมา ใครกำลังเด่นคือไม่รู้เรื่องเลย ก็เลยไม่รู้เหมือนกันว่าคนต่อไปจะเป็นใคร
คือผมอาจจะไม่รู้ว่าในวงการมีใคร แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเลยถ้าเจเนอเรชั่นต่อไปอาจจะเป็นคนนอกวงการก็ได้ ที่อยู่ดีๆ เข้ามาจับตรงนี้แล้วสร้างความเปลี่ยนแปลง ไม่รู้สิครับ อาจจะเป็นยูทูบเบอร์ ติ๊กตอกเกอร์ หรืออาจเป็นใครสักคนที่อยู่ในวงการหรือเปล่า ก็เป็นไปได้