‘ไม่ใช่แม่ลูก และไม่ใช่แม่พระ’ นี่คือภาพวาดผู้หญิงอุ้มเด็กธรรมดาๆ ที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็น ‘พระแม่มารีย์’ จนมีการกราบไหว้ไปทั่วโลกกว่าร้อยปี
หากจะกล่าวถึงหนึ่งในภาพวาดพระแม่มารีย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกแล้ว เชื่อว่า ภาพแม่พระแห่งหนทาง หรือ ‘Madonna of the Streets’ อาจเป็นภาพที่ใครหลายคนเคยเห็นผ่านหูผ่านตามาบ้าง
ภาพนี้เป็นภาพของพระแม่มารีย์ในชุดคลุมสีน้ำเงินที่กำลังอุ้มพระเยซูเจ้าด้วยความทะนุถนอม เปี่ยมด้วยความรักความอ่อนโยน ในขณะที่ดวงตาของพระนางทอดขึ้นไปด้านบนเล็กน้อยประหนึ่งกำลังระแวดระวังภัยให้กับผู้เป็นบุตร ด้วยอารมณ์แม่ลูกที่เข้มข้น บวกกับคอสตูมสมถะชวนศรัทธา ก็ทำให้ภาพนี้จับใจศาสนิกชนมากถึงขั้นที่ว่ากลายเป็นภาพวาดพระแม่มารีย์ที่ ‘เกือบจะมีทุกบ้าน’
แต่รู้หรือไม่ว่า ภาพนี้แท้จริงแล้วกลับมีต้นกำเนิดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับบริบททางศาสนาแม้แต่น้อย และผู้หญิงในภาพก็ไม่ใช่พระแม่มารีย์แต่อย่างใด แต่เหตุใดภาพนี้จึงกลายเป็นพระแม่มารีย์ไปได้? วันนี้เราจะเล่าให้ฟัง
เรื่องราวของภาพนี้ มีจุดเริ่มต้นย้อนกลับไปราวๆ ปี 1897 ศิลปินชาวอิตาเลียนคนหนึ่ง นามว่า ‘โรแบร์โต แฟร์รุซซี’ (Roberto Ferruzzi) ได้คว้ารางวัลอันดับ 1 จาก ‘เวนิส เบียนนาเล’ (Venice Biennale) หนึ่งในนิทรรศการศิลปะร่วมสมัยที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกขณะนั้น ด้วยภาพสตรีอุ้มเด็ก ขนาดแค่เพียง 27 x 21 เซนติเมตร
โดยมันเป็นภาพที่เขาวาดขึ้นหลังจากที่พบกับเด็กหญิงวัย 11 ขวบคนหนึ่งนามว่า ‘แองเจลินา เซียน’ (Angelina Cian) กำลังเลี้ยงน้องชายตัวน้อยๆ ของเธออยู่อย่างทะนุถนอมเอาใจใส่ และด้วยฟีลลิ่งที่มันได้ ก็ทำให้แฟร์รุซซีเกิดประทับใจ จนว่าจ้างเด็กหญิงและน้องชายให้มาเป็นแบบ ในภาพวาดที่นำเสนอให้ทั้งสองสวมกอดกัน โดยให้ใส่เสื้อผ้าธรรมดาๆ เพื่อสะท้อนความเรียบง่ายตามแบบฉบับชนบทอิตาเลียนที่เปี่ยมด้วยความสุข ก่อนจะตั้งชื่อภาพนี้ว่า ‘Madonnina’ ที่แปลได้ว่า สุภาพสตรีน้อย
ชื่อบวกกับท่าทางของภาพนี้เอง ก็ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนส่วนใหญ่ตีความ (กันไปเอง) ว่าภาพนี้คือพระแม่มารีย์ เพราะชื่อ ‘มาดอนนินา’ (Madonnina) นั้น ไปคล้ายกับคำว่า มาดอนนา (Madonna) ในภาษาอิตาเลียน ที่มีความหมายว่า ‘พระแม่มารีย์’
ทั้งยังไปพ้องเสียงกับคำว่า Madonnina ที่เป็นชื่อรูปปั้นพระแม่มารีย์อันโด่งดังของเมืองมิลานอีกด้วย ทำให้ผู้ที่พบเห็นภาพนี้เริ่มเข้าใจกันไปว่าหญิงสาวในภาพคือพระแม่มารีย์กำลังอุ้มพระเยซู ก่อนที่ภาพนี้จะได้เริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ศิลปินได้ขายลิขสิทธิ์การทำซ้ำรูปภาพให้กับช่างภาพคนหนึ่ง
ผลที่ได้ก็คือ ชาวคาทอลิกอิตาเลียนจำนวนมากโปรดปรานภาพนี้สุดๆ มีการทำเหรียญห้อยคอจากภาพนี้ ทั้งยังกับมีการแต่งบทสวดเพื่ออธิษฐานต่อภาพนี้โดยตรง พร้อมกับลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คือภาพแม่พระมารีย์ที่ทรงพลังกว่าภาพไหนๆ เนื่องจากตัวภาพมีปรากฏข้อตรงข้ามระหว่างสิ่งสองสิ่ง ได้แก่ภาพเด็กน้อยที่นอนหลับอย่างปลอดภัยในอ้อมแขนของสุภาพสตรี และสภาพแวดล้อมรอบข้างที่สุดแสนจะธรรมดา ตรงกับประวัติของพระเยซูที่ก็ไม่ได้มาจากชนชั้นสูงอะไร
ทั้งยังเป็นภาพที่สะท้อน ‘ความรักของแม่’ ได้เป็นอย่างดี เพราะไม่ว่าจะสูงศักดิ์หรือยากจนแค่ไหน ความรักของแม่ก็ยิ่งใหญ่เสมอ และแม่ (ไม่ว่าจะเป็นพระแม่มารีย์ หรือแม่คนไหนๆ) ก็พร้อมทำทุกอย่างให้ลูกของตนได้นอนหลับในอ้อมอกของตนเองอย่างปลอดภัยและมีความสุข
ทำให้ต่อมาผู้คนเริ่มเรียกชื่อภาพนี้ว่า ‘มาดอนนา เดลเล วิเอ’ (Madonna delle vie) ที่แปลได้ว่า แม่พระแห่งท้องถนน หรือแม่พระแห่งหนทาง เพื่อสื่อถึงความธรรมดา ทว่าศักดิ์สิทธิ์ที่พบได้ทั่วไปตามท้องถนน เสมือนความรักของพระเจ้าที่พบได้ในทุกเวลาทุกขณะ
แต่แม้ว่าจะได้รับความนิยมมากแค่ไหน เชื่อกันว่าภาพต้นฉบับก็ได้หายสาบสูญไประหว่างเดินทางข้ามมหาสมุทร โดยในปัจจุบันสามารถตรวจสอบร่องรอยไปได้เพียงว่า ผู้ครอบครองภาพต้นฉบับคนสุดท้ายคือ ‘จอห์น จอร์จ อเล็กซานเดอร์ ไลช์แมน’ (Mr. John G. A. Leishman) อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจําสวิตเซอร์แลนด์ ที่เสียชีวิตในประเทศฝรั่งเศสในปี 1924 ก่อนที่จะไม่ปรากฏเรื่องราวของภาพนี้ในบันทึกเล่มไหนอีกเลย
ทว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีคนจำนวนมากพยายามค้นหาภาพต้นฉบับว่าอยู่ที่ไหน ในขณะที่บางคนก็ออกมาเคลมว่า ภาพที่ตนเองครอบครองเป็นภาพต้นฉบับ แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือมากพอที่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่านี่คือภาพต้นฉบับที่แท้จริง
อ้างอิง: CatholicCompany.What is the origin of the famous “Madonna of the Streets” painting? .https://tinyurl.com/ycy59daa
University ofDayton.Madonna of the Street.https://tinyurl.com/uccrdjxf