เฌอปราง อารีย์กุล ในวัย 24 ย่าง 25 กับเป้าหมายชีวิตที่ธรรมดา และการมองโลกตามความเป็นจริง

6 Min
4057 Views
10 Oct 2020

เราคงไม่ต้องแนะนำเฌอปราง อารีย์กุล  ให้เสียเวลา อย่างที่รู้ว่าเธอคือสมาชิกวง BNK48 หรือไอดอลแถวหน้าของเมืองไทยที่ใครๆ ก็รู้จัก

แต่นอกจากการได้เห็นเธอกระโดดโลดเต้น ร้องเพลงบนเวที และส่งรอยยิ้มกว้างในงานจับมือ กระทั่งเห็นเธอผ่านซีรีส์  ภาพยนตร์ หรือโฆษณาบนบิลบอร์ด วันนี้ เราได้พบปะเธอในงานแจกลายเซ็นหนังสือ ‘Soft power’ หนังสือเล่มหนาที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของเธอผ่านปลายปากกาของนิ้วกลม

ท่ามกลางสื่อมวลชนที่มาทำข่าว เหล่าแฟนคลับที่มารอเจอ เราได้พบเธอที่ห้องแต่งตัวในลุคสบายๆ เริ่มต้นบทสนทนาว่าด้วยการเติบโตเป็นผู้ใหญ่และสิ่งที่ได้เรียนรู้จากชีวิตไอดอลตลอด 4 ปี

แม้จะมีแสงไฟและสายตาคอยจับจ้องตลอดเวลาเฌอปรางในวัย 24 ย่าง 25 เป็นไอดอลที่มีเป้าหมายเรียบง่ายเฉกเช่นคนธรรมดา มากกว่าการพุ่งทะยานไปข้างหน้า เธอต้องการความสุขสงบ และค้นพบว่าไอดอลต้องมีคุณสมบัติเป็นนักจิตวิทยา เพื่อเยียวยาหรือมอบพลังให้ใครสักคน

สิ่งนี้ ทำให้เราอยากชวนคุณไปรู้จักเธอมากกว่าที่เห็นและเป็นอยู่

วัย 24 ย่าง 25 ถือเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากวัยรุ่นสู่การเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ได้ขบคิดเกี่ยวกับชีวิตของตัวเองหรือคิดถึงอนาคตยังไงบ้าง

ชีวิตช่วงนี้คิดแต่ว่าจะทำอะไรต่อไปดี ด้วยความที่ก่อนหน้านี้เราไม่เคยคิด เหมือนมีบรรทัดฐานต่างๆ ให้เดินตาม เป็นนักเรียนแค่ต้องเรียนให้จบไม่ว่าจะสาขาไหนก็ตาม  พอเรียนจบมหาวิทยาลัย ก็เหมือนบรรลุเป้าหมายไปจุดหนึ่งแล้ว แต่หลังจากนั้นเราต้องมานั่งกำหนดเอง เลยคิดว่า สิ่งนี้สินะที่ผู้ใหญ่เขาคอยถามตัวเองตลอดว่าคุณค่าชีวิตอยู่ไหน

เรามีช่วงที่เคว้งหนักคือตอนเรียนจบเพราะต้องควบคุมชีวิตตัวเอง แต่ตอนนี้ไม่เคว้งแล้ว โชคดีที่ค่อนข้างรู้เป้าหมายแต่ละอย่างของตัวเอง เพราะผ่านการทำโปรเจกต์ตอนเรียน ซึ่งต้องกำหนดเป้าหมายตลอดว่าจะทำอะไร ก็เลยเหมือนได้ฝึกค้นหาตัวเอง ฝึกตั้งคำถาม และฝึกตั้งเป้าหมาย

เป้าหมายแต่ละอย่างที่ว่าคืออะไร

ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกวัน ได้ทำงาน ได้ทำนู่นทำนี่ โดยไม่ต้องคิดเยอะ ก็สบายไปอีกแบบนึง  ถ้าให้คิดเป็นข้อๆ อย่างแรกคือการท่องเที่ยวเราอยากออกไปท่องโลก เพื่อเรียนรู้วัฒนธรรม หรือออกไปนอกโลกเลย เพราะอยากเห็นโลกด้วยตาตัวเอง อยากสัมผัสว่า ‘zero gravity’ เป็นยังไง แต่ไม่ได้อยากอยู่นาน ยังคงอยากอยู่สบายๆ บนพื้นโลกมากกว่า

แล้วก็คิดเรื่องการลงทุน เราคิดไว้ก่อนสำหรับอนาคต จะได้มีรายได้ระดับนึงมาดูแลที่บ้าน และส่วนนึงที่เก็บสะสมไว้ในยามจำเป็น ถ้าหากเงินมันสามารถทำงานเองได้ เราอาจจะสบายขึ้น หรือมีทางเลือกในชีวิตมากขึ้น ไม่ต้องกังวล  ปัจจัย  4 ที่ว่าเราจะมีที่อยู่อาศัยไหม มีข้าวกินหรือเปล่า จะมีเงินพอรักษาตัวเองไหม

อีกอย่างคงเป็นการสร้างบ้านที่มีทุกอย่างอยู่ในนั้น บ้านที่มีพลังงานหมุนเวียน บ้านที่ออโต้เองได้ มีข้าวกิน มีน้ำใช้ ไม่สร้างขยะเยอะ ซึ่งยากนะ มันต้องใช้อะไรหลายอย่างมาก สุดท้ายคือภาษา อยากเข้าใจได้ทุกภาษาเท่าที่เราทำได้ แต่หลักๆ ก็คงภาษาอังกฤษก่อน สมมติเราไปเที่ยวที่ต่างๆ ก็อยากพูดภาษาของเขาจะได้เข้าใจเขา

สำหรับเฌอปรางการเติบโตเป็นผู้ใหญ่คืออะไร

รับผิดชอบตัวเอง จริงๆ เรารู้สึกว่าตอนเด็กก็รับผิดชอบเยอะ แต่พอโตเป็นผู้ใหญ่มันมีอะไรให้คิดมากขึ้น เช่น ภาษี เงินเดือน ประกันสุขภาพ หน้าที่พลเมือง

มีประโยคทำนองว่าการเติบโตย่อมเจ็บปวดหรือเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวดเห็นด้วยไหม

สำหรับเราการใช้ชีวิตทุกวัน มันเป็นการใช้จริงๆ ดังนั้น จะว่าเป็นการเติบโตก็ไม่เชิง หรือจะเจ็บปวดไหม คงขึ้นอยู่กับการมองว่าชีวิตทุกวันคือความเจ็บปวดหรือเปล่า ถ้าเราเจ็บปวดแบบ positive เราได้อะไรกลับมา บางวันเราอาจจะรู้สึกไม่ดี อาจจะเจอความเจ็บปวดที่ negative แต่ความเจ็บปวดที่ negative ในวันนั้น มันอาจจะย้อนกลับมาเป็น positive ในวันนี้ก็ได้

ชีวิตทุกวันมันมีเรื่องให้เจ็บปวดอยู่แล้ว การเป็นวัยรุ่นมันเจ็บปวดเพราะเพิ่งเผชิญมั้ง ตอนเด็กเราอาจจะรู้สึกว่าไม่ต้องคิดอะไร แต่ในวันที่เราต้องเริ่มคิด สมองโตพอที่จะคิดเพิ่ม เราก็คิดว่าทำไมชีวิตมันเจ็บปวดจัง ซึ่งพอโตขึ้นอีกเราอาจจะรู้สึกว่า ความเจ็บปวดเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา โลกก็หมุนไป นาฬิกาก็เดินของมันต่อไป อยู่ที่ว่าเราจะใช้มันอย่างไรให้ดีที่สุดต่อตัวเรา

คิดว่าวันนี้ตัวเองเติบโตเป็นผู้ใหญ่หรือยัง

เราไม่รู้เหมือนกัน คนมักจะชมว่าเฌอผ่านมาได้เยอะเลย เราก็ตอบกลับอ้าวเหรอ นั่นคือเยอะเหรอคือตอนที่เราผ่าน มันเป็นสิ่งที่ทุกคนในโรงเรียนอาจจะเจอพร้อมกัน เราเลยไม่ได้รู้สึกประหลาดจากคนอื่น รู้สึกว่านี่คือชีวิตธรรมดาของเฌอ

บางคนบอกว่าเราโตกว่าวัย แต่เราก็ไม่รู้ว่าเราโตกว่าคนอื่นยังไง ปัจจุบันก็ยังคิดว่าตัวเองก็ไม่ได้โตขึ้นเท่าไหร่  ไม่รู้ความหมายของผู้ใหญ่เป็นยังไงสำหรับแต่ละคน แต่เรารู้สึกว่า ฉันก็ยังเป็นฉัน ไม่เด็ก ไม่ผู้ใหญ่

ตอนนี้ความฝันคืออะไร

มีชีวิตสงบสุขก็โอเคแล้ว แล้วก็ได้ทำสิ่งที่อยากทำ สงบสุขสำหรับเราคือไม่เดือดร้อนใคร ไม่ทำให้ตัวเองหรือใครก็ตามรู้สึกไม่ดี

ที่เคยบอกว่าฝันอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือนักวิจัย ทุกวันนี้ยังฝันแบบเดิมหรือเปล่า

ความฝันเรามีหลากหลายมาก ไอดอลก็เป็นหนึ่งในความฝันที่เราไม่คิดว่าจะได้ทำ ไปๆ มาๆ เราเรียนรู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นคน innovative ขนาดนั้น แต่เราเป็นคนชอบมองภาพรวมและประยุกต์ใช้ เอาสิ่งที่มีมารวมกันและต่อยอดมากกว่า เหมือนโตขึ้นเรื่อยๆ แล้วรู้จักตัวเองมากขึ้น

การรู้จักตัวเองมากขึ้นมันสำคัญยังไงในช่วงวัยนี้

ทำให้เรารู้ว่าเราทำอะไรได้บ้าง แล้วเราจะต้องต่อยอดมันอย่างไร มันจะใช้เลี้ยงชีพเราได้ไหม

บางทีมันต้องใช้เวลาในการบอกตัวเองว่าฉันทำอะไรได้ดี แต่ฉันทำอะไรได้ดีกับ ฉันชอบทำอะไร มันก็ก้ำกึ่งนะ

แล้วเฌอปรางในฐานะคนธรรมดาคนนึงชอบอะไร

ชอบกินของหวาน ชอบเล่นเกม ชอบอะไรใหม่ๆ สนุกสนานไปเรื่อย มีความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในทุกวัน และไม่เครียด แต่ทุกคนมักจะบอกว่าเราเครียดโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเรามองว่าเรื่องเครียดมันก็เป็นปกติเวลาทำงานไม่ใช่เหรอ เราคาดหวังให้งานออกมาดี มันก็คือความเครียด

คาดหวังมากๆ แล้วเคยท้อแท้หรืออยากยอมแพ้กับการเป็นไอดอลไหม

ไม่เชิงยอมแพ้ เรียกว่าการปรับตัวละกัน เราเลือกจะอยู่ตรงนี้แล้ว เราก็ต้องเผชิญกับสิ่งที่หน้าที่การงานเหล่านี้จะพาไป และจัดการว่าอยู่กับมันยังไง อาจจะมีสิ่งที่เราทำไม่ได้ แต่ถามว่าทำไม่ได้แล้วล้มเลิกไหม ก็ไม่ได้เลิก

อย่างการร้องเพลง เรายอมรับว่าไม่เคยใช้เสียง แต่หน้าที่ตรงนี้มันต้องเรียกร้องทักษะการร้องเพลง เราก็ต้องไปต่อกับทักษะนี้ให้ได้ แล้วทำยังไงถึงจะทำได้ฝึกสิ ร้องต่อไปหวังว่าวันนึงมันจะดีขึ้น สุดท้ายกลายเป็นว่ามันก็ดีขึ้นจริงๆ ทักษะทุกอย่างมันต้องใช้เวลา ทำไปเถอะ ถ้าเราต้องใช้ ต้องอยู่กับทักษะตรงนี้ ก็ทำมันต่อไป

เราจะมีคำถามว่า ทำไม่ได้แล้วยังไง? จะยอมแพ้ไหม? หรือเปลี่ยนไปเส้นทางอื่นก็ไม่แย่นี่ ตอนแรกสมัยเด็กอยากทำโปรแกรมมิ่ง คิดว่าต้องทำได้ คอมพิวเตอร์ใช้มาตั้งแต่เด็กนี่นา แต่สุดท้าย ไม่รอด ยอมแพ้ เราก็คิดว่าอันนี้อาจจะไม่ใช่ทาง งั้นไปทำอย่างอื่นละกัน ไม่จมอยู่กับมันว่าฉันทำไม่ได้  ทางเลือกมันมีเยอะ ความฝันนี้ไม่ได้ ลองความฝันถัดไป ขอแค่ไม่หยุดลอง

เรายังเลือกไปต่อเพราะอยู่ที่นี่ มันอาจจะเป็นทักษะที่ทำได้ไม่ดีซะทีเดียว แต่ว่าอย่างอื่นก็มีความสุขดีที่ได้จับมือ ได้เจอแฟนๆ ได้เต้น ได้เพอร์ฟอร์ม ไอดอลมันเป็นเหมือน subset โดยรวมว่าเราจะเป็นศิลปิน หรือจะเป็นนักแสดง นักเต้น หลากหลายมาก เป็นนักจิตวิทยาด้วยมั้ง

ไอดอลเป็นนักจิตวิทยายังไง

งานจับมือครั้งล่าสุด เกิดความรู้สึกว่าเราต้องรับแล้วปล่อยเพราะแต่ละคนมีเรื่องมาไม่เหมือนกัน บางคนมานิ่งๆ สบายๆ บางคนมาหน้าเศร้าเลย คิดในใจว่า หรือฉันต้องไปเรียนจิตวิทยา เพราะถ้าเราสามารถรับมือคนในหลากหลายรูปแบบก็คงดี ไม่ว่าเขาจะมาในแบบ negative หรือ positive เราจะช่วยให้ negative เปลี่ยนเป็น positive ได้ไหม หรือช่วยให้คนที่มีพลังบวกยังคงมีพลังเหล่านั้นต่อไปได้อย่างไร บางคนเคยเป็นซึมเศร้าเราจะให้กำลังใจเขายังไง ต้องใช้คำพูดแบบไหน ถ้าเรารู้วิธีอาจจะดีต่อการทำงานจับมือให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

เรียนรู้อะไรจากงานจับมือตลอด 4 ปี

ผู้คนมีหลากหลายมาก และการรับมือคนแต่ละแบบใช้ทักษะแตกต่างกัน แต่พื้นฐานเลยคือ เราต้องมองให้ออกว่าเขามาด้วยความรู้สึกแบบไหน  มนุษย์มีออร่าบางอย่าง ที่บ่งบอกให้รู้ว่าวันนี้เขาโอเค วันนี้เขาไม่โอเค บางคนแค่อยากมาบ่นให้ฟัง บางคนต้องการกำลังใจ อวยพรให้เขาหน่อย ให้เขามั่นใจ บางคนก็มีเราเป็นเป้าหมายว่าฉันสอบติดจะมาเจอพี่เฌอ เราดีใจที่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น จริงๆ ยอมรับว่าเหนื่อยที่เปลี่ยนเรื่องคุยทุก 8 วินาที ต้องตัดจบ และรีเซตตัวเองใหม่ แต่ก็ยินดีจะมอบพลังให้ เพราะเราเป็นคนนึงที่สามารถดึงพลังขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง

4 ปีใน BNK48 ทำให้ความหมายของคำว่าไอดอลเปลี่ยนไปไหม

4 ปีกับการเป็นไอดอล เรามองมันเป็นงาน เพราะเราได้เงินจากมัน เพียงแต่เป็นงานที่ชอบ งานที่มีประโยชน์ งานที่ทำให้คนรู้สึกดีขึ้น เราไม่ได้มองความหมายของไอดอลเปลี่ยนไป แต่เข้าใจและยิ่งนับถือไอดอลตัวเองมากขึ้นไปอีก ที่ญี่ปุ่นคนเขาน่าจะเยอะกว่านี้มาก เขารับมือกันได้เก่งและยังคงรักษาตัวตนได้ ยังรู้ว่าตัวเองชอบอะไร ยังไปต่อกับสิ่งที่ตัวเองชอบ แล้วเขาก็ทำตรงนี้อย่างดีและเต็มที่ที่สุดด้วย

ไอดอลเป็น ‘Soft power’ ไหม

วัฒนธรรมเป็น soft power ของเรา  ไอดอล มีพาวเวอร์ในการเป็นแรงจูงใจ เขาดูดีจังเลย อยากทำได้ อยากเป็นแบบนั้น ให้คนมีไอเดียว่าฉันทำอะไรได้บ้าง เราก็เข้ามายืนตรงนี้ด้วยคำถามแบบนั้น

 

แล้ว ‘power’ ที่เฌอปรางมีอยู่ อยากส่งต่ออะไรให้กับคนอื่น

อยากส่งต่อเอเนอร์จี้ ในการสร้างเอเนอร์จี้ให้ตัวเอง เราเคยเป็นแฟนคลับคนนึงที่ไม่ได้ไปจับมือเขาตลอดชีวิตของการติดตามไอดอล แต่เราก็ได้รับเอเนอร์จี้จากการมองเขา แล้วเห็นเขาทำสิ่งต่างๆ ดังนั้น ถ้าถามว่าจะมอบ power อะไรง่ายๆ เลยก็ขอให้เป็น  power ในการสร้างพลังให้ตัวเองได้ มีแรงต่อไปในทุกๆ วัน ในการทำนู่นทำนี่ ทำสิ่งที่ชอบ หรือสิ่งที่ทำแล้วเป็นการช่วยเหลือผู้อื่น

ทำหนังสือ Soft power ให้อะไรกับเราบ้าง

การทำหนังสือ Soft power ทำให้เราได้เล่าออกไป ได้รู้ว่าความเข้าใจของเราในตอนเด็กนั้นไม่ตรงกับที่เป็นจริง ตอนเด็กเราจำได้ว่าโดนตีเพราะไม่ซักถุงเท้า แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ แม่บอกว่าเธอโดนตีเพราะไม่ยอมฉี่ที่โรงเรียน อั้นฉี่ทั้งวันแล้วค่อยกลับไปฉี่ที่บ้าน

ขอบคุณพี่นิ้วกลมที่มาสัมภาษณ์ให้เราได้เล่า ได้พูดถึงเรื่องราวชีวิต ได้ทบทวนตัวเอง ถ้าอยากรู้จักกันก็มาอ่านได้ค่ะ หวังว่าคนที่อ่านจะได้แรงบันดาลใจบางอย่างไป

————————————————————

ขอขอบคุณ ภาพจากสำนักพิมพ์มติชน และมานีมีใจ