สำหรับหลายคนที่เริ่มตระหนักว่าตัวเอง ‘ถึงวัย’ แล้วที่ต้องเริ่ม ‘ลงทุน’ เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับตัวเองในยามแก่
แต่จะ ‘ลงทุน’ ยังไงดีล่ะ จะฝากประจำบัญชีแบบไหน? จะซื้อกองทุนกองไหน? จะซื้อหุ้นตัวไหน? จะซื้อ
คริปโทฯ เหรียญไหน?
ทางเลือกในโลกการเงินมันเยอะจนชวนเวียนหัวสำหรับ ‘น้องใหม่’
แต่ไม่เป็นไร เราจะค่อยๆ อธิบายไปทีละประเด็น
อย่างแรกเลย สำหรับหลายๆ คนที่เริ่มลงทุน ความรู้สึกและคำถามร่วมคือ ‘จะลงทุนอะไรให้รวยเร็วๆ ’
แต่ประเด็นก็คือ ถ้ามันมี ‘ทางออก’ แบบนั้น ป่านนี้โลกไม่มีปัญหาความเหลื่อมล้ำแล้ว คนจนคงน้อยกว่านี้ และโดยทั่วๆ ไป ‘การลงทุน’ ใดๆ ที่อ้างว่าให้ผลตอบแทน 50-100 เปอร์เซ็นต์ อะไรพวกนี้แทบจะร้อยทั้งร้อยคือมัน ‘หลอกลวง’ทั้งนั้น (ถ้าไม่นับตลาดที่มีความผันผวนสูงอย่างพวกคริปโทฯ)
ในมาตรฐานการเงินทั่วๆ ไปในปัจจุบัน ผลตอบแทนเฉลี่ยๆ ที่เขาจะบอกให้คุณคาดหวังได้จากวิธีการลงทุนตามมาตรฐานที่มีการกำกับดูแลที่ชัดเจนคือการลงทุนในหุ้น ซึ่งถ้าเป็นหุ้นในตลาดหุ้นอเมริกาโดยรวมๆ ที่เป็นตลาดมาตรฐานของโลก ทั่วๆ ไปเขาจะประเมินว่าผลตอบแทน ‘เฉลี่ย’ อยู่ที่ 7-8 เปอร์เซ็นต์ ต่อปี (เน้นว่า ‘เฉลี่ย’ เพราะทั่วๆ ไปในปีๆ นึงมักจะได้เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ แน่ๆ)
การลงทุนแบบนี้ คือการลงทุนแนว ‘กองทุนดัชนี’ อันลือลั่นแบบที่ Warren Buffett เคยแนะนำว่าเป็นทางเลือกการลงทุนที่สุดของ ‘คนทั่วไป’ ที่ไม่ใช่ ‘เซียนหุ้น’ อะไร ซึ่งกองทุนแนวนี้มันคือกองทุน K-US500X ของทางกสิกรไทย SCBS&P500 ของทางไทยพาณิชย์ TMBUS500 ของทหารไทยธนชาติ TISCOUS ของทิสโก้ ASP-S&P500 ของแอสเซทพลัส กองไหนเหมือนกันหมดในแง่นโยบายการลงทุน
เทคนิคลงทุนระยะยาวเบสิคสุดคือลงทุนแบบนี้ไปแบบเดียว มีเงินเท่าไรใส่มันเข้าไป เงินที่เหลือในบัญชีคือเงินที่พอใช้ 6-12 เดือนพอ ที่เหลือโยนไปกองทุนพวกนี้ที่สุด
ถามว่าแล้วมันไม่ต้อง ‘กระจายความเสี่ยง’ แบบที่เขาสอนๆ กันเหรอ คำตอบพื้นฐานคือการลงทุนแบบนี้มันคือการ ‘กระจายความเสี่ยง’ ในตัวอยู่แล้ว เพราะมันคือการกระจายเงินลงในหุ้น 500 ตัวใหญ่สุดในอเมริกา ซึ่งหุ้นพวกนั้น มีตั้งแต่อุตสาหกรรมอาหาร น้ำมันจนไปถึงอินเทอร์เน็ต
คือถ้าพูดถึงการกระจายความเสี่ยงในเชิงอุตสาหกรรม เราลงทุนเองเราไม่มีปัญญากระจายความเสี่ยงขนาดนี้แน่นอน (เพราะนักลงทุนที่เป็นมนุษย์ปกติ มันก็ไม่น่าจะมีใครมีหุ้นอยู่ในมือ 500 ตัวพร้อมกันในที่เดียว)
แต่ถ้าถามว่า แบบนี้ถ้าตลาดหุ้นอเมริกาล่ม มันก็ไม่พังเหรอ? คำตอบคือพัง แต่ประเด็นคือ ถ้าจะมีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ตลาดอเมริกาล่มได้ ปกติ มันส่งผลไปทั้งโลก พูดง่ายๆ คุณย้าย ‘ทุน’ ไปไหนก็หนีแทบไม่พ้น
แต่ถ้าคุณจะไม่อยากไว้ใจอเมริกาเต็มที่ขนาดนั้น เอาจริงๆ กองทุนดัชนีที่กระจายในหุ้นประเทศอื่นๆ ก็มีมากมายให้เลือกสรร และตลาดใหม่ๆ ที่คนมองว่าเป็นอนาคตและอาจเป็นตลาดที่จะรอดจากการล่มสลายของอเมริกาได้ก็ได้แต่ตลาดจีนและอินเดีย ซึ่งพวกนี้ในไทยก็มีพวกกองทุนให้เลือกซื้อมากมาย
หรือถ้าจะแอดวานซ์กว่านั้น จะแบ่งทุนบางส่วนไปในตลาดเกิดใหม่ที่มีความเสี่ยงสูงในทุกแง่อย่างคริปโทฯ ก็ไม่ใช้ปัญหา เพียงแต่คุณต้องมีเวลาศึกษาดีๆ เพราะตลาดแบบนี้ที่ยังไม่มีการกำกับดูแล (และอาจไม่มีทางจะมี) คุณต้อง ‘รับผิดชอบตัวเอง’ เพราะเงินคุณอาจ ‘หาย’ ได้ตลอดเวลาในตลาดพวกนี้ และไม่มีใครรับผิดชอบได้
ทั้งหมดที่ว่ามาคือการลงทุนของคนอายุน้อยๆ ที่กำลังสะสมทุน มาตรฐานเลยคือถ้าคุณมีระยะเวลาลงทุนอย่างต่อ 20-30 ปี
แต่ก็แน่นอน ‘ว่ากันตามตำรา’ เขาก็จะบอกว่าคุณยิ่งแก่ คุณก็จะยิ่งควรลงทุนแบบที่เสี่ยงน้อยลง ได้ผลตอบแทนรัวๆ เพื่อมีเงินใช้ ซึ่งนั่นหมายถึงอาจต้องย้ายเงินบางส่วนไปยังตราสารหนี้ หรืออสังหาริมทรัพย์
แต่การลงทุนแบบนี้นี่ ค่อยว่ากันตอนอายุ 50 ขึ้นไป ถ้ายังอายุน้อยๆ การทุ่มสินทรัพย์ลงไปในหุ้นก็เป็นมาตรฐานที่แนะนำกันทั่วไป ส่วนถ้าจะแบ่งเงินบางส่วนไปยัง ‘สินทรัพย์ความเสี่ยงสูง’ แบบคริปโทฯ ทั่วๆ ไปเขาก็จะแนะนำว่าไม่ควรจะแบ่งไปเกิน 10เปอร์เซ็นต์ (บ้างก็จะบอกว่าควรจะน้อยกว่านั้น 5 เปอร์เซ็นต์ หรือ 1 เปอร์เซ็นต์ ก็มี)
บางคนอาจงงว่า แค่นี้เหรอการ ‘จัดพอร์ต’ ก็แค่นี้แหละ มันไม่ได้ซับซ้อน และไม่ควรจะซับซ้อนด้วย สำหรับ ‘การลงทุน’ ของคนที่ ‘มีงานประจำ’ ทำ
จริงอยู่ การ ‘กระจายความเสี่ยง’ ให้มากที่สุด มันคือยอดปรารถนาอยู่แล้ว แต่ประเด็นคือ ยิ่ง ‘กระจายความเสี่ยง’ มันก็ยิ่งต้องการเวลาในการดูแลสินทรัพย์
แน่นอนว่า การกระจายการลงทุนไปกองทุน 7-8 แบบที่ต่างกัน การมีพอร์ตถือหุ้นไทยบางส่วน การมี
คริปโทฯ ไว้เทรดในเว็บไทยและเทรด แถมแยกเก็บในวอลเลตอีก 3-4 ที่ นั้นเป็นเรื่องดี แต่ในแง่การจัดการ มันเป็นเรื่องที่ลำบากมากสำหรับคนที่ไม่ได้ทำงานการเงินอาชีพ และทำให้มันเป็นแนวทางที่ไม่สมเหตุสมผลสำหรับ ‘มนุษย์เงินเดือน’ ทั่วๆ ไป
แน่นอนบางคนจัดการไหว ก็ไปโลดเลย ยิ่งเยอะยิ่งดี ถ้าจัดการไหวและมีเวลา แต่ถ้าไม่มีเวลา ก็
‘จัดพอร์ต’ ตามแบบเบสิกที่ว่าตอนแรกได้เลย
เพราะประเด็นสำคัญที่สุด การลงทุนอาจจะไม่มีคำตอบหรือทฤษฎีที่ตายตัว มันไม่คำตอบที่ถูกต้องแบบเป๊ะๆ เพราะมันไม่ใช่พอร์ตเราต้องซับซ้อน เพราะสำหรับคนทำงาน ประเด็นอยู่ที่พอร์ตเราต้องโตไปได้เรื่อยๆ ในระยะยาว โดยที่เราไม่ต้องเสียเวลาในการจัดการกับมันมากเกินไป
ปีนี้ฉันจะรวย แคมเปญที่พาทุกคนรวย (ความรู้) กับข้อมูลทางการเงินที่จับต้องได้และครบครัน ทั้งรูปแบบบทความ อินโฟฯ และวิดีโอ อย่าให้เรื่องการเงินเป็นเรื่องน่ากลัว อยู่กับเงินด้วยความรู้ความเข้าใจ หลังโควิด-19 ผ่านพ้นไป มาเตรียมตัวรวยไปด้วยกัน! มาติดตามเนื้อหาอื่นๆ ในแคมเปญปีนี้ฉันจะรวยได้ที่ : https://www.brandthink.me/campaign/pi-ni-chan-cha-ruai