5 Min

‘Lipitor’ ยาที่ขายดีที่สุดในโลกตลอดกาล?

5 Min
2616 Views
30 Jul 2020

สำหรับคนจำนวนมาก ‘ยา’ คือหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานของชีวิต

แต่หากมองในภาคธุรกิจ ‘ยา’ คือ ‘สินค้า’ ชนิดหนึ่ง ซึ่งทำเงินอย่างมหาศาลให้กับธุรกิจด้านการแพทย์และสุขภาพทั้งระบบ โดยมีบริษัทยาเป็น ‘จุดยอด’ ของระบบ

คนทั่วไปคงไม่รู้ว่า บริษัทยา แท้จริงแล้วคือ ‘บริษัทสารเคมี’ เพราะบริษัทสารเคมีกับบริษัทยาในโลกนี้ไม่เคยแยกจากกัน

บริษัทเหล่านี้ผลิตตั้งแต่ยารักษาโรค ยาฆ่าแมลง และหลายบริษัทเคยผลิต ‘อาวุธเคมี’ ขายในสมัยที่ยังผลิตได้ถูกกฎหมาย

เวลาล่วงผ่านมาถึงยุคปัจจุบัน บริษัทสารเคมียักษ์ใหญ่ทั้งหมดก็แทบจะ ‘แปลงสภาพ’ เป็นบริษัทยาข้ามชาติกันหมด โดยมีเป้าหมายในการผลิตยาชนิดใหม่ที่ ‘ขายดีที่สุด’ ออกมา ซึ่งไม่ต่างจากบริษัทประเภทอื่นๆ ในระบบทุนนิยม ที่มีผลกำไรสูงสุดเป็นที่ตั้ง

คำถาม… ‘ยาที่ขายดีที่สุด’ ตั้งแต่ประวัติศาสตร์บันทึกมา คือยาอะไร?

1.
วัฎจักรชีวิตของยาเริ่มต้นเมื่อบริษัทยาเริ่มพัฒนาการสังเคราะห์สารเคมีตัวใหม่ที่น่าจะใช้เป็นยาได้

จากนั้นก็ยื่นขอจดสิทธิบัตรสูตรยาตัวใหม่ให้ผ่าน ซึ่งสำนักงานสิทธิบัตรจะยืนยันว่านี่คือสารเคมีตัวใหม่จริง และออกสิทธิบัตรเพื่อคุ้มครองให้ผู้คิดค้นสามารถผูกขาดการใช้ประโยชน์ได้ในเวลาที่จำกัด

หลังได้สิทธิบัตร ก็จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการทดลองต่างๆ ตั้งแต่ในห้องทดลอง ในสัตว์ และในมนุษย์

เมื่อกระบวนการทั้งหมดพิสูจน์ว่า ยาตัวนั้นสามารถใช้รักษาโรคได้จริง และปลอดภัย (ถ้าใช้ตามโดสที่กำหนด)

สุดท้ายทางองค์กรอาหารและยาจะอนุมัติ และยาตัวนั้นก็จะออกจำหน่ายตามท้องตลาด ซึ่งคนทั่วไปสามารถซื้อตามร้านขายยา หรือหมอจะจ่ายยาให้เรา ตอนไปหาหมอก็ได้

2.
เนื่องจากกระบวนการทดลองยาให้ปลอดภัยมักจะกินเวลานานมาก (บางทีเกือบ 10 ปี) ระยะเวลาที่ยาออกมาสู่ท้องตลาดจนถึงเวลาที่สิทธิบัตรยาสิ้นสุด จึงมักจะเหลือแค่ 10 กว่าปีเท่านั้น (มาตรฐานอายุสิทธิบัตรในโลกคือ 20 ปี นับตั้งแต่สิทธิบัตรได้รับการอนุมัติ)

พอพ้นอายุสิทธิบัตรแล้ว ตามหลัก ยาตัวนั้นก็จะตกเป็นสมบัติของมนุษยชาติ ใครจะผลิตที่ไหนเมื่อไรก็ได้ และช่วยให้เรามียาราคาถูกจำนวนมากใช้ในทุกวันนี้

ยาใน ‘บัญชียาหลักแห่งชาติ’ ของไทย ก็คือยาที่หมดสิทธิบัตรคุ้มครองแล้วนั่นเอง ซึ่งบ้านเราสามารถผลิตขึ้นมาใช้เอง โดยไม่ต้องขออนุญาตใครทั้งสิ้น

คำอธิบายทั้งหมดที่ว่ามา คือข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นต่อการตอบคำถามว่า

ยาอะไร…ขายดีที่สุดในโลก?

3.
เวลาพูดถึง ‘ยาที่ขายดีที่สุด’ ตามหลัก เราพูดถึงยาที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของสิทธิบัตร และมีเพียงบริษัทเดียวผลิต และหาประโยชน์ได้เท่านั้น

ดังนั้น เราจะไม่เอา ‘ยาหมดสิทธิบัตร’ หรือ ‘ยาทั่วไป’ (generic drug) มาเทียบ

สมมติว่ายาอย่าง ‘พาราเซตามอล’ คือยาที่มนุษย์ใช้มานานแล้ว มีหลายบริษัทผลิตทั่วโลก ก็จะไม่นับว่าเป็นยาที่ขายดีที่สุดตลอดกาล

เพราะในทางเทคนิค ‘ยาที่ขายดีที่สุดตลอดกาล’ นับรายได้เฉพาะในช่วงที่บริษัทผูกขาดขายยาภายใต้สิทธิบัตรเท่านั้น

นี่คือนิยามที่ต้องเข้าใจตรงกันก่อนที่จะตอบคำถามตรงนี้

ยาอะไรที่ขายดีที่สุดตลอดกาล?

คำตอบคือ ยาชื่อ Lipitor ของบริษัท Pfizer ทุกวันนี้ ‘ชื่อสามัญ’ ของยานี้คือ Atorvastatin

ถ้าใครผ่านร้านยาบ่อยๆ ต้องเคยเห็นโลโก้ Pfizer มาบ้าง เพราะปัจจุบัน Pfizer ถือเป็นบริษัทยายักษ์ใหญ่ของโลกไปแล้ว

แต่ถามว่า คนรู้จักยาอะไรของ Pfizer บ้าง? ให้นึกคงนึกไม่ออก แต่ถ้าบอกว่า ‘ยาชื่อดัง’ ที่สุดของบริษัทนี้ในยุคสมัยของเราคือยา Viagra ซึ่งเป็นยา “ปลุกนกเขา” ที่ช่วยแก้ไขความเสื่อมสมรรถภาพทางเพศของผู้ชาย และเป็นยาตัวแรกที่ใช้แก้ ‘นกเขาไม่ขัน’ ที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์มาแล้วว่าใช้ได้จริง และก็แน่นอน ขายได้ถล่มทลาย

อ่านมาตรงนี้ คงเริ่มสงสัยว่า ยา Lipitor ขายดียิ่งกว่า Viagra อีกเหรอ?

คำตอบคือขายดีกว่าชนิดเทียบกันไม่ได้เลย

4.
ทำไมยาขายดีขนาดนี้ คนถึงไม่เคยได้ยินชื่อเลย คำตอบคือ ถ้าไม่ป่วย เราก็จะไม่รู้จักยารักษาโรคนั้นๆ และคนที่อายุยังน้อย ก็ไม่ใช่กลุ่มที่ต้องใช้ยาตัวนี้

แล้วยา Lipitor ใช้ “รักษา”อะไร?

คำตอบที่สั้นที่สุดก็คือ โรคหัวใจและหลอดเลือด

แม้จะไม่มีใครไม่เคยได้ยินโรคหัวใจและหลอดเลือด แต่มีน้อยคนที่รู้ว่าโรคนี้คือมัจจุราชอันดับ 1 ของคนยุคนี้

กล่าวคือปีๆ หนึ่ง คนตายเพราะโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่ามะเร็งเสียอีก

ดังนั้น ยาอะไรก็ตามที่ใช้รักษาจะขายดีสุดๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

แต่นี่ก็แค่บางส่วนของเรื่องนี้เท่านั้น…

5.
ยาเกี่ยวกับโรคหัวใจและหลอดเลือดมีเยอะมาก มีสรรพคุณและลด ‘ปัจจัยเสี่ยง’ ต่างกัน

แต่ที่เหมือนกันทุกตัวคือ เราต้องเริ่มกินตั้งแต่มี ‘ความเสี่ยง’ ไม่ว่าที่บ้านมีประวัติโรคหัวใจ วัดความดันมาแล้วพบว่าความดันสูง หรือวัดคอเลสเตอรอลแล้วพบว่าคอเลสเตอรอลสูง

ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุอะไร ทุกคนจะต้องกินยา และต้องกินไปตลอดชีวิต เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ หรือถ้าเป็นโรคหัวใจแล้ว ก็ต้องกินต่อ เพราะยาจะช่วยลดความเสี่ยงหลอดเลือดในสมองตีบ (หรือที่รู้จักกันในชื่อ Storke) และลดความเสี่ยงหัวใจล้มเหลว

ดังนั้น บริษัทยาก็เลยแข่งผลิตยากลุ่มนี้กันมาก เพราะนอกจากจะมี “ลูกค้า” มหาศาลทั่วโลกแล้ว ลูกค้าทุกคนยังต้องใช้สินค้าของบริษัทไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ด้วย

เรียกได้ว่า เป็นสินค้าที่คุ้มค่าในการผลิต เพราะสร้างรายได้ยาวๆ

สำหรับ Lipitor เป็นยากลุ่มที่เรียกว่า Statin ซึ่งก็คือ ‘ยาลดคอเลสเตอรอล’

ถ้าใครไปตรวจเลือดประจำปีแล้วพบว่าคอเลสเตอรอลสูงเกินเกณฑ์มาก ปรับพฤติกรรมยังไงก็ไม่ลด หมอก็จะสั่งให้คุณกินยาตัวนี้ และคุณก็จะต้องอยู่กินกับมันไปยาวๆ ตลอดชีวิต

แต่ไม่ต้องกังวล เพราะยาตัวนี้ ไทยผลิตเองได้ ราคาถูกแบบกินทุกวันก็ไม่ต้องหวั่น เพราะยาพวกนี้คือลูกหลานของ Lipitor หลังหมดสิทธิบัตรแล้วนั่นเอง

6.
Lipitor มี ‘ความพิเศษ’ อะไร ทำไมถึงขายดีขนาดนั้น?

ถ้าใครเดาว่า เพราะเป็นยาลดคอเลสเตอรอลตัวแรกในท้องตลาด ขอบอกว่า “ไม่ใช่”

ก่อน Lipitor จะเกิดขึ้น ในตลาดมียาลดคอเลสเตอรอลตัวอื่นๆ (ในกลุ่ม Statin) อยู่หลายตัว

แถมช่วงที่ Lipitor ยังอยู่ในท้องตลาดไม่นาน คือช่วงก่อนจะหมดสิทธิบัตรในปี 1997-2011 หรือแค่ราว 14 ปีเท่านั้นเอง

แต่จากวันนั้นถึงวันนี้ Lipitor สร้างรายได้ให้กับ Pfizer มากกว่า 3 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้ที่ไม่เคยมียาตัวใดในโลกสร้างให้กับบริษัทไหนมาก่อน

สาเหตุเป็นเพราะอะไร?

ตอนที่ Lipitor ออกมาสู่ท้องตลาด Pfizer ทำการตลาดอย่างหนัก ให้คน ‘รู้สึก’ ว่า Lipitor ดีกว่ายาในกลุ่มเดียวกันในท้องตลาด (ปัจจุบันมีการวิจัยเพิ่ม แล้วพบว่าจริงๆ Lipitor ไม่ได้ดีกว่ายาตัวอื่น)

โดย Pfizer พุ่งเป้าทำตลาดไปที่หมอและคนไข้โดยตรง (ในอเมริกา ไม่มีข้อห้ามโฆษณายากับผู้บริโภค) พอคนเริ่ม ‘เชื่อ’ แบบนี้ คนก็กินแต่ Lipitor

อย่างที่บอกข้างต้น ตลาดของ ‘ลูกค้า’ กลุ่ม ‘โรคหัวใจและหลอดเลือด’ คือตลาดทางการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุด

ดังนั้นไม่ต้องคิดอะไรมากเลย ถ้าครองตลาดนี้ได้ รวยเละ

แต่ Lipitor แค่ทำการตลาดหนักจึง “ชนะ” ทั้งๆ ที่ ‘สินค้า’ มีความคล้ายกับชาวบ้านอย่างนั้นเหรอ?

ไม่ง่ายแบบนั้น…

เพราะนอกจากจะสร้างภาพลักษณ์ว่า “ดีกว่า” ไม่พอ แต่ราคาขายของ Lipitor ในท้องตลาดยัง “ถูกกว่า” อีกด้วย

เนื่องจาก Pfizer มองว่า ยาอย่าง Lipitor ที่คนจำนวนมากต้องกินทุกวัน ไม่ต้องขายแพง ดังนั้นเทคนิคเลย ‘ฉีกตำรา’ การตั้งราคายาใหม่ที่มักจะแพงหูฉี่ เพื่อ ‘ถอนทุน’ ในการวิจัยและพัฒนาในขณะที่ยังผูกขาดผ่านสิทธิบัตรได้

ดังนั้น Lipitor ไม่จำเป็นต้องขายแพง เพราะมันขายได้กับคนมหาศาล และก็ขายได้เรื่อยๆ จนกว่าชีวิตของผู้ป่วยจะหาไม่ และ ‘มาร์จิ้น’ ในยาแต่ละเม็ดไม่ต้องมากมาย และนี่ก็เลยเป็นความลับความสำเร็จของยาตัวนี้

ก็ Lipitor ยาตัวใหม่ล่าสุด ดีกว่ายาตัวเก่าๆ แถมราคาถูกกว่าชาวบ้านอีก จะไม่ให้ขายดีได้ยังไง?

ทุกวันนี้ ความสำเร็จของ Lipitor ถือว่าเป็น ‘จอกศักดิ์สิทธิ์’ แห่งอุตสาหกรรมยาเลย เพราะทุกบริษัทก็อยากจะผลิตยาอย่าง Lipitor มาให้ได้สักตัว แม้แต่ Pfizer เองก็ตาม

เพราะหลังจาก Lipitor บริษัทก็ไม่สามารถผลิตยาที่จะสร้างผลกำไรมหาศาลในระดับเดียวกันได้อีกเลย ตราบจนทุกวันนี้

อ้างอิง: Financial Times: https://on.ft.com/3iQlCMQ
The Conversation: https://bit.ly/2W4Y8dn
Wikipedia: https://bit.ly/324rw72
Fierce Pharma: https://bit.ly/3gJSTYd