3 Min

‘อย่าถ่ายรูปผู้ตายไปเผยแพร่ต่อ’ กรณีศึกษา ภรรยาโคบี ไบรอันต์ ฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐเผยแพร่ภาพที่เกิดเหตุ

3 Min
1110 Views
06 Mar 2023

อยากรู้แต่ไม่มีเวลา อ่านแค่ตรงนี้พอ

ถ้ายึดตามหลักการทั่วไป การถ่ายภาพผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุจะทำได้ถ้าเป็นการบันทึกหลักฐานเพื่อการสืบสวนคดี แต่ในความเป็นจริง ผู้พบศพหรือแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐก็มีแนวโน้มสูงที่จะถ่ายภาพเหล่านี้เก็บไว้และส่งต่อให้บุคคลที่สาม ซึ่งหลายกรณีทำให้ภาพหลุดสู่สาธารณะ ส่งผลกระทบต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต และล่าสุดศาลอเมริกันตัดสินให้ภรรยาของโคบี ไบรอันต์อดีตนักบาสเอ็นบีเอที่เสียชีวิตจากเหตุ ฮ.ตก ได้รับค่าชดเชยจากหน่วยงานรัฐที่ปล่อยให้ภาพศพของเขาหลุดสู่โลกออนไลน์


หนึ่งในข่าวใหญ่เมื่อปี 2020 ที่หลายคนน่าจะยังจำได้ คือ การเสียชีวิตของ โคบี ไบรอันต์ (Kobe Bryant) อดีตนักบาสเกตบอลทีม LA Lakers ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจากไปพร้อมลูกสาว ในเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกที่เมืองแคลาบาซัส รัฐแคลิฟอร์เนีย แต่หลายคนอาจไม่ได้ตามต่อว่าภรรยาของเขาฟ้องหน่วยงานรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อให้ชดเชยเยียวยาผลกระทบทางจิตใจ หลังภาพโคบีในที่เกิดเหตุหลุดสู่โลกออนไลน์

จนกระทั่งวันที่ 1 มีนาคม 2023 ศาลสหรัฐฯ สั่งให้หน่วยงานท้องถิ่นจ่ายเงินชดเชย วาเนสซา ไบรอันต์ (Vanessa Bryant) ภรรยาของโคบี รวมกว่า 28 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 952 ล้านบาท) โดยแบ่งเป็นเงินเยียวยาครอบครัวไบรอันต์ 15 ล้านดอลลาร์ (ราว 510 ล้านบาท) ซึ่งวาเนสซาประกาศว่าจะนำเงินทั้งหมดไปมอบให้องค์กรการกุศลด้านกีฬาและเยาวชน ซึ่งตั้งขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่สามีและลูกสาวผู้ล่วงลับ ส่วนเงินที่เหลือจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีทางกฎหมายทั้งหมด

ผู้ที่เป็นจำเลยในคดีนี้ คือเจ้าหน้าที่ของสำนักงานนายอำเภอและพนักงานหน่วยฉุกเฉินที่เข้าไปถึงที่เกิดเหตุเป็นรายแรกๆ เพราะทั้งสองคนได้ถ่ายภาพศพผู้เสียชีวิตเอาไว้ และต่อมาภาพบางส่วนถูกนำไปแชร์ต่อจนหลุดสู่โลกออนไลน์ วาเนสซาและครอบครัวของผู้เสียชีวิตคนอื่นๆ ในเหตุ ฮ.ตกจึงร่วมกันฟ้องร้องหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ทั้งสองนายโดยระบุว่าครอบครัวของพวกเขาได้รับผลกระทบทางจิตใจเพราะกลัวว่าภาพดังกล่าวจะถูกนำมาเผยแพร่ซ้ำๆทั้งยังต้องการปกป้องศักดิ์ศรีของผู้เสียชีวิตด้วย

ทนายของวาเนสซาระบุว่า การถ่ายซากเฮลิคอปเตอร์ในที่เกิดเหตุเป็นเรื่องยอมรับได้ แต่ลูกความของเธอขอร้องเจ้าหน้าที่แล้วว่าอย่าให้ภาพร่างสามีเธอหลุดออกไป ซึ่งคำขอไม่เป็นผล ทำให้วาเนสซารู้สึกว่าเจ้าหน้าที่ถ่ายภาพไปเพื่อตอบสนองความพึงพอใจของตัวเองเหมือนเป็นที่ระลึกในการทำงานเพราะทั้งสองคนไม่ใช่ผู้รับผิดชอบการเก็บหลักฐานหรือสอบสวนสาเหตุการเสียชีวิต และมีพยานระบุว่า ผู้ที่ถ่ายภาพศพของโคบีนำภาพเหล่านั้นไปเปิดเผยให้คนอื่นดูขณะสังสรรค์อยู่ในบาร์แห่งหนึ่ง ต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ทั้งสองนายจึงขอเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อยุติการฟ้องร้อง

เรื่องนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อโซเชียลอเมริกัน โดยคนที่เห็นด้วยมองว่า ผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุมีสิทธิได้รับการคุ้มครองความเป็นส่วนตัว แม้จะล่วงลับไปแล้ว แต่ข้อมูลหลายอย่างก็อาจเกี่ยวพันหรือกระทบต่อครอบครัวที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่บางคนก็มองว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่ละเมิดผู้ตาย ควรจะจ่ายเงินชดเชยให้ผู้เสียหายด้วยตัวเอง ไม่ใช่เอาเงินภาษีของประชาชนไปจ่าย และบางคนก็รู้สึกว่าคดีนี้ได้รับการปฏิบัติอย่างดีเพราะผู้เสียหายเป็นคนดัง ทั้งที่จริงมีประชาชนอีกมากที่เสียชีวิตและถูกละเมิดแบบเดียวกัน 

ถ้าเปรียบเทียบเหตุการณ์นี้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในไทย ก็คงมองเห็นความคล้ายคลึงกันหลายๆ อย่าง เพราะในการรายงานข่าวอุบัติเหตุหรืออาชญากรรมส่วนใหญ่ในประเทศไทย ถ้าหากไม่นับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์แล้ว ผู้ที่จะให้ข้อมูลต่างๆ รวมถึงภาพถ่ายหรือวิดีโอแก่สื่อ ก็มักจะหนีไม่พ้นเจ้าหน้าที่หรืออาสาสมัครซึ่งเป็นผู้เข้าถึงที่เกิดเหตุรายแรกๆ และมีหลายกรณีที่ภาพผู้เสียชีวิตถูกนำไปเผยแพร่ทางสื่อโซเชียลจนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมอยู่บ่อยครั้ง

เมื่อปี 2009 ก็เคยมีกรณีหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของไทยตีพิมพ์ภาพ เดวิด คาร์ราดีน (David Carradine) นักแสดงชื่อดังชาวอเมริกันที่คนรู้จักจากภาพยนตร์ ‘Kill Bill’ ซึ่งเสียชีวิตขณะเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในประเทศไทยโดยมีผู้ถ่ายภาพคาร์ราดีนในที่เกิดเหตุเอาไว้ได้และภายหลังภาพถูกส่งต่อไปให้สื่อจนมีการตีพิมพ์เผยแพร่เป็นข่าวหน้าหนึ่งทำให้ครอบครัวคาร์ราดีนแถลงว่าจะฟ้องร้องผู้เผยแพร่ภาพดังกล่าวก่อนจะมีการเจรจาไกล่เกลี่ยและยุติคดีในหลายเดือนต่อมา

น่าเสียดายที่กรณีศึกษาเรื่องสื่อไทย vs ครอบครัวนักแสดงฮอลลีวูด ไม่ได้เป็นบทเรียนให้ใครจดจำมากนัก เพราะในยุคที่มีผู้ใช้สื่อโซเชียลกันอย่างแพร่หลาย การนำภาพที่เกิดเหตุหรือภาพผู้เสียชีวิตไปส่งต่อกันในโลกออนไลน์กลายเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากคนจำนวนมากคิดว่านี่คือการนำเสนอข้อเท็จจริงเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการสอบสวนคดี แต่ที่จริงข้อกล่าวอ้างนี้ไม่ถูกต้องทั้งในหลักกฎหมายและหลักการด้านสื่อสารมวลชน เพราะสิ่งสำคัญที่ต้องยึดถือเป็นอันดับแรกก็คือการเคารพสิทธิของผู้เสียชีวิตและครอบครัวผู้เสียชีวิต

แต่ก็อย่างที่หลายคนเห็นกันว่าหลักการต่างๆ ไม่ได้ถูกพูดถึงอย่างเคร่งครัดสักเท่าไรในบ้านเรา

อ้างอิง