ทุกครั้งที่หน้าฝนมาเยือนสิ่งที่ใครหลายคนคงรู้สึกก็คือ ‘อยากได้เครื่องอบผ้า’ เพราะฝนตกเสียจนตากผ้าไม่แห้ง แม้บ้านเราอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่มากเพราะฝนตกหนักๆ เพียงแค่ 3-4 เดือน จึงนับว่าไม่จำเป็นมากเมื่อพิจารณาว่าเครื่องอบผ้าเครื่องหนึ่งก็ไม่ได้ถูกๆ
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ประเทศที่ ‘ฝนตกแทบทุกวัน’ แบบอังกฤษเขาก็ไม่ได้มีเครื่องอบผ้ากันทุกบ้าน ในความเป็นจริง ‘เครื่องอบผ้า’ ไม่ใช่สิ่งจำเป็นในครัวเรือน หรืออย่างในสวีเดน จำนวนครัวเรือนไม่ถึงครึ่งของประชากรเท่านั้นที่ใช้เครื่องอบผ้า
แล้วตกลงใครใช้ ‘เครื่องอบผ้า’ กันแน่
คำตอบคือคนจากอเมริกาเหนือ เพราะในโลกน่าจะมีแค่อเมริกากับแคนาดาที่ครัวเรือนเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ มีเครื่องอบผ้าใช้ คือน่าจะมีแค่สองประเทศนี้ที่เครื่องอบผ้านั้นแพร่หลายเหมือนทีวีและตู้เย็น
หรือสังเกต เวลาเราดูหนังอเมริกัน เราจะไม่เห็นคนอเมริกัน ‘ตากผ้า’ เลย ในขณะที่ถ้าเราดูหนังฝั่งยุโรป ฉาก ‘ตากผ้า’ ที่ข้างบ้านและหลังบ้านนี่มีให้เห็นเป็นระยะ
เออ ทำไมล่ะ?
ตรงนี้มีสองคำถาม คำถามแรกคือ ทำไมคนอเมริกันถึงใช้เครื่องอบผ้ากันแพร่หลาย? คำถามที่สองคือ ทำไมคนยุโรปถึงไม่ยอมซื้อเครื่องอบผ้าทั้งๆ ที่ก็มีเงินซื้อ?
ตอบคำถามแรก ถ้าอธิบายในเชิงวัฒนธรรม จริงๆ สังคมอเมริกันนั้นบ้าเทคโนโลยีในการ ‘แก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน’ อยู่แล้ว ดังนั้นไม่แปลกเลยที่ว่า พวกทีวี ตู้เย็น เตาอบไมโครเวฟ เครื่องดูดฝุ่น นั้นเป็น ‘เครื่องใช้ในบ้าน’ ที่แพร่หลายในอเมริกาก่อนประเทศอื่นๆ ทั้งหมด และก็ไม่แปลกที่เครื่องอบผ้าก็ดำเนินรอยตามสิ่งเหล่านี้และกลายมาเป็น ‘ของใช้จำเป็น’ ในครัวเรือนอเมริกันมาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20
และนอกจากนั้น เมื่อครอบครัวชนชั้นกลางมีเครื่องอบผ้ากันหมด การเอาผ้ามาตากนอกบ้านมันเลยเป็นสิ่งที่ไม่งาม และหลายๆ ครั้งพวกนิติบุคคลบ้านจัดสรรก็จะมีระเบียบ ‘ห้ามตากผ้า’ กันเลย และนี่ก็เป็นการตอกย้ำวัฒนธรรมการ ‘ไม่ตากผ้า’ และใช้ ‘เครื่องอบผ้า’ ในการทำให้ผ้าแห้งของสังคมอเมริกัน
พอเราหันมาดูฝั่งยุโรป ท่าทีของผู้คนกลับตรงกันข้าม การมีเครื่องอบผ้าไม่ใช่มาตรฐานชีวิตชนชั้นกลางทั่วไป แต่เป็นเรื่องของคนมีอันจะกินมากกว่า เพราะคนทั่วๆ ไปเขาก็ ‘ตากผ้า’ กัน
คำถามคือ ทำไม? คำตอบนั้นอาจต้องแยกตอบ
พวกยุโรปตอนใต้ที่อากาศร้อน อากาศดี ในแง่หนึ่งก็เหมือนบ้านเรา คือมันตากผ้าให้แห้งได้ไม่ยากเลย ดังนั้นเหตุผลที่คนไม่ใช้เครื่องอบผ้าก็คล้ายๆ บ้านเรา ก็คือเพราะมันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น
ขณะที่ทางยุโรปเหนือโซนที่อากาศหนาวและชื้นเพราะติดทะเล ซึ่งควรจะใช้เครื่องอบผ้าแต่เขาไม่ใช้เพราะ ‘มันเปลืองไฟฟ้า’ และสังคมยุโรปตอนเหนือตื่นตัวเรื่องภาวะโลกร้อน คนแถวนี้ถึงกับเลิกกินเนื้อสัตว์และปั่นจักรยานเพื่อช่วยโลกกันจริงจังอย่างกว้างขวาง ดังนั้นเขาจะไม่เพิ่มเครื่องใช้ในบ้านที่มันต้องใช้ไฟฟ้ามากขึ้นนั่นเอง
อีกส่วนก็อาจเป็นเรื่องวัฒนธรรมด้วย เพราะคนส่วนใหญ่ในโลกก็จะมีความคิดว่า อะไรมันจัดการได้แบบเดิมอยู่แล้ว ก็จัดการแบบเดิมไป ไม่ต้องไปเปลี่ยน และคนยุโรปโซนหนาวๆ ชื้นๆ ถึงเขาไม่มี ‘เครื่องอบผ้า’ เขาก็มีวิธีอื่นที่จะทำให้ผ้าที่ซัก ‘แห้ง’ ได้ และวิธีการมันก็มีมาเป็นพันปี ซึ่งถ้าพูดง่ายๆ ก็คือ เอาผ้าไปผึ่งใกล้ๆ กองไฟในบ้านที่ต้องมีไว้เพื่อคลายหนาวนั่นแหละ อะไรเป็นแหล่งความร้อนที่ทำให้เราคลายหนาวได้ มันก็ทำให้ผ้าแห้งได้ ซึ่งพอมายุคฮีตเตอร์ เขาก็ไปผึ่งกับฮีตเตอร์แทน
ดังนั้นคำถามมันเลยไม่ใช่คำถามที่คนอเมริกันชอบถามชาวโลกว่า “ทำไมพวกยูไม่ใช้เครื่องอบผ้ากัน” เพราะใครๆ เขาก็ไม่ใช้กันแต่ก็อยู่กันได้ และคำถามที่ควรถามจริงๆ คือ “ทำไมคนอเมริกาถึงไม่ยอมตากผ้า?” แบบที่ชาวโลกทำกันมากกว่า
อ้างอิง
- QZ. One household staple sums up why Americans and Brits will never see the world the same way. https://bit.ly/3pRfc8G
- Real Simple. The One Mistake Europeans Think Americans Make With Their Laundry. https://bit.ly/3rCgLHS
- Figshare. Household ownership of electric clothes dryers in select countries. https://bit.ly/3PZvnLN