6 Min

โอ้กรุ๊ปแลม! พรีเซ็นเตอร์ที่เคมีเข้ากันกับแลมเบรตต้า

6 Min
398 Views
31 May 2023

ช่วงนี้อะไรๆก็ Colors of Time โดยเฉพาะป้ายบิลบอร์ดทั่วกรุงฯ ในช่วงเวลานี้ ที่ไม่ว่าจะไปไหน เป็นต้องได้เห็นหน้าพ่อทองอ้น พ่อหนุ่มมาริโอ้ กับ รถสกู๊ตเตอร์คู่ใจ Lambretta (แลมเบรตต้า) สีสันสุดคลาสสิก เต็มป้าย Digital Billboard ทั่วบ้านทั่วเมือง สร้างสีสันสู่ช่วงเวลาที่พาเราย้อนไปสู่ความทรงจำในอดีตอันหอมหวาน กับ Lambretta X300 SR ที่มาในคอนเซ็ปต์ Colors of Time

ถ้าจะเอ่ยถึง มาริโอ้ นั้น ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นตัวพ่อ ของวงการ ที่พกความหล่อแบบ Beyond กับคาแร็คเตอร์ ที่ต่างเป็นที่ชื่นชอบของทั้งผู้หญิง และผู้ชาย แล้วถ้าจะให้พูดถึงมาริโอ้ กับ รถสกู๊ตเตอร์ แน่นอนว่าในวงการสกู๊ตเตอร์จะต้องมีวลีนี้ “โอ้ กรุ๊ป แลม” ใช่! และนี่เรากำลังจะพูดถึง มาริโอ้ กับการเป็นพรีเซ็นต์เตอร์ คนล่าสุด ของแลมเบรตต้า แบรนด์รถสกู๊ตเตอร์ระดับพรีเมียม จากเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี

ย้อนกลับไป เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา แลมเบรตต้าได้มีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ครั้งแรกในโลก นามว่า X300 ท่ามกลางงาน Milan Design Week ประจำปี ของศูนย์กลางแห่งเมืองหลวงแห่งงานออกแบบ แฟชัน และศิลปะของโลกที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี

ส่วนในประเทศไทยเอง ก็มีงานเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่เช่นกัน ที่ลานพาร์ค พารากอน พร้อมเปิดตัวพรีเซ็นต์เตอร์คนใหม่ของทางแบรนด์ นั่นก็คือ มาริโอ้ ที่จะมาเป็นพรีเซ็นต์เตอร์ หรือเป็นตัวแทนของคนเล่นรถสกู๊ตเตอร์แลมเบรตต้าในประเทศไทย ด้วยความที่ไลฟ์สไตล์ และคาแร็คเตอร์ของมาริโอ้ ที่เป็นเจ้าพ่อรถคลาสสิค รถวินเทจ นักสะสมของแรร์ ของหายากต่างๆ ทีสำคัญ ต้องบอกว่า หนุ่มโอ้เองก็เก็บสะสมแลมเบรตต้ารุ่นวินเทจ ปีลึก หายาก เอาไว้ด้วย เรียกว่าเป็นสาวกแลมเบรตติสต้าตัวจริง และด้วยจริตและเคมีที่ตรงกันกับคาแร็คเตอร์ของ แลมเบรตต้า แบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 76 ปี จากจุดกำเนิดโดย Mr. Ferdinando Innocenti เริ่มจากโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องบิน ผ่านช่วงรอยต่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ทิ้งไว้เหลือเพียงความทรงจำและซากปรักหักพังจากระเบิดในสงคราม สู่แรงบันดาลใจในการทำรถ Lambretta ในปี 1947 ที่จารึกเรื่องราวอันเข้มข้นของแบรนด์ตลอดมากว่า 76 ปี ผ่าน รุ่นต่างๆ ของ Lambretta สู่คาแร็คเตอร์ที่ชัดเจนของแบรนด์

ล่าสุด เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา Lambretta ก็ได้ออกคอลเลคชั่นใหม่ รุ่น X300 ในรหัสต่อท้ายว่า X300 SR ที่เน้นสีสัน ความคลาสสิกแบบ Super Retro โดยได้แรงบันดาลใจดีไซน์มาจากรุ่นตำนานในปี 1969 กับ 3 สีสันใหม่ ที่ออกมาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่ชื่นชอบกลิ่นอายความคลาสสิก โดยเฉพาะกลุ่มคนเมือง กลุ่มคนที่ชื่นชอบแฟชั่น การแต่งตัว สายครีเอทีฟ สายโปรดักชั่น เจ้าของกิจการ หรือคนรุ่นใหม่ คนที่ต้องการหาสกู๊ตเตอร์สักคันที่ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์เท่ๆ หรือบ่งบอกสไตล์ ความเป็นตัวเองแบบชิคๆคลูๆ ที่ไม่ใช่แค่เรื่องดีไซน์เท่านั้น เพราะ X300 SR ยังตอบโจทย์การใช้งานในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเรื่องการขับขี่ซอกแซกคล่องตัวในเมือง ด้วยพละกำลังเครื่องยนต์แบบเหลือๆ ที่สามารถไปได้ทั้งระยะทางใกล้และไกลในวันหยุด สำหรับคนรุ่นใหม่ ที่กำลังมองหาสกู๊ตเตอร์สไตล์ที่ใช่ บ่งบอกเอกลักษณ์ความเป็นตัวตนผ่านดีไซน์ได้อย่างชัดเจน ในแบบ Colors of Time แน่นอนว่า Lambretta X300 SR จัดว่าเป็นอีกคอลเลคชันที่คุณต้องมี ได้เป็นอย่างดี

สำหรับคนที่เคยได้ยินชื่อ Lambretta (แลมเบรตต้า) เป็นครั้งแรก หรือพอจะเคยได้ยินได้เห็นชื่อนี้ มาบ้าง แต่ไม่รู้ว่า มีที่มาที่ไปอย่างไร ?

เพื่อให้ทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ได้ทำความรู้จักกับแบรนด์ Lambretta มากขึ้นเสียก่อน

ก็ต้องขอเล่าย้อนกลับไปถึงปี 1922 ที่สมัยนั้นเป็น บริษัท Innocenti ทำธุรกิจและโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องบิน ซึ่งถือเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ในสมัยนั้น โดยมีผู้ก่อตั้งคือ ‘Ferdinando Innocenti’

ธุรกิจที่กำลังไปได้สวย แต่กลับต้องเข้าสู่ยุคสงคราม! เมื่อเข้าสู่ช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงงาน Innocenti ถูกระเบิดลงจนโรงงาน ได้รับความเสียหายไปหลายส่วน แต่ทว่า นี่แหละ! กำลังจะเป็นจุดเริ่มต้น ของตำนานบทใหม่!

หลังจบสงครามโลก ในช่วงปี 1947 ท่ามกลางชีวิตหลังสงครามเหลือไว้เพียงซากปรักหักพัง‘Ferdinando Innocenti’ ไม่ได้หมดกำลังใจ แต่กลับปิ๊งเป็นไอเดียธุรกิจใหม่ นำชิ้นส่วนของเครื่องบินรบที่ยังเหลืออยู่ ประกอบกับความรู้ความเชี่ยวชาญในการผลิตท่อเหล็กคุณภาพ มาทำเป็นโครงสร้างของรถสกู๊ตเตอร์ แถมยังได้วิศวกรการบินฝีมือดีในยุคนั้น มาช่วยทำการออกแบบให้

และนั่นเอง คือจุดกำเนิดของ สกู๊ตเตอร์ระดับตำนาน Lambretta มาจนถึงทุกวันนี้!

จุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของ Lambretta คือเรื่องรูปทรงและสมรรถนะที่ไม่ซ้ำใคร ไม่ว่าจะเป็นโลโก้ที่ข้างตัวรถ หรือจมูกหมูที่เป็นอัตลักษณ์ของแลมเบรตต้า รวมถึงการออกแบบโครงสร้างของตัวรถ โดยนำเอาแนวคิดสถาปัตยกรรมการออกแบบเครื่องบิน มาประยุกต์ในการพัฒนารถ และผลิตจากวัสดุเหล็กพิเศษ ให้ความแข็งแกร่งกับตัวรถได้อย่างเต็มที่ 

จึงไม่แปลกใจที่เหล่าแฟนๆ ชาวแลมเบรตต้า หรือที่มีชื่อเรียกว่า ‘Lambrettista’ (แลมเบรตติสต้า) ทุกยุคทุกสมัยต่างหลงใหลและอยากจะครอบครองความคลาสสิกของตำนานนี้ 

ซึ่งถ้าหากจะพูดถึงโมเดลที่ได้รับความนิยม หรือโมเดลที่เป็นตำนานของแลมเบรตต้า ก็จะมีตั้งแต่ Series 1-4 โดยเป็นรถวินเทจ ที่มูลค่านั้นมีค่าตัวเกิน 6 หลักไปเรียบร้อยแล้ว บางคันสภาพดีถึงขั้นแตะ 7 หลักกลางๆ เลยทีเดียว! 

ปัจจุบัน Lambretta กลับมาเป็นกระแสร้อนแรงอีกครั้ง หลังจากเปิดตัวรถรุ่นใหม่ที่มีชื่อว่า ‘X300’ กันไปเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา โดยรุ่น X300  ถือเป็นโมเดลฉลองครบรอบ 75 ปีของแลมเบรตต้า ที่มาในคอนเซปต์ ‘Heritage To Future’ ด้วยดีไซน์มิติใหม่ ในจิตวิญญาณเดิม ถือกำเนิดเปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 65 ภายในงาน  Milan Design Week 2022 ที่จัดขึ้น ณ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี  ส่วนในประเทศไทยเองก็มีการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ด้วยการปิดลานพาร์ค พารากอน พร้อมพาเรดเหล่าเซเลปคนดังมากมาย มาร่วมชมการเปิดตัว เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 65 หรือช่วงปลายปีที่ผ่านมา แถมยังคว้า นักแสดงชื่อดัง ‘มาริโอ้ เมาเร่อ’ที่มีฉายาว่าเจ้าพ่อรถวินเทจ แถมยังเป็นแลมเบรตติสต้า หรือสาวกแลมเบรตต้าตัวจริง มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของ LAMBRETTA X300  อีกด้วย

เรียกได้ว่าเป็นการเดินหน้าลุยตลาดอย่างร้อนแรง จนกลายเป็นที่ฮือฮาในวงการรถสกู๊ตเตอร์คลาสสิกที่สุดเมื่อปลายปีที่ผ่านมา  ด้วยหลายๆปัจจัย ที่ทำให้ Lambretta เป็นที่น่าจับตามอง ทั้งความเป็นตำนานของแบรนด์อิตาลีอย่างแท้จริง  และด้วยความพิเศษในดีไซน์ของโมเดล X300 เอง ที่ให้ทั้งความคลาสสิกผสานกับโลกทันสมัยและยังคง DNA ความเป็น Lambretta อย่างลงตัว  แถมในโมเดลนี้ ทาง LAMBRETTA  GLOBAL โดย Walter Scheffrahn, President of Lambretta Group ตัดสินใจให้ใช้ฐานการผลิตภายในประเทศไทย จึงสามารถเปิดราคาช็อคไพรส์ ที่ 154,900 บาท  เรียกได้ว่ายิ่งเร้าใจให้เหล่าสาวกต้องรีบหาไว้ในครอบครอง เพราะมีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่า แบรนด์ตำนานแบบนี้ ยิ่งถ้ารอช้า เชื่อว่ามูลค่าในอนาคตอาจสูงขึ้นไปอีกแน่นอน

โดยในโมเดล X300 รุ่น Original ที่เปิดตัวมาครั้งแรก จะมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 4 สี เท่านั้น ได้แก่  Milano Green, Lucente  Black) , Gemma  White และ Argento ส่วนฟังก์ชั่นที่ให้มา ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานในยุคสมัยใหม่ ได้อย่างลงตัว ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น

ตีเหล็ก ต้องตีตอนร้อน! เรียกได้ว่ามาแรงไม่หยุด เพราะเมื่อล่าสุด เร็วๆนี้ Lambretta ก็เปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ ในรหัส ‘X300 SR’ เข้ามาสมทบตลาดกับการปรับดีไซน์ ที่จะพาย้อนเวลากลับไปสู่ความคลาสสิกแบบฉบับ Super Retro จากแรงบันดาลใจของรุ่นตำนาน Lambretta DL/GP ในปี 1969 ถูกนำมาถ่ายทอด DNA ผ่านลวดลายในอดีตกับเอกลักษณ์Side Panel Stripes พร้อมกับ 3 สีสันใหม่ ในคอนเซ็ปต์ ‘Colors of Time’ เพราะเชื่อว่าทุกคนล้วนมีสีสันที่มีความหมายในชีวิต

มารอบนี้ LAMBRETTA เล่นใหญ่ จัดเต็มบุกบิลบอร์ดกว่า 230 Screens ทั่วกรุงฯ อวดโฉม ความพิเศษในรอบนี้ ซึ่งแน่นอนว่ามารอบนี้ ยังคงมาพร้อมกับพรีเซ็นเตอร์หนุ่ม ‘มาริโอ้ เมาเร่อ ที่มาพร้อมกับการปรับลุคใหม่ เติมเต็มสีสันและอารมณ์ความคลาสสิก ให้แมทลุคกับเข้า X300 SR คอลเลคชั่นใหม่ สมกับคอนเซปต์ Colors of Time ได้อย่างลงตัว

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ช่องทาง  https://lambretta.co.th

Lambretta X300 SR นอกจากดีไซน์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ยังมาพร้อมโทนสียอดนิยมในช่วงรอยต่อของยุค 60s และยุค 70s จุดเด่นของดีไซน์คือ Side Panel Stripes ลายคลาสสิก DNA ที่อยู่บน Lambretta รุ่นตำนาน พร้อมการใส่กิมมิกขอบคิ้วสีดำรอบคันตัดกับสีบอดี้รถทั้ง 3 สี ได้แก่ YELLOW MUSTARD (Hi-Gloss) , WHITE LATTE (Hi-Gloss) และ RED AMARO (Hi-Gloss) กับราคาเปิดตัวที่ 156,900 บาท

นอกจากนี้ยังมาพร้อมฟังก์ชันดีไซน์ร่วมสมัย ทั้งในส่วนของไฟท้ายที่ดีไซน์ในรูปทรงคริสตัล 7 แท่ง มาพร้อมกับระบบ IFS ที่ออกแบบให้ทั้ง ไฟเลี้ยว/ไฟฉุกเฉิน/ไฟเบรก build in อยู่ภายใต้โคมไฟท้ายเดียวกัน แถมยังเติมความหรูหราด้วยการปักโลโก้ Lambretta ด้วยด้ายสีแดงในส่วนท้าย บนเบาะหนังสีดำดีไซน์สปอร์ต

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการออกแบบระบบช่วงล่าง ในชุดกันสะเทือนหน้า ด้วยการถอดดีไซน์โช้กหน้าแบบ Double Arm-Link กับ Performance ที่พัฒนามาใหม่ ให้มีความสมูธ เพื่อการขับขี่ที่นิ่งมากยิ่งขึ้น พร้อมความปลอดภัยที่มีให้มากกว่า ด้วยดิสก์เบรกทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ทำงานพร้อมกับระบบเบรกแบบ Dual-channel ABS

เรียกได้ว่าเป็นอีกบทพิสูจน์ ของตำนาน ที่แม้ว่า Lambretta จะผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน แต่รถสกู๊ตเตอร์รุ่นต่างๆ ก็ยังคงพัฒนาต่อไป ในขณะเดียวกันนั้น ก็ยังคงรักษา DNA ความเป็น Lambretta ที่คงความเก๋าเอาไว้และเป็นที่ครองใจเหล่าสาวกแลมเบรตติสต้ามาตลอดระยะเวลากว่า 76 ปี!

และครั้งหน้า จะมีเรื่องราวของแบรนด์ที่น่าสนใจเรื่องไหนมานำเสนอกันอีกรอติดตามกันได้ที่นี่ เพจ BrandThink