6 Min

กรุงศรี มุ่งสู่อาเซียน เน้นความยั่งยืนพร้อมต่อยอดด้านนวัตกรรม เป้าหลักการดำเนินธุรกิจปี 2566

6 Min
1009 Views
07 Feb 2023

เซอิจิโระ อาคิตะ (กลาง) กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด (มหาชน) พร้อมด้วย ดวงดาว วงค์พนิตกฤต (ที่สองจากซ้าย) ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ไพโรจน์ ชื่นครุฑ (ที่สองจากขวา) ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สยาม ประสิทธิศิริกุล (ซ้ายสุด) ประธานกลุ่มสนับสนุนธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และ ประกอบ เพียรเจริญ (ขวาสุด) ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ประกาศแผนธุรกิจประจำปี 2566 เน้นให้ความสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน ทั้งในองค์กรตลอดจนพันธมิตรและลูกค้า โดยปีนี้เป็นปีสุดท้ายของแผนธุรกิจระยะกลางฉบับปัจจุบันปี 2564-2566 ที่กรุงศรีมุ่งมั่นเดินหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมายสู่การเป็นสถาบันการเงินไทยที่เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า พร้อมเชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน

กรุงเทพฯ (7 กุมภาพันธ์ 2566) – กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ในเครือของ มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) หนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก ประกาศแผนธุรกิจประจำปี 2566 เน้นให้ความสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน ทั้งในองค์กรตลอดจนพันธมิตรและลูกค้า โดยปีนี้เป็นปีสุดท้ายของแผนธุรกิจระยะกลางฉบับปัจจุบันปี 2564-2566 ที่กรุงศรีมุ่งมั่นเดินหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมายสู่การเป็น ‘สถาบันการเงินไทยที่เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า พร้อมเชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน’ ผ่านกลยุทธ์สามด้าน ได้แก่ การดำเนินธุรกิจที่เชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียน (ASEAN-Linked Business) ผ่านนวัตกรรมบริการด้านการเงิน การดำเนินธุรกิจที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนตามโมเดล ESG (ESG-Linked Business) เพื่อเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ยั่งยืนที่สุดของประเทศไทย รวมถึงการเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจการเงินเพื่อความยั่งยืน และการพัฒนาด้านดิจิทัลและนวัตกรรม (Digital & Innovation) ด้วยการเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลเพื่อประโยชน์ต่อลูกค้าทั้งในประเทศไทยและอาเซียน

เซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า “ขณะที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ปีสุดท้ายของแผนธุรกิจระยะกลางฉบับปัจจุบัน เมื่อมองย้อนกลับไปจะเห็นถึงความสำเร็จที่เกิดขึ้นมากมาย อย่างเช่นเรื่องของการเชื่อมโยงโครงข่ายในอาเซียนสู่ตลาดหลัก ๆ ในภูมิภาค การเติบโตอย่างแข็งแกร่งแม้ในช่วงท้าทายของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ความยืดหยุ่นในการปรับตัว และพัฒนาการที่สำคัญสู่เป้าหมายด้าน ESG สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2564-2565 ที่เราเชื่อมั่นว่าจะเป็นฐานรากที่แข็งแกร่งให้กรุงศรีสามารถเดินหน้าสู่อนาคตที่ยั่งยืนเพื่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม และในปีนี้จะเป็นปีที่ทุกคนจะได้เห็นการยกระดับตำแหน่งของกรุงศรีในอาเซียน ในการดำเนินธุรกิจบนแนวทาง ESG และในการต่อยอดความเป็นผู้นำด้านดิจิทัลและนวัตกรรมเพื่อการเติบโตของธุรกิจ”

เซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด (มหาชน)

ความสำเร็จในปี 2564-2565

ขณะที่ประเทศไทยเริ่มฟื้นตัวจากการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก กรุงศรียังคงยึดมั่นให้การดูแลช่วยเหลือในเชิงรุกแก่ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ และยังคงมีลูกค้าที่อยู่ภายใต้มาตรการช่วยเหลือต่างๆ คิดเป็นเงินให้สินเชื่อคงเหลือกว่า 150,000 ล้านบาท และอีกกว่า 16,000 ล้านบาท ในรูปของโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) และสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูธุรกิจ อีกทั้งกรุงศรียังมีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยยอดสินเชื่อรวมเติบโตเพิ่มขึ้น 3.1% และความสามารถในการทำกำไร (NIM) ที่ 3.45% 

ในช่วงสองปีแรกของแผนธุรกิจระยะกลางฉบับปัจจุบัน กรุงศรีได้ยกระดับโครงข่ายอาเซียนอย่างแข็งแกร่งด้วยการขยายกิจการในต่างประเทศทั้งในประเทศฟิลิปปินส์ เวียดนาม และอินโดนีเซีย ขณะที่ธุรกิจในประเทศกัมพูชา และ สปป.ลาว ก็ยังสามารถรักษาระดับการเติบโตได้ดี ส่งผลให้กรุงศรีสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 150,000 ราย ผ่านการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) และการร่วมเป็นพันธมิตร (Partnership)

นอกจากนี้ กรุงศรียังได้ขยายกิจการไปทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่องผ่านความร่วมมือทางธุรกิจกับ SB Finance ประเทศฟิลิปปินส์ และ SHB Finance ในประเทศเวียดนาม ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาโครงข่ายเชื่อมโยงในประเทศอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และกัมพูชา อย่างต่อเนื่อง สถานะของ Hattha Bank ในประเทศกัมพูชาเองก็มีการยกระดับขึ้นสู่การเป็นธนาคารพาณิชย์ ในด้านภาพรวมผลประกอบการ กรุงศรีมีรายได้สุทธิจากการดำเนินธุรกิจในอาเซียนเพิ่มขึ้นจาก 3% ในปี 2563 เป็น 6% ในปี 2565 

ในฐานะที่เป็นผู้นำในธุรกิจการเงินเพื่อความยั่งยืน กรุงศรีเดินหน้าต่อยอดเพื่อบรรลุพันธกิจด้าน ESG พร้อมวิสัยทัศน์ด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยโครงการต่างๆ ที่กรุงศรีริเริ่มและประสบความสำเร็จระหว่างปี ประกอบไปด้วย โครงการ Krungsri x SET ‘Care the Whale’ โครงการ Zero Food Waste และเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ RE100 Thailand Club หรือสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย

การยกระดับฐานะของกรุงศรีในภูมิภาคอาเซียน

ต่อยอดจากรากฐานที่มั่นคงในภูมิภาคอาเซียน ในปี 2566 กรุงศรีตั้งเป้าที่จะผนึกกำลังธุรกิจต่างๆ ในอาเซียนภายใต้กลยุทธ์ One Krungsri เพื่อสร้างมูลค่าให้กับลูกค้าในประเทศไทยและอาเซียน ด้วยเป้าหมายดังกล่าวจะทำให้เกิดบริการทางการเงินที่สำคัญ อาทิ บริการโอนเงิน การลงทุนในต่างประเทศ บริการที่ปรึกษา และบริการอื่นๆ อย่างบัตรเครดิตที่จะเข้าถึงผู้ใช้มากขึ้น ด้วยการนำเสนอสิทธิประโยชน์ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้า นอกจากนี้ธนาคารยังมุ่งขับเคลื่อนเพื่อบรรลุสู่เป้าหมายในการสร้างรายได้สุทธิ จากการดำเนินธุรกิจในอาเซียนให้เป็น 10%

ยกระดับสถานะของกรุงศรีในด้านความยั่งยืน (ESG)

ด้วยเป้าหมายที่จะเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ยั่งยืนที่สุดในประเทศไทย กรุงศรีประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการดำเนินงานของธนาคารภายในปี 2573 โดยธนาคารจะยังคงเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อบรรลุเป้าหมายด้าน ESG ในปี 2566 นี้ด้วยการสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยนผ่านและดำเนินงานตามแนวทาง ESG ผ่านหลากหลายโครงการสำหรับลูกค้าธุรกิจและรายย่อย ในส่วนของภาคธุรกิจ ยังรวมถึงการให้เงินสนับสนุนกับโครงการที่เกี่ยวข้องกับการประหยัดพลังงาน เช่น หลังคาพลังงานแสงอาทิตย์ จุดชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) และพลังงานทดแทน อีกทั้งสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนและหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน สินเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจสีเขียว ธุรกิจเพื่อสังคม และธุรกิจเพื่อความยั่งยืนก็เป็นสิ่งที่ธนาคารให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ ในส่วนของรายย่อย การให้สินเชื่อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า การให้สินเชื่อที่รับผิดชอบต่อสังคม และกองทุนที่เกี่ยวข้องกับ ESG จะได้รับการเสนอให้กับลูกค้า ภายใต้การประกาศวิสัยทัศน์ด้านความเป็นกลางทางคาร์บอนของกรุงศรี ธนาคารมีเป้าหมายจะเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินให้แก่โครงการธุรกิจเพื่อสังคมและความยั่งยืนเป็น 50,000-100,000 ล้านบาท ภายในปี 2573

สร้างการเติบโตทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม

การลงทุนต่อเนื่องในโครงการพัฒนาด้านดิจิทัลและนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จของกรุงศรี จะทำให้ธนาคารเพิ่มการสนับสนุนความเชื่อมโยงอาเซียนในวงกว้าง ผ่านการส่งเสริมการชำระและการโอนเงินข้ามประเทศ โดยในประเทศไทยได้มีการเปิดโครงการนำร่องสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยรัฐบาลกลาง (CBDC) ภาคประชาชน และภาคธุรกิจ ที่จะเปลี่ยนอนาคตของการชำระเงินดิจิทัล ด้วยความเชี่ยวชาญและความพร้อม จึงทำให้กรุงศรีเป็นหนึ่งในสองธนาคารพาณิชย์ของไทยที่ได้รับเลือกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ในการเข้าร่วมโครงการนำร่องสกุลเงินดิจิทัลภาคประชาชนที่ออกโดยรัฐบาลกลาง ทั้งนี้ ประสบการณ์ของลูกค้ายังถือเป็นสิ่งสำคัญสุดสำหรับการพัฒนานวัตกรรม กรุงศรีมีเป้าหมายที่จะเชื่อมโยงแอปบนมือถือที่มี ไม่ว่าจะเป็น KMA-Krungsri Mobile App, UCHOOSE และ GO เพื่อช่วยให้ผู้ใช้มีชีวิตที่ง่ายยิ่งขึ้น นับเป็นส่วนหนึ่งของโร้ดแม็ปแผนงานพัฒนาระยะยาว เพื่อสนับสนุนอนาคตของการธนาคาร และการปรับการพัฒนาด้านความปลอดภัยของแอปและดิจิทัลแบงก์กิ้งอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ปลอดภัย

เพื่อเป็นการดึงดูดผู้มีความสามารถ (Talent) และขับเคลื่อนการพัฒนาภูมิทัศน์ดิจิทัลของประเทศไทย ที่สอดรับกับเป้าหมายด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ  กรุงศรีได้ลงทุนสร้างออฟฟิศที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่เพื่อดึงดูดทีมงานที่มีศักยภาพสูงด้านไอที อีกทั้งการขยายธุรกิจในอาเซียนยังเป็นการเปิดโอกาสให้ธนาคารได้เข้าถึงบุคลากรมากความสามารถ โดยกรุงศรีได้เปิด Innovation Hub ศูนย์กลางนวัตกรรมสร้างสรรค์ชุมชนสายเทคนำร่องในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเข้าถึงกลุ่มบุคลากรมากความสามารถในสายเทคและสร้างพื้นที่เปิดให้คนได้มาแบ่งปันไอเดีย และได้รับโอกาสทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญของกรุงศรี

“ปีนี้จะเป็นปีที่ท้าทายจากการที่ประเทศเศรษฐกิจหลักกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ผลจากการเปิดประเทศของจีนที่ยังคงไม่ชัดเจนนัก แต่อุปสงค์ในภาคบริการน่าจะเติบโตเร็วขึ้นกว่าอุปสงค์ต่อสินค้า การเติบโตของเศรษฐกิจในอาเซียนชะลอตัวลงอยู่ที่ 4.9% ในปี 2566 จาก 5.3% ในปี 2565 แต่ยังคงเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุด นอกจากประเทศไทยแล้ว ประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย มีการเติบโตที่ดี โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากอุปสงค์ภายในประเทศและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวต่างประเทศ รวมทั้งข้อตกลงการค้าเสรีที่รวมถึง RCEP และเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ที่ไหลเข้ามา ด้วยกลยุทธ์ของกรุงศรี เราหวังที่จะก้าวข้ามความท้าทายเหล่านี้ไปได้ และจะอาศัยข้อได้เปรียบจากโอกาสต่างๆ ที่มีในอาเซียนโดยการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป และเสนอโซลูชันที่เหมาะสมสำหรับลูกค้าธุรกิจและลูกค้ารายย่อยทั่วภูมิภาค” นายอาคิตะ กล่าวเสริม

กรุงศรีคาดว่าในปี 2566 เงินให้สินเชื่อจะเติบโตที่ 3-5% และตั้งเป้าหมายของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 3.5% ซึ่งคาดว่ารายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย (Non-Interest Income) จะยังอยู่ในระดับเดียวกับปีที่ผ่านมา และอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ราว 2.5-2.6%