5 Min

“ข้อความ” ฆ่าคนได้จริงเหรอ คำถามทางกฎหมาย

5 Min
320 Views
12 Oct 2020

ทุกวันนี้ เราอยู่ในโลกที่เรารับส่ง “ข้อความ” กันตลอดเวลา ซึ่งก็คงไม่ต้องอธิบายมากมายว่าการบริโภคข้อมูลเหล่านี้ของเรานั้นส่งผลต่อความรู้สึกนึกคิดและจิตใจเราได้ไม่ว่าจะเป็นในทางบวกหรือทางลบ ซึ่งในที่นี้เราจะว่ากันด้วยผลอย่างหลัง

ถ้าเราติดตามข่าวหน่อยในยุคนี้ เราคงจะได้เห็นข่าวการฆ่าตัวตายของทั้งคนดังและคนทั่วไปจำนวนมาก ภายหลังการรับข้อความในเชิงลบ

ตรงนี้คำถามก็คือ การส่งข้อความบางอย่างที่ “ส่งผล” ให้คนฆ่าตัวตาย คนส่งข้อความควรจะมีความผิดหรือไม่? อย่างไร?

คำถามแบบนี้ ถ้าเป็นคนบ้านเราหลาย ๆ คนก็คงจะบอกทันทีเลยว่า “ผิด” แต่ในระดับนานาชาติ ประเด็นมันไม่ได้ง่ายๆ แบบนั้น

เพราะโดยพื้นฐานเลย ในโลกนี้ในนานาประเทศที่เจริญแล้ว มันไม่ได้มีข้อห้ามทางกฎหมายในการห้ามพูดหรือเขียนข้อความที่ทำให้ผู้อื่น “รู้สึกไม่ดี” เนื่องจากการมีข้อกำหนดแบบนี้มันเป็นการบ่อนทำลาย “เสรีภาพในการแสดงออก” อย่างร้ายแรงมาก

ตัวอย่างง่ายๆ คือ เราอาจวิจารณ์ผลงานหรือพฤติกรรมของคนอื่นโดยสุจริตว่ามัน “ไม่ดี” พร้อมมีคำอธิบายประกอบอย่างละเอียดและสมเหตุสมผล เราอาจทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่คนบางคนที่ไม่คุ้นเคยกับคำวิจารณ์ที่ตรงไปตรงมาหรืออยู่ในสภาวะจิตใจที่ไม่ปกติก็อาจ “เสียความรู้สึกอย่างรุนแรง” จนคิดทำร้ายตัวเองก็ได้

ซึ่งคำถามคือถ้าคำวิจารณ์แบบนี้นำไปสู่การฆ่าตัวตายของใครก็ตาม คนวิจารณ์ควรจะมีความผิดหรือไม่? ในมาตรฐานสากลทางกฎหมายในโลกที่เป็นมา คำตอบน่าจะตรงกันว่า “ไม่”

ดังนั้น ประเด็นว่าคนส่งสารจะมีความผิดฐานฆ่าคนถ้าผู้รับสารดันไปฆ่าตัวตายนั้นจึงไม่ใช่มาจาก “ผลลัพธ์” ของการส่งสารแน่นอน

แต่แบบนี้ถามว่าผู้ส่งสารจะส่งสารอะไรก็ได้ตามใจชอบโดยไม่คำนึงถึงผู้รับสารและไม่ต้องมีความรับผิดชอบใดๆ หรือไม่? คำตอบคือในสมัยนี้ก็ไม่ใช่แน่นอน ซึ่งเคสที่ชัดที่สุดก็คือ การสื่อสารเพื่อบั่นทอนกำลังใจคนที่มีอำนาจต่ำกว่าแบบซ้ำๆ ซึ่งคือนิยามแบบสากลของ Cyber Bullying (ซึ่งในไทย ใช้คำนี้กันในความหมายกว้างกว่านั้น ในระดับที่เห็นการสื่อสารที่ตัวเองไม่ชอบใดๆ ก็เรียกว่า Bullying หมด)

ซึ่งถามว่าในโลกนี้มีกฎหมายที่บอกว่าการ Cyber Bullying เป็นสิ่งผิดกฎหมายมั้ย คำตอบคือ ยังไม่ชัดเจน พวกประเทศเจริญแล้ว มองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาจริง แต่ยังมีความระมัดระวังในการบัญญัติกฎหมายนี้มาก เพราะมันขัดกับคุณค่าพื้นฐานอย่างเสรีภาพในการแสดงออก ส่วนประเทศที่ผ่านกฎหมายพวกนี้แบบเร็วๆ ไปๆ มาๆ ผลของกฎหมายมันมีแนวโน้มกลับตาลปัตร เพราะมันดันสามารถไปใช้ในทางการเมืองเพื่อห้ามวิจารณ์ผู้มีอำนาจไป ซึ่งเป็นการทำลายคอนเซ็ปต์ Cyber Bullying เลย เพราะคอนเซ็ปต์นี้จะใช้ก็ต่อเมื่อผู้ถูกกระทำมีอำนาจที่ด้อยกว่า ต่อสู้กลับไม่ได้ (ซึ่งในแง่นี้การด่านายกรัฐมนตรี หรือประธานาธิบดีแบบสาดเสียเทเสีย มันจึงไม่ใช่การ Bully คนเหล่านี้ เพราะเขามีอำนาจมากกว่าเรา แต่ในทางกลับกัน ถ้าเรารุมด่าแบบเดียวกันกับคนทั่วไปที่ไม่มีทางสู้ การกระทำของเราก็เข้าข่าย Bullying)

พูดภาษาชาวบ้านคือ โลกนี้มองว่า Cyber Bullying คือการ “ส่งข้อความ” ที่เป็นปัญหาปัจจุบันจริง แต่เขาก็ไม่ได้มองการด่าทอกันบนอินเทอร์เน็ตเป็น Cyber Bullying ไปหมด เพราะจะเป็นหรือไม่ มันไม่ได้อยู่แค่ที่ว่าคุณด่าว่าอะไรเท่านั้น เพราะคำถามที่สำคัญไม่แพ้กันในการจะบอกว่าอะไรคือ Cyber Bullying ก็คือ คุณเป็นใคร? และคุณด่าใคร?

ซึ่งเคสแบบ Cyber Bullying ลักษณะสำคัญก็คือ ส่วนใหญ่ “ผู้กระทำ” มันจะมีหลายคน ซึ่งถึงคนเป็นสิบเป็นร้อยคนรวมกันด่าคนๆ เดียว จนเขาไปฆ่าตัวตาย ในโลกนี้ ก็ไม่มีประเทศไหนคิดจะบอกว่านี่คือการ “มีส่วนฆาตกรรม” เพราะมันเป็นสิ่งที่พูดยาก อย่างน้อยๆ คนแต่ละคนที่ด่าก็ไม่ได้มี “เจตนาฆ่า” แต่การกระทำของทุกคนรวมกันมันผลักให้คนๆ หนึ่งจบชีวิตตัวเองก็เป็นสิ่งทีมีปัญหาเช่นกัน

แต่ความสมดุลก็ไม่ได้หาง่ายๆ

ดังนั้นทุกวันนี้มันก็เลยไม่มีมาตรฐานสากลในการจัดการ Cyber Bullying อย่างน้อยก็ในทางกฎหมาย คือทุกคนเห็นว่ามันไม่ดี แต่ปัญหาคือมันมีความคลุมเครือมากในการบอกว่า “ใครผิด” บ้างและแต่ละคน “ผิดแค่ไหน” เพราะอย่างน้อยๆ ถ้าคนเป็นพันคนรุมกันด่าคนๆ เดียวจนฆ่าตัวตาย ในทางกฎหมายมันก็ไม่สมเหตุสมผลแน่ๆ ที่จะจับคนเป็นพันนั้นเข้าคุกหรือดำเนินคดีฐานร่วมกันฆาตกรรม

อย่างไรก็ดี มันก็มีเคสของ “ข้อความฆ่าคน” ที่ชัดกว่า Cyber Bullying ซึ่งเกิดในอเมริกาสองเคส เคสแรกคือการฆ่าตัวตายของ Conrad Roy ในปี 2014 อีกเคสคือการฆ่าตัวตายของ Alexander Urtula ในปี 2019 หรือปีนี้ โดยทั้งสองเคสเกิดที่รัฐแมสซาชูเสต สหรัฐอเมริกา

สองกรณีมีความคล้ายกัน คนที่ฆ่าตัวตายเป็นคนหนุ่ม ซึ่งผลจากการสืบสวนพบว่าแฟนสาวของแต่ละคนมีการส่งข้อความพูดคุยกันยาวนาน (ก็ตามประสาแฟน) แต่ก็พบอีกว่า แฟนสาวของทั้งคู่มีการ “ส่งข้อความยุแฟนให้ฆ่าตัวตาย”

ที่น่าสนใจคือระบบยุติธรรมอเมริกามองว่าการ “ส่งข้อความยุแฟนให้ฆ่าตัวตาย” แล้วแฟนดันไปฆ่าตัวตายจริง ถือว่าเป็นการฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาทั้งสองเคส โดยเคสแรก แฟนของ Conrad Roy โดนตัดสินจำคุกไปแล้วในปี 2017 อีกส่วนเคสของ Alexander Urtula แฟนเขาซึ่งเป็นคนเกาหลีมาเรียนต่อ และได้กลับเกาหลีไปแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอเมริกาจะขอดำเนินการ “ส่งผู้ร้ายข้ามแดน” หรือไม่ (ซึ่งก็น่าสนุกและซับซ้อน เพราะถ้าเกาหลียอมส่ง ก็คือเกาหลียอมรับว่าการ “ส่งข้อความยุแฟนให้ฆ่าตัวตาย” เป็นการฆาตกรรม)

เราคงไม่ขอพูดในรายละเอียด (ซึ่งมันจะยืดยาว และสามารถหาได้ที่อื่น) แต่อยากจะชวนพูดคุยในเชิง “หลักการ”

คือเราต้องเข้าใจก่อนว่าเคสพวกนี้ต่างจาก Cyber Bullying ทั่วไป คือการตัดสินแบบนี้ของศาลอเมริกาไม่ทำให้เราต้องหวาดกลัวว่าการที่เราไปด่าคนในอินเทอร์เน็ตว่า “ไปตายไป” วันดีคืนดีจะทำให้เราโดนจับฐานฆาตกรรมหรือเปล่า

แต่ทั้งสองเคสมีความเฉพาะเจาะจง และเอาจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องของ “การส่งข้อความ” เท่ากับพฤติกรรมที่กดดันและส่งผลลบต่อสภาพจิตใจของแฟนหนุ่มต่อเนื่องของสองแฟนสาว ที่ทำให้หนุ่มทั้งสองตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลง

กล่าวอีกแบบ มันคือเรื่องของ “พฤติกรรมทั้งหมด” มากกว่าการส่งข้อความโดดๆ

“ข้อความ” ในแง่หนึ่งเป็นแค่บันทึกของปฏิสัมพันธ์ของทั้งสอง ที่กลายมาเป็น “หลักฐาน” ของความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ จนฝ่ายหนึ่งต้องจบชีวิตลง

อย่างไรก็ดีเคสแบบนี้สร้างความปั่นป่วนและข้อถกเถียงมากมายในวงการกฎหมายในอเมริกาและในโลก เพราะไม่มีกฎหมายที่ไหนในโลกระบุไว้ชัดๆ แน่ว่าการกระทำแบบนี้คือการ “ฆ่าคน”

กล่าวคือ มันไม่มีหลักกฎหมายใดมาจับ มันไม่มีหลักกฎหมายใดที่จะใช้แยกแยะ “ข้อความฆ่าคน” ออกจากข้อความอื่นๆ ซึ่งผลในทางปฏิบัติมันหายนะสุดๆ เพราะมันจะทำให้คนไม่สามารถรู้ขอบเขตของเสรีภาพในการแสดงออกของตัวเองได้

ซึ่งนี่นำเรากลับมาคำถามตอนต้น คือต่อจากนี้ไปเราจะรู้ได้อย่างไรว่า การส่งสารใด ๆ ของเราจะไม่กลายมาเป็นการ “ฆาตกรรม” ในที่สุด? ถ้าเราดันไปวิจารณ์คนที่กำลังดาวน์อยู่ แต่เราไม่รู้ เขาฟังคำวิจารณ์ของเราแล้วหดหู่ แล้วก็ฆ่าตัวตาย เราจะไม่กลายเป็นฆาตกรไปรึ? ซึ่งนี่ไม่สมเหตุสมผลแน่ๆ แต่ปัญหาคือ ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าเส้นแบ่งระหว่างความสมเหตุสมผลกับความไม่สมเหตุสมผลอยู่ตรงไหน หรือกระทั่งแค่ว่ามัน “ควรจะ” อยู่ตรงไหนก็ไม่มีใครรู้

นี่เป็นประเด็นที่ยังถกเถียงกันอยู่ ระบบยุติธรรมอเมริกาก็ยังไม่มีความชัดเจนกับเรื่องพวกนี้

ซึ่งระหว่างนี้ สิ่งที่จะมาชี้บางส่วนว่าเราควรจะทำยังไงกับคำถามว่า “ข้อความฆ่าคนได้จริงหรือ?” ก็คงจะเป็นคำตัดสินของศาลสูงสุดของอเมริกา เพราะแฟนของ Conrad Roy ที่ติดคุกอยู่ก็กำลังยื่นคำร้องกับศาลสูงสุด เพื่อให้ศาลทำให้คำตัดสินของศาลชั้นต้นเป็นโมฆะ เนื่องจากมันขัดกับรัฐธรรมนูญอเมริกาทีมีสปิริตแรงกล้าว่าต้องปกป้องคุ้มครอง “เสรีภาพในการแสดงออก”

ที่อ่านมาทั้งหมดนี้ แน่นอนว่ามันไม่มี “คำตอบ” หรอกครับกับคำถามที่ว่าข้อความฆ่าคนได้จริงหรือไม่ เพราะมันคือเรื่องที่ทั้งโลกยังเถียงกันอยู่ และเราก็สามารถมีส่วนร่วมกับข้อถกเถียงนี้ เพื่อสร้างกติกาในการอยู่ร่วมกันต่อไป

เพราะสุดท้าย หากเรารอแต่ “คำตอบสำเร็จรูป” ในทางกฎหมายเลย นั่นก็หมายความว่าตัวเราไม่ได้พยายามมีส่วนในการกำหนดกฎเกณฑ์ในการมีชีวิตอยู่ในสังคมเลย

ซึ่งวิธีคิดและการกระทำแบบนั้นถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นการฆ่าใคร แต่มันก็ไม่ดีแน่ๆ ในสังคมประชาธิปไตย

อ้างอิง: