16 Min

Once in a Lifetime สงครามในใจของ ‘ไก่-ณฐพล บุญประกอบ’ ในวันที่ต้องกำกับซีรีส์ครั้งแรกที่เต็มไปด้วย Self-Doubt อยู่ตลอดเวลา

16 Min
250 Views
24 Jun 2025

ถึงวันนี้ ‘สงคราม ส่งด่วน’ กลายเป็นซีรีส์ไทยที่น่าจะเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จในทุกมิติอย่างแท้จริง จนสามารถครองอันดับหนึ่งของซีรีส์ไทยที่มียอดผู้ชมมากที่สุดบน Netflix Thailand ไปจนถึงโลกโซเชียลฯ ที่กล่าวถึงผ่านมีมแล้วมีมเล่าอย่างต่อเนื่อง อาจเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ซีรีส์ไทยเลือกสร้างเรื่องที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวชีวิตจริงของคนที่ไต่เต้าจากคนระดับล่างจนกลายเป็นนักธุรกิจระดับยูนิคอร์นซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน

และยังเป็น ‘ครั้งแรก’ ของไก่ ณฐพล ที่ทำซีรีส์จากเรื่องแต่ง เพราะที่ผ่านมาเขาเป็นคนทำหนังสารคดีมาโดยตลอด ไล่ตั้งแต่การกำกับสารคดีการวิ่งการกุศลของตูน บอดี้สแลม ‘2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว’ (2561) และสารคดีชวนสำรวจเรื่องราวของวัดธรรมกายใน ‘เอหิปัสสิโก’ (2562) หากจะพอมีประสบการณ์เรื่องแต่งอยู่บ้างก็คงเป็นการเขียนบทภาพยนตร์ ‘SuckSeed ห่วยขั้นเทพ’ (2554) และ ‘วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ’ (2565) และจู่ๆ วันนี้เขาก็จับพลัดจับผลูมากำกับซีรีส์จากเรื่องแต่ง ‘เป็นเรื่องแรก’

ไก่ไม่รู้เรื่องธุรกิจ ไม่เคยคุมโปรดักชันขนาดใหญ่ ไม่เคยทำงานกับทีมงานเกือบพันคน และที่สำคัญเขาไม่เคยทำซีรีส์ภายใต้โปรเจกต์ขนาดใหญ่ “หรือนี่เป็นขาลงของกูวะ” นี่คือสิ่งที่เขาบอกกับตัวเองและคนรอบข้างตลอดการทำซีรีส์เรื่องนี้

ผมในฐานะคนทำหนังไม่กล้าจินตนาการว่างานที่เราทำจะสร้างแรงกระเพื่อมให้กับคนจำนวนมากขนาดนี้ เรื่องนี้ผมเห็นแต่แผล ผมหนีตายจากการถ่ายทำในทุกวันให้รอด และผม doubt ตัวเองอยู่ตลอดเวลา”

เราได้ชมความสำเร็จของ ‘สงคราม ส่งด่วน’ ในเบื้องหน้ากันไปแล้ว วันนี้ BrandThink Cinema ชวนมาสำรวจ ‘สงครามในใจของไก่’ ตลอดการทำงาน 4 ปีกับการเป็นผู้กำกับและนักเขียนบทของซีรีส์เรื่องนี้กัน

ตอนนี้น่าจะเป็นช่วงที่ซีรีส์ ‘สงคราม ส่งด่วน’ ไต่ระดับจนถึงจุดสูงสุดแล้ว ความสำเร็จจนกลายเป็นปรากฏการณ์ที่เราเห็นอยู่นี้ มันเกินกว่าที่คุณคาดคิดไว้ไหม

ผมไม่เคยคาดคิดไว้เลยครับ ผมทำเรื่องนี้คิดแค่ว่าให้มันเสร็จ หนีตายในการถ่ายทุกวันให้รอด ต้องใช้คำว่ารอดตายในฐานะผู้กำกับ เพราะโปรเจกต์นี้มันพร้อมทุกอย่าง ทีมที่ดี มีบัดเจ็ต มีเวลา มีพี่เก้ง ‘จิระ มะลิกุล’ และ พี่วัน ‘วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์’ มาเป็นโปรดิวเซอร์ คือถ้ามันจะเหี้ยก็ต้องเหี้ยที่ผมน่ะ ถ้าเราไม่เวิร์ก แล้วเกิดปัญหาในห้องตัดที่เราต้องแก้ไข ทุกอย่างมันก็เกิดจากผม เพราะฉะนั้นความรับผิดชอบทั้งหมดมันคือผม ผมมองว่าเราเป็นสิ่งที่อ่อนสุดในโปรเจกต์นี้ แล้วเราก็ไม่มีประสบการณ์ด้วย

เป็น Fiction เรื่องแรกด้วยใช่ไหม

ใช่ ที่เป็นผู้กำกับถ้าถามว่าคาดหวังอะไรก็คาดหวังให้มันรอดแค่นี้ก็พอแล้ว เพราะผมโคตร doubt ตัวเองทุกวันเลยตั้งแต่เขียนบทแล้วก็คิดในใจ ทำไมเขาเอากูมาทำวะ ธุรกิจกูก็ไม่รู้ fiction กูก็ไม่เคยทำ แล้วเราก็ทำสารคดีมาตลอด คนรอบตัวก็มีผู้กำกับเก่งๆ เยอะ โปรเจกต์สเกลนี้ใหญ่สุดตั้งแต่ที่ GDH เคยทำมา ใหญ่สุดตั้งแต่ Netflix ไทยเคยทำ ทำไมเป็นเราวะ (หัวเราะ)

คิดว่าเป็นเพราะอะไร

พี่วันที่ชวนผมเขาบอกว่า ผมทำสารคดีแล้วเอาเรื่องจากคนต้นเรื่องออกมาได้ดี เหมือนผมเป็นคนสัมภาษณ์ได้โอเค ผมทำให้คนเปิดใจและไว้ใจได้มาก แต่พอทำเสร็จ เขาก็เพิ่งมาบอกผมอีกทีแหละว่า จริงๆ ก็คิดว่าน่าจะเลือกผมจากที่ผมมีแรงใจในการทำงาน เช่น มีแรงใจในการทำสารคดีพี่ตูน ‘2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว’ มันเป็นงานที่ใช้แรงใจและเวลาในการทำสูง พอเรื่อง ‘สงคราม ส่งด่วน’ พี่วรรณบอกผมว่า ผมทำเรื่องแรกก็จริง และสกิลมันฝึกกันได้ แต่แอตติจูดและแรงใจมันเป็นสิ่งที่สำคัญ เขาเลยคิดว่าผมเหมาะกับโปรเจกต์นี้ครับ

แล้วตอนที่เขาให้คุณมาทำโปรเจกต์นี้ คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังจะต้องเจอกับโปรเจกต์ที่มันใหญ่ไปทุกอณู

ผมพอจะรู้ตัวนะ ตอนแรกก็ยังไม่มั่นใจนึกว่าเขาให้เราไปสัมภาษณ์เพื่อช่วยดูว่าทิศทางมันจะทำอะไรได้บ้าง มันยังไม่ถึงกับว่า ฟันธง! ไก่ทำซีรีส์กันเถอะ เขาแค่บอกว่า น้อง, เรื่องนี้น่าสนใจ ลองไปคุยหน่อยแล้วดูว่าจะทำเป็นซีรีส์หรือเป็นหนังได้ไหม เราก็เลยลองดู ตอนสัมภาษณ์คนต้นเรื่อง คือโอ้โห แม่งสนุกมาก สัมภาษณ์ 4 ชั่วโมงรวด แล้วเป็นประสบการณ์ที่พีกมาก 

พอเราเริ่มเขียนบทก็รู้แล้วแหละว่ามันจะต้องใหญ่มากๆ ด้วยเนเจอร์ของเรื่องเกี่ยวกับเรื่องขนส่ง มันเป็นธุรกิจหมื่นแสนล้าน มันใหญ่โตมาก ตอนเขียนเราก็ตัดออกไปจากหัวเลยว่าเราจะถ่ายยังไงเพราะเราไม่รู้ คิดไม่ออกตั้งแต่แคสต์แล้วว่าจะเอาใครมาเล่น จะมีเหรอวะนักแสดงที่เล่นด้วยภาษาจีน รุ่ยเจี๋ยงี้ เราจะไปเอาใครมาเล่นวะ สันติ เสี่ยวหยูงี้ มันมืดแปดด้านมาก เราก็ตัดไปก่อน โลเคชันแม่งกี่ที่วะ โกดังสายพานเราจะทำยังไง คือแค่คิดก็เหนื่อยแล้วไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ก็เลยตัดทุกอย่างแล้วขอเขียนบทให้สุดก่อน เอาให้เรื่องมันสนุก มันเวิร์กที่สุดก่อน เราแบ่งแบบนั้นแล้วก็เริ่มเขียนไป

ตลอดการเขียนบทถึง 2 ปี คุณกลัวไหม แล้วจุดไหนที่คิดว่าน่าจะเอาไม่อยู่ 

ผมกลัวตลอดเลยครับ แล้วมันก็มีแบบหรือจะพับไปดีวะ เพราะมันใหญ่แล้วมันเหนื่อย คือมันก็ doubt ในความสามารถของตัวเอง แล้วเราเขียนไป 6 เดือนแรก พี่เก้งบอกว่าไม่เป็นไรนะไก่ มันยังมีบทสัมภาษณ์ที่ดีอยู่

เดี๋ยวนะ มันแปลว่าอะไรนะ 

(หัวเราะ) แปลว่าที่เขียนมามันห่วยมาก ไร้ประโยชน์มากก็ทิ้งไปหมดเลยครับ พี่วรรณบอกจืดเป็นน้ำเปล่าเลยน้อง แล้วเราก็แบบ ไอ้เหี้ย มันจะไปสุดที่ตรงไหนวะ แต่จริงๆ มันก็ไม่ได้ทิ้งไปเสียทีเดียวครับ มันก็เป็นแค่สิ่งที่ใช้ไม่ได้

พอเป็นแบบนั้น มีความรู้สึกอยากถอนตัวออกไปเลยไหม 

ไม่ ไม่เคยคิดจะถอนตัวเลย ผมแค่คิดว่า มันยังไม่ดีต้องทำให้มันดี เรื่องพับนี่ก็แค่คิดเล่นๆ แต่การที่จะจบอันนี้มันไม่ได้จบที่เราจะเดินออกแน่ๆ เราไม่ถอยแน่ๆ เพราะเขาเชื่อในตัวเราว่าเราทำได้ เราก็ต้องทำ แล้วผมก็เหมือนมาเรียนจากพี่เก้งพี่วรรณ เพราะเราไม่เคยทำ fiction เราอาจจะเคยเขียนบทด้วยกันกับพี่ๆ อยู่แล้ว เรารู้ว่าพี่เก้งพี่วรรณสอนเราได้มาก เราก็เลยลองดู

คุณมีบางอย่างเหมือนสันติหรือเปล่า ความไม่จำเป็นจะต้องมั่นใจอะไร แต่ก็ขอทำไปก่อน

ผมว่าสันติบ้ากว่าผมเยอะ ผมไม่กล้าเอาตัวเองไปเทียบกับเขา แต่ถ้าถามแค่ความเห็นผมนะ ผมไม่มีอะไรจะเสียมั้ง ก็คงทำและเดินหน้าไป อย่างมากก็เสียเวลาแต่มันก็ได้เรียนรู้ ไม่มีอะไรสูญเปล่าหรอกต่อให้สุดท้ายโปรเจกต์จะไม่เกิด ผมก็เลยเขียนบทกับพี่เก้งพี่วรรณแล้วมันก็เขียนไป 7-8 เดือนแล้วก็ทิ้งไป ก็ไม่ได้เกิด เราก็ได้เรียนรู้จากสิ่งนั้น ไม่ได้สูญเปล่า เหมือนตอนทำสารคดีก็เหมือนกัน ถ่ายพี่ตูนมา 6 เดือนแล้วก็ทิ้ง ฟุตเทจไม่ได้ใช้เลย ผมไม่ได้มองว่า เราทำหนึ่งวัน เท่ากับเราได้ผลลัพธ์หนึ่ง แล้วสิ่งนี้มันจะต้องไปอยู่กับจอหรือถูกใช้ ผมมองมันเป็นแค่กระบวนการหนึ่ง เป็นแค่ทางผ่านหนึ่งให้ลุยเดินหน้าไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปทุกวันครับ

แสดงว่าส่วนหนึ่งก็ต้องยกเครดิตให้กับคุณเก้งและคุณวรรณด้วย ที่จู่ๆ พาคุณที่เดินสายสารคดีมาโผล่ที่ซีรีส์ ทั้งที่จริงๆ ก็อาจจะมีผู้กำกับคนอื่นอยู่เต็มไปหมด

มีมากมายมหาศาล และประสบการณ์ล้นเหลือเลยล่ะครับ ผมก็ถามตลอดว่าทำไมเป็นผม และก็ต้องยกเครดิตให้พี่เก้งพี่วรรณมากๆ ครับ คือเขาก็เพิ่งมาบอกผมตอนวันฉายนะว่าผมมีแอตติจูดการเรียนรู้และแรงใจที่ดี ผมก็แบบแรงใจอะไรวะ กูก็แค่ทำไปอะไรงี้ ผมใช้คำว่าหนีตายน่ะ นึกออกไหม หนีตายรายวันกลับบ้านไปบอกแฟนว่า ไอ้เหี้ย วันนี้แม่งทำได้แย่มากเลยวะ มันน่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ กล้องแม่งเขย่าสั่นเว่อร์ ไม่รู้เทคที่เราเลือกแม่งดีจริงหรือเปล่า ผมว่าการทำงานประเภทนี้ไม่ว่าจะมีเดียไหนมันทำให้ doubt ตัวเองตลอดเวลา 

แม้กระทั่งทุกวันนี้ผมกลับไปดูซีรีส์ก็เห็นแต่แผล เห็นแต่แบบ ‘ไอ้ห่า เห็นมะอันเนี้ย’ ‘เนี้ย ทำเหี้ยอะไรของมึงวะ’ มันเห็นแต่แผล เห็นแล้วก็หงุดหงิด แต่ผมก็เป็นแบบนี้มาตลอดกับงานอื่นๆ แต่คนที่ชอบ ผมก็ดีใจ แต่ตัวผมเวลาดูก็จะติทุกครั้ง อันนี้ไม่ดี อันนี้แย่ อันนี้หงุดหงิดว่ะ

มีจุดที่ไม่อยากตื่นขึ้นมาแล้วเลยไหม 

ผมไม่เคยรู้สึกว่าต้องหยุดหรือเลิก ไม่เคยเกิดแบบนั้นกับงาน แต่มันเป็นความเสียดายที่กูน่าจะบอกให้เขาแพลนกล้องไปทางขวาอีกหน่อยนึง หรือน่าจะให้เขาเล่น long take วะ มันเป็นเรื่องดีเทลที่เรา what if ตลอดเวลา มันมีมาตลอด

เห็นว่า Doubt และมี What If อยู่ตลอดเวลากับการทำโปรเจกต์ แล้วมีวันไหนที่มั่นใจบ้างไหม 

มันก็คงมีเป็นแวบๆ แบบอันนี้ชอบว่ะ อันนี้ถ่ายมาดีว่ะ เช่น ซีนเดินขึ้นฉากหลังเป็นพระอาทิตย์งี้แบบ เฮ้ย ทำได้แล้วว่ะ เพราะผมอยากทำมาตั้งแต่ตอนทำสารคดีพี่ตูน ให้พี่ตูนวิ่งแล้วก็มีพระอาทิตย์อะไรแบบนี้ ก็เคยวางแผนแล้ว แต่ถ่ายจริงคนวิ่งกันเละเทะไปหมด เรากำหนดหรือควบคุมอะไรไม่ได้เลยครับ แต่ได้ทำอันนี้แล้วเราควบคุมได้ ถ่ายออกมาแล้วเออ ชอบ ซึ่งมันก็มีบ้างที่รู้สึกว่าสิ่งที่เราวางแผนด้วยกันกับทีมมันออกมาโอเคนะ แต่ไอ้การ doubt ตัวเองก็เกิดขึ้นตลอดอยู่ดี 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอเข้าตัดต่อ คือกระบวนการตัดต่อของทุกงาน ดราฟต์แรกมันจะเหี้ยมาก ดูแล้วแบบโอ้โห มึงกำกับเหี้ยไรมาเนี่ย ทำไมผลลัพธ์มันแย่แบบนี้วะ เราเป็นทุกงาน แต่อันนี้เป็นข้อดีมากที่ผมมีพี่เก้งพี่วรรณ เพราะพวกเขาจะคอยบอกว่า อันนี้ไม่แย่เว้ย อันนี้ดี อันนี้ทำได้ แต่ส่วนตัวผมดูดราฟต์แรกของทุกงานแล้ว โห กูล้มเหลวมาก

ส่วนใหญ่ Process ไหนที่คุณรู้สึกว่ากูไม่น่าทำแบบนี้เลย

ช่วงโปรดักชันเป็นส่วนใหญ่เลยครับ เพราะมันมีแฟกเตอร์มากมายที่เกิดขึ้นในแต่ละวันที่เราจะต้อง Make decision ตอนเขียนบทไม่ค่อยรู้สึกหรอก มันจะเป็นแบบกูทำเต็มที่แล้วนะ แต่พอโดนคอมเมนต์แล้วก็จะเห็นช่องโหว่เต็มไปหมด จะมีกระจกสะท้อนคือพี่เก้งพี่วรรณคอยบอกว่า เฮ้ย อันนี้แย่ ต้องไปอีก เราก็ทำเต็มที่ไปอีกดราฟต์ที่เราคิดว่ามันดีแล้ว แล้วเราก็จะโดนอีก ซึ่งมันก็จะเวิร์กขึ้นเรื่อยๆ อันนั้นไม่ได้ doubt ตัวเองเลยแต่จะเป็นความรู้สึกว่า กูจะรอดจากสิ่งนี้ไปให้ได้ จะเอาชนะคอมเมนต์ในแต่ละครั้งไปให้ได้ 

แต่ช่วงโปรดักชันจะ doubt เยอะเพราะว่ามันผ่านแล้วผ่านเลยพรีโปรดักชัน มันยังแบบกูเลือกอันนี้ เอ้ย เดี๋ยวๆ ขอเปลี่ยนใจ มันยังยืดหยุ่น แต่โปรดักชันนี่คือจบวันนี้ เอ็กซ์ตร้าแม่งไปแล้วไม่กลับมาอีกแล้ว มันก็จะพลาดไปแล้วว่ะ หรือกล้องแม่งโยกชิบหายเลยว่ะบนเรือ เราทำอะไรไม่ได้แล้ว ช็อตจบแม่งสันติขี่มอเตอร์ไซค์ กล้องแม่งโยกอีก อีเหี้ย ทำไมกูไม่ขออีกเทควะ มันจะเห็นสิ่งที่เราปล่อยผ่านไปเยอะเลยครับ ซึ่งเห็นในโปรดักชันทีนึงแล้วก็ต้องไปเห็นตอนตัดอีกทีนึง เราก็ไปรื้อฟุตเทจ แล้วก็แบบฟุตเทจหมดแล้ว ก็ต้องแก้ปัญหาไปทีละจุด สิ่งไหนที่แย่ก็ต้องถ่ายซ่อม ที่ doubt ตัวเองเยอะ ส่วนใหญ่ก็เป็นอันนี้แหละครับ

ความหมายของคุณครั้งแรกคือเอาแค่ให้รอดตาย แต่พอผลลัพธ์ออกมามันเลยคำนั้นไปมากๆ เลยนะ 

มากครับ ซึ่งไม่มีใครกล้าคาดหวังสิ่งเหล่านี้เลย ผมในฐานะคนทำหนังไม่เคยกล้าจินตนาการว่างานที่เราทำจะสร้างแรงกระเพื่อมกับคนจำนวนมากขนาดนี้  รปภ.หมู่บ้านเดินมาบอกว่า ผมดูซีรีส์พี่แล้วนะ แล้วก็ในขณะเดียวกัน นักการเมืองก็มาบอกว่า ผมชอบซีรีส์คุณมาก เรนจ์มันกว้างขึ้นสุดขอบสังคมขนาดนี้ ไม่กล้าคิดเลย แล้วทีมงานทุกคนแฮปปี้มากกับกอง มันไปทุกมิติไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ ผมก็เลยรู้สึกว่า โอ้โห คือชีวิตนี้กูไม่กล้าคิดสิ่งนี้หรอก แต่กูได้รับมันในวันที่กูไม่ได้คาดหวังเลยด้วยซ้ำ ก็จะเป็นความรู้สึกเซอร์เรียล หลอน ไม่ได้ เย้! แต่มัน ฮะ! มันมีแต่ความคิดที่ว่า มันจริงหรือเปล่าวะ ในทุกครั้งตั้งแต่ที่ฉายให้ Netflix และฉายให้ GDH ดูก่อนตอนแรก ทุกคนออกมาบอกว่า ชอบมากเลยกับสองตอนแรกเสียงเป็นเอกฉันท์ ผมก็อึ้งเลย 

พี่เก้งพี่วรรณก็บอกว่า น้อง มันน้อยมากเลยนะที่เสียงมันจะออกมาเป็นเอกฉันท์ในห้องประชุมว่าคนชอบอะ ผมก็ ฮ้า… เพราะผมดูเป็นร้อยรอบ มันจมไปหมดจนไม่รู้ว่าอันไหนเวิร์กไม่เวิร์ก จนกระทั่งซีรีส์สตรีมมิงฉายไปมีคนดูไป 7 รอบ ผมก็ ฮ้า ไม่นอนกันหรือวะ นี่มันไม่ใช่หนังนะเว้ย มึงดูกันกี่วันเนี่ย สิ่งเหล่านี้มันทำให้งงไปหมด 

ผมรู้สึกว่า เส้นทางอันยาวนานที่ทำเรื่องนี้มันมีการ Make decision ที่ถูกเลือกเยอะไปหมด ไม่รู้พันหมื่นการตัดสินใจ เราเห็นเลยว่า Make decision ที่เราเกือบจะเลี้ยวซ้าย เกือบจะเลี้ยวขวา และเกือบๆๆ มาเนี่ย แต่เราพามาถึงจุดที่มันเกิดผลลัพธ์แบบนี้ เราเห็นความเปราะบางของการเดินทางนะ เพราะมันมีปัจจัยใดๆ ก็ตามที่มันพร้อมจะเบรกสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา แต่อันนี้มันแบบเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันไม่เบรกเส้นทางอันยาวนานนี้ มันเลยไปแล้ว มันไปเกินกว่าที่เราตั้งใจไปอีก นั่นแหละ มัน Too good to be True สุดๆ สำหรับผมในฐานะคนทำงานครับ

คิดว่าความสำเร็จนี้มันจะเป็น Once in a Lifetime ของคุณไหม

ผมคิดตั้งแต่ตอนถ่ายแล้วว่าคงไม่มีสิ่งนี้เกิดขึ้นอีก กองใหญ่ขนาดนี้ ไอ้เหี้ย ผมก็นั่งบอกเพื่อนบอกทีม ต่อไปนี้ขาลงแล้วชีวิตกู เพราะมันไม่มีใครให้ทำอะไรใหญ่ขนาดนี้ (หัวเราะ) คือคนดูและคนทำแฮปปี้จนเต็มหลอดขนาดนี้ ผมไม่เคยต้องการสิ่งนี้ ไม่เคยคาดหวังสิ่งนี้อยู่แล้ว เพราะมันเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้เลยพวกฟีดแบ็กคนดูน่ะ

ถ้าอย่างนั้นก่อนที่จะได้ฟีดแบ็กจาก Netflix และ GDH ให้พอชื่นใจ ดราฟต์ไฟนอลของตัวคุณเองมั่นใจแค่ไหนว่าพอซีรีส์สตรีมมิงไปแล้วมันจะเวิร์ก 

ผมมีพี่เก้งพี่วรรณเป็นดาวเหนือนำทาง ถ้าเราอยู่คนเดียวใน process นี้แต่แรก คงฉิบหาย หลงทางมาก ไม่รู้แล้วว่าอันไหนดีไม่ดี พี่ๆ เขามองด้วยสายตาของคนที่ผ่านไอ้ลูปการเรียนรู้แบบนี้ การเห็นฟีดแบ็ก การ doubt กับตัวเอง การล้มเหลวมามากซะจนถ้าเขาบอกว่าอันนี้เวิร์กเราก็เชื่อ เพราะเราไม่เคยผ่านประสบการณ์แบบนั้น ไม่เคยมองเห็นมันครบกระบวนการ ไม่เคยเห็นเส้นทางของหนังเรื่องหนึ่ง หรือซีรีส์เรื่องหนึ่งตั้งแต่ต้นจนจบในฐานะคนทำแบบที่พี่ๆ เขาเป็น ผมก็เลยยกพี่ๆ เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจว่า โอเค มึงไม่ต้องนอยด์มาก เขาบอกว่าเวิร์กก็คือเวิร์ก

ตอน EP.4 ผมตัดดราฟต์แรกเสร็จให้เขาดู พี่เก้งบอก เหี้ย สนุกมากน้อง ผมแบบ ฮ้า เหรอ ตอนที่ผมไปดูเอง ผมก็ยังไม่สนุกนะ เห็นแต่แผลอย่างที่บอก เหี้ยแม่งดีจริงเหรอ พี่ปลอบใจผมหรือเปล่า หรือมันสนุกจริงวะ มันก็จะแกว่งไปแกว่งมา เอาจริงๆ ผมไม่ได้มองซีรีส์ได้เท่าที่คนดูมองเลย

ซึ่งก็คงเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่อยู่กับมันมาตลอดไหมนะ 

ใช่ เป็นกรรมของคนทำ

แต่เราพบว่าสิ่งหนึ่งที่คุณทำมันได้ดีมากๆ ก็คือ การให้น้ำหนักกับตัวละครเล็กๆ ในซีรีส์ ที่แม้กระทั่งคนที่ออกมาแค่ซีนเดียว ทุกคนยังมี 15 นาทีที่ดีงามในแบบของตัวเองตลอด จนไม่สามารถพูดได้เลยว่าเขาเป็นแค่นักแสดงเอ็กซ์ตร้า อยากรู้ว่าคุณกำกับผู้คนเหล่านี้อย่างไร 

ผมสังเกตธรรมชาติคนว่าคนนี้เป็นคนยังไง เช่น ‘แก๊ปโบ้-สิระ สิมมี’ ที่เล่นเป็นเพื่อนของสันติ และ ‘วิเวียน-ทิพากร ไชยประสิทธิ์’ ที่เล่นเป็นอาร์มี่ สองคนนี้ผมรู้ว่าเป็นคนที่อิมโพรไวส์เก่ง พูดเก่ง เล่นเก่ง ผมก็จะไม่ควบคุมเขามาก มึงเล่นเลย มึงไม่ต้องดูสคริปต์หรอก มึงพูดไรก็พูดไปเลย แล้ววิเวียนก็เล่น 5 เทป 10 เทปก็จะไม่เหมือนกัน จะพูดภาษาใต้ของเขาออกมา ซึ่งภาษาใต้ที่วิเวียนพูดในบทก็ไม่มีด้วยนะ แต่แม่งเวิร์กว่ะ ก็เลยให้พูดใต้เลย 

คือผมรู้ว่าคนนี้ควรกำกับต้องกำกับ หรือคนนี้ควรปล่อยก็ต้องปล่อย เราไม่ได้เอาตัวเองเป็นตัวตั้ง ถ้าทำแบบนั้นเราก็ต้องควบคุมทุกคน ซึ่งมันไม่เวิร์ก ผมคิดว่าหนังมันกว้างใหญ่กว่าความคิดของคนคนเดียว ทำแล้วเรารู้สึกว่าชีวิตแม่งหลากหลาย แรมดอมมั่วซั่ว แบบคุยกันอยู่ดีๆ ก็โดดไปอีกเรื่อง อยู่ดีๆ ก็เล่นมุก อยู่ดีๆ ก็ซีเรียสขึ้นมา ความควบคุมไม่ได้นี้เราก็เลือกที่จะปล่อยมือในจังหวะที่ต้องปล่อยเพราะผมว่ามันเกิดความเป็นธรรมชาติบางอย่างที่ผมกำกับมันไม่ได้แน่ๆ แล้วจริงๆ ไดอะล็อกหลายๆ อันที่คนชอบกันก็เป็นสิ่งที่พวกเขาคิดกันขึ้นมาเองเลย

คือดูแล้วรับรู้เลยว่า บางบทที่ตัวละครพูด มันเขียนขึ้นจากบทไม่ได้แน่ๆ 

ใช่ มันออร์แกนิกมาก อย่างบท “รีบกลับบ้านนะคะเปลืองไฟ” ของวิเวียนอะไรเนี่ย กูจะไปเขียนแบบนั้นได้ยังไงวะ ส่วนแก๊ป ที่พูด “ทำงานไอ้เหี้ย เพื่อรักษาเกียรติขององค์กร” อะไรนี่ เขาก็คิดเองเล่นเอง เพราะผมคิดว่าเขาทำได้แน่ๆ เรามีแค่เฟรมให้เขาเล่นก็พอ

แต่ถ้าบางคนเรารู้ว่า คนนี้ธรรมชาติของเขาดีแต่ต้องการการกำกับ เพราะเขาด้นสดไม่เก่ง เราก็ต้องซีเรียสกับเขาว่า โอเค ยูพูดตามไดอะล็อกนะ อธิบายบริบทให้เขา อย่าง ‘ธงชัย’ น้องชายสันติ ‘โอม ธนาภัค’ ด้นสดไม่ค่อยเก่ง แต่เขาเป็นคนเนเจอร์ดี ตรงคาแรกเตอร์แล้วก็สดมาก ก็โอเคเราต้องช่วยดึงธรรมชาติเขาออกมาให้ดี หรืออย่าง ‘ไอซ์ซึก็เป็นนักแสดงที่ไม่ชอบอิมโพรไวส์ เขาจะทำงานกับสิ่งที่เราให้อย่างเต็มที่ เราต้องให้บริบทเขา ต้องให้ไดเรกชัน ต้องให้ความหมาย ถ้าเขาเข้าใจปั๊บ ก็จะเล่นออกมาได้ 100 เปอร์เซ็นต์

โดยรวมแล้วคุณเวิร์กกับนักแสดงที่เป็นองค์ประกอบของเรื่องได้ดี คิดว่าเกิดจากอะไร

เกิดจากการมองธรรมชาติเขา และผมซีเรียสกับแอคติ้งด้วย บททุกบทมันมีฟังก์ชันของมันในเรื่อง คนนี้มาเพื่อบอกสิ่งนี้กับตัวละคร คนนี้มาเพื่อเป็นตัวชงให้ตัวละครพูดเนื้อเรื่องบางอย่างออกมา บางทีผมก็เบื่อที่เห็นแล้วรู้สึกว่า มึงก็พูดไปตามบทผ่านๆ แบบเฮ้ย ทำอะไรให้มันสนุก ให้มันดูมีมิติได้ไหม แคะขี้มูกออกมาได้ปะ เดินแบบติดยาดม ติดดมกาวได้ไหม เพื่อให้รู้สึกว่า อ๋อ มันมีมิติที่ลึกกว่าแค่เรื่องที่กำลังเล่าอยู่ มันมีซ้าย มีขวา มีเบื้องลึกเบื้องหลังของคนคนนี้อยู่นะ โดยที่เราไม่จำเป็นจะต้องเข้าใจก็ได้ แต่เราเห็น เราเกิดคำถามแล้วเราก็คิดต่อ โดยที่ไม่จำเป็นต้องโชว์ในหนัง มันก็จะเห็นมิติด้านที่ลึกขึ้นของตัวละคร แล้วก็ของเรื่องโดยรวมด้วย

ผมชอบความแรมดอมอย่างเจ้สี่ขายปลาร้า ทำไมถึงใส่เสื้อลายไฟ อันนั้นเกิดจากเราไปดูโลเคชัน แล้วเจ้าของโลเคชันคลังปลาร้าแม่งใส่เสื้อลายไฟชมพูๆ ใส่ทอง ใส่รองเท้าสีชมพู แล้วเขาเป็นคนสุภาพมาก แล้วแบบทำไมมันแรมดอมขนาดนี้ ผมก็ถ่ายรูปแล้วบอกทีมคอสตูมเลยว่า เจ๊สี่เอาแบบนี้เลย

อีกสิ่งที่คิดออก ไอ้ความแรมดอมนี้มันเกิดมาจากการที่ผมไปรีเสิร์ชที่โลเคชันจริง ก็คือโกดังขนส่ง แล้วผมก็แบบ ไอ้เหี้ย ทำไมคนมันหลากหลายแบบนี้ มันไม่ได้มีแค่ผู้ชายไรเดอร์เท่ๆ ยามเฝ้าโกดังแม่งเป็นคุณยายอะไรงี้ พี่ที่ขนของคนนึงเป็นผู้หญิงมวนผมใส่โรลที่ผมแต่สักทั้งแขน ผมแบบอะไรวะเนี่ย อะไรที่คิดไว้มันไม่ใช่ มันเลยรู้สึกดีที่มาเห็นของจริงที่แม่งต้องเป็นแบบนี้ว่ะ ผมแอบถ่ายรูปไปให้ทีมแคสต์ดูว่าโลกของซีรีส์มันต้องแรมดอมแบบนี้นะ อย่าไปยึดติดกับ Typecast มาก หาคนหลากหลายไปเลยแล้วมันจะยูนีกเอง 

ผมว่าความแรมดอมเหล่านี้มันคิดเองไม่ได้หรอก เพราะประสบการณ์ส่วนตัวของคนเรามันมีจำกัด เราจะคิดในหัวแล้วว่า แม่ค้าก็ต้องแต่งตัวประมาณนี้ ผ้ากันเปื้อนจากภาพจำที่เรามี แต่ความแรมดอมทำให้เรากล้าคิด เราต้องไปเห็นความแรมดอมในโลกแห่งความเป็นจริง เออ มันไปขนาดนี้ได้ว่ะ มันทำให้เรามั่นใจว่า กูไม่ได้มั่ว คนแบบนี้มันมีอยู่เว้ย

อีกสิ่งหนึ่งที่สังเกตได้ ไดนามิกบางช่วงของซีรีส์จะมีกลิ่นอายความเป็นการ์ตูนญี่ปุ่น ที่จะเล่นใหญ่แต่ดันพอดี อันนี้ตั้งใจหรือเปล่า

ผมว่ามันเกิดจากคาแรกเตอร์คนในเรื่องนี้ มันก็พ่วงๆ มาจากที่เราเลือกที่จะทำเรื่องของสันติ เรามีตัวละครแบบรุ่ยเจี๋ยที่มันพลุ่งพล่านมากเหมือนการ์ตูน ไอ้ห่านี่ด่าคนจนร้องไห้ แต่จริงๆ มึงรักมันนะ มันมีความการ์ตูนญี่ปุ่นในเซนส์ของมันอยู่แล้ว ก็เลยเป็นผลพวงที่ตามมาแหละ รูปแบบของการถ่ายการตัดเลยออกมาเป็นธรรมชาติเพื่อซัพพอร์ตสิ่งนี้ เป็นแก่นกลางของเรื่อง มันคือคนแบบนี้ที่อยู่ในเรื่อง น่าจะเป็นแบบนั้น

อีกสิ่งหนึ่งที่คนพูดถึงกัน คือความสัมพันธ์ระหว่าง เลียม เสี่ยวหยู และสันติ ที่ซึ่งพอเราทำ Fiction ที่ต้องแต่งเติมจินตนาการให้กับเรื่องราวของบุคคลจริงลงไป ส่วนใหญ่มันจะมีฟอร์มที่ไปแตะความเป็นรักสามเศร้า แต่คุณเลือกที่จะไม่ทำแบบนั้น มันเลยสมจริง ไม่คลีเช่ จนเขาพูดกันเลยว่านี่คือบาร์ใหม่ของซีรีส์ไทย 

(หัวเราะ) ผมก็ไม่รู้ จริงๆ มันเคยมีเวอร์ชันที่เป็นแบบนั้นนะ คือการเขียนบทมันคือการสำรวจ ทำซ้ำและสำรวจไปเรื่อยๆ ในทุกเวอร์ชัน มันเคยมีจักรวาลที่สันติกับเสี่ยวหยูแต่งงานกันก่อนจะเปิดบริษัท ทำบริษัทด้วยกัน แล้วก็มีลูก เลี้ยงลูกด้วยกัน หรืออีกเวอร์ชันที่สุดท้ายสันติแม่งแย่งมาสำเร็จ เลียมเป็นหมาหัวเน่า สันติแต่งงานกับเสี่ยวหยูตอนจบก็มี แต่ในท้ายที่สุดพอมันทำซ้ำ เราเริ่มเห็นภาพของซีรีส์มากพอก็เริ่มที่จะตัดสินใจให้ผลลัพธ์สุดท้ายก็ออกมาอย่างที่ได้เห็นแหละฮะ ไม่ได้คิดออกมาในจังหวะแรก มันเป็นการลองผิดลองถูก อย่างที่บอกว่าผมลองเลี้ยวตรงนี้ ตรงนั้น มันไม่ถูกกำหนดมาตั้งแต่แรก

ความสำเร็จที่ได้มานี้ หลังจากนี้คุณจะแบกรับสิ่งที่เกินความคาดหมายทั้งหมดนี้อย่างไร

ไม่ได้คาดหวังอะไร ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นด้วย เพราะรู้สึกก็ทำได้เท่าที่ทำ อย่ามาคาดหวังอะไรเลย กูไปได้ทีละช็อต (หัวเราะ)

แต่ว่าผลงานต่อไปเขาก็จะต้องบอกว่า นี่คือ ไก่ ณฐพล จากซีรีส์เรื่องนี้

ก็แล้วแต่เขามันเป็นเรื่องที่ผมควบคุมไม่ได้ ผมควบคุมได้แค่กับงานที่ทำตรงหน้า กำกับ นักแสดง ผมไปทีละคน ฟีดแบ็กก็เป็นเรื่องดี แต่เหมือนผมคงรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่าผมไม่ได้คู่ควรกับคำชื่นชมขนาดนั้น มันเกิดจากส่วนผสมหลายอย่างมาก มันไม่ใช่แค่ผมคนเดียว มันเกิดจากพี่เก้งพี่วรรณมองเห็นสิ่งนี้ สอนผมทุกกระบวนการจนกระทั่งมาถึงจุดนี้ ทีมงานทุกคน ผมแม่งโคตรโชคดีมากที่ได้ทีมเหล่านี้มา หรืออะไรก็ตาม แล้วมันก็เกิดออกมาในจังหวะที่สังคมมันเป็นแบบนี้พอดี ไม่ได้มีข่าวหรือมีกระแสอะไรมารบกวนฟีดแบ็ก ผมก็เลยไม่ต้องมา deserve ความเท่อะไรเลยป่าววะ ก็เลยไม่ได้แบก อาจจะหลอกตัวเองก็ได้นะจิตใต้สำนึกไรงี้ แต่มันดีแหละที่คนชอบ

ทุกวันนี้ออกกองผมก็ยังทำงานเหมือนเดิม ละเอียดได้เท่าที่ละเอียด ก็อยากทำให้มันรอดเหมือนเดิม ทีมงานตัดสินใจในวิสัยทัศน์ของเรา แปลว่าเราก็ต้อง deliver งานให้เติมเต็มเขา ทีมงานควรจะแฮปปี้กับผลลัพธ์ ไม่งั้นสิ่งที่เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจไป แล้วมันลงคลอง ผมก็จะรู้สึกแย่ 

ผมว่าความรับผิดชอบที่ผมมี ผมมีต่อทีมงานมากกว่าคนดูด้วยซ้ำ เพราะเขาอยู่กับเรา ให้ชีวิต เวลากับเรา เขาทุ่มเททุกอย่าง ผมเปลี่ยนใจเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ทำนั่นทำนี่แล้วก็ทิ้ง หรือสุดท้ายมันไม่เห็นในซีรีส์ด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยังทำอยู่ แน่นอนเขาเลี้ยงชีพแต่การเติมเต็มในความรู้สึกทางการทำงานมันอยู่ที่เรา เพราะเขาต้องตอบโจทย์ความต้องการของเรา 

อย่างน้องพร็อพที่ทำใบสัญญาให้คณิณเซ็นกับปีเตอร์ 5 หน้า 3 ภาษา แต่เห็นในซีรีส์ 3 บรรทัด น้องแม่งไปศึกษาฝ่ายกฎหมาย แปลจีน แปลไทย เช็กละเอียดมาก หรือแอปพลิเคชันที่เล่นได้ทุกอันในเรื่อง น้องแม่งเขียนโค้ดจริง แต่เห็นจริงๆ แค่หนึ่งวินาที ซึ่งก็ใช้ CG ก็ได้ เนี่ย สุดท้ายพอมวลรวมซีรีส์มันมีฟีดแบ็กที่เวิร์ก ก็เหมือนเราพยายามทำให้วิชันหรือไดเรกชันที่ผมทำร่วมกับโปรดิวเซอร์มันไปถึงฝั่ง สิ่งที่คาดหวังที่สุดก็คือฟีดแบ็กทีมงาน เรื่องใหม่ก็เหมือนกัน

ฟีดแบ็กของทีมงานเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง

แฮปปี้มาก ดีใจกันทุกแผนก ออกมาโพสต์กันใหญ่เลย ความลำบากของฉันมีอะไรบ้าง ฉันได้เล่นสิ่งนี้บ้าง เขียนกันยาวเลย ดีใจมาก อันนี้เป็นสิ่งที่ผมว่าดีใจสุดแล้วคือฟีดแบ็กทีมงาน ผมว่า กองในฝันของผมคือแบบนี้ ทำงานแล้วทุกคนเหนื่อยแต่สนุก แฮปปี้กับผลลัพธ์ แล้วภูมิใจกับงานที่ออกไป ผมว่ามันเหมือนเราพาทีมคว้าแชมป์น่ะ เราเหนื่อยมาด้วยกัน เตะสกัด บาดเจ็บ ด่ากันฉิบหายตอนซ้อมแต่สุดท้าย มึงมาถึงจุดที่ทุกคนคาดหวัง แล้วก็สมหวังกับตัวเองแล้วตัวเองเก่งขึ้น ผมว่าโอเคแล้ว

แล้วมันก็จะผ่านไปทั้งหมด ถูกไหม ทั้งหมดที่เราคุยมา

ใช่ๆ ผมเข้าใจเลย ผมเคยถามพี่ต้อม ‘เป็นเอก รัตนเรือง’ ว่า “พี่ผมชอบ ‘มนต์รักทรานซิสเตอร์’ มาก พี่ทำอีกได้ไหม” เขาบอก อีเหี้ย มันคือความโชคดีแบบดาวเรียงตัวกันพอดีน่ะ ผมว่าอันนี้ก็เหมือนกัน ดาวแม่งเรียงตัวกัน ทุกอย่างต้องตอนนี้เท่านั้น ทุกอย่างต้องแบบนี้เท่านั้นหมดเลย ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว

หลังจากโปรเจกต์นี้จบลง โล่งใจขึ้นไหม

ผมมีความสงบในใจมากขึ้นนิดนึงในการทำงาน ความนอยด์มันลดลง มั่นใจในการตัดสินใจในตัวเองมากขึ้นนิดนึงว่า ไม่ต้องนอยด์มากอีเหี้ย มึงทำผลลัพธ์บางอย่างที่มึงเคยไม่มั่นใจ ตอนนี้มึงทำได้ กลับไปกองใหม่ มึงเชื่อตัวเองได้มากขึ้นนิดนึง ไม่ต้องไปนั่งทรมาน มันสบายใจขึ้นนิดนึง แต่มันจะโอเคหรือไม่ก็ไม่ต้องไปกลัวมาก แค่นี้เลย

ตอนนี้โปรเจกต์ที่คุณทำอยู่คืออะไร

กำลังทำซีรีส์กับแพลตฟอร์มแห่งหนึ่ง แต่ว่าเป็นโจทย์ใหม่เหมือนกัน เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ผมขึ้นต้นมา มันมีทีมงาน ครีเอเตอร์ มีทีมเขียนบท ผมกระโดดเข้าไปรอบหลังทำสกรีนเพลย์ รีไวซ์ แล้วก็ทำไดเรกติ้ง เป็นความรู้สึกที่แปลกนิดนึง เพราะว่าเราไม่ได้เข้าใจโลกของมันแบบ 360 องศา เหมือนเรื่องที่เราเขียนเอง แล้วก็ค่อยๆ ซึมซับมันมากขึ้น ค่อยๆ เข้าใจมันมากขึ้น ยากเหมือนกัน แต่ยังเปิดเผยไม่ได้

แล้วสารคดีล่ะ

ยังมีสารคดีที่ทำค้างไว้อยู่เลยเป็นโปรเจกต์ 7 ปีแล้วยังไม่เสร็จสักที แล้วก็มีงานพันๆ กันมาจนผมก็เริ่มเซ็งตัวเองเหมือนกันที่จัดการเวลาในการทำให้จบไม่ได้ แต่ว่าจริงๆ ก็ใจชื้นไปนิดหน่อย เพราะโปรเจกต์นั้นผมทำเกี่ยวกับชัยภูมิ ป่าแส แล้วผมทำโชว์ Performance ไปรอบนึงตอนกุมภาพันธ์เกี่ยวกับเขานี่แหละ แล้วฟีดแบ็กดีมาก รู้สึกว่าอยากทำอีก เหมือนตลอดการเดินทาง 7 ปีที่ผ่านมา โปรเจกต์มันไม่เคยถูกปล่อยให้คนนอกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโปรเจกต์มาดูให้เข้าใจจริงๆ เลย

 แล้วเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เราทำ Performance ให้คนดูกลุ่มแรกเข้ามาดูเรื่องเล่าเรื่องนี้ มันได้เทสมาก มันก็ overwhelm เหมือนกันเพราะคนอินมาก ร้องไห้กันแบบสุดๆ แล้วเราก็รู้สึกใจชื้นว่าโอเคเรื่องที่เราเล่ามันยังมีคนฟังอยู่ อันนั้นก็ก่อนที่จะไปทำสงคราม ส่งด่วนแหละ ก็มีความรู้สึกอยากทำอีก

คิดว่า ซีรีส์สงคราม ส่งด่วน มันจะไป Break to International ไหม

ผมคงไม่ได้คาดหวังให้มันเบรกไปกว่านี้หรอก เพราะผมเคยคุยกับพี่วรรณ พี่วรรณก็บอกว่า มันเป็นเรื่อง big idea เลยการที่หนังเรื่องหนึ่งมันจะเบรกไปสู่ Gobal มากๆ แปลว่า big idea มันต้องใหญ่พอหรือว่าเชื่อมโยงกับผู้คนได้มากพอ ซึ่ง big idea มันหมายความหลายอย่าง มันเป็นทั้งหน้าหนัง ทั้งเนื้อใน คอนเท็กซ์ทั้งหมด แล้วขนส่งไทยอาจจะไม่ได้แมสพอสำหรับ Gobal เมื่อเทียบกับแนวฆาตกรรมหรือเรื่องที่เข้าใจง่าย ถ้าผมอยู่นอร์เวย์ทำไมผมต้องดูเรื่องนี้เพราะไม่รู้จักด้วยซ้ำ เขาอาจจะชอบ แต่กำแพงในการเข้ามาดูมันอาจจะยากเลยไม่ได้คาดหวังอะไร

สุดท้ายการนำเสนอความจริงผ่านสารคดีหรือเรื่องแต่ง คิดว่าอะไรยากกว่ากัน

ยากพอกันแต่อยู่ที่ว่าคุณพูดเรื่องอะไรอยู่แล้วพูดด้วยวิธีไหน สารคดีมันไม่ใช่พูดอะไรคนก็ฟัง ผมว่าความยากคือ ทำยังไงให้คนฟังมากกว่า ไม่ได้สำคัญเลยว่า พูดเรื่องจริงหรือพูดเรื่องแต่ง สำหรับเราพูดเรื่องจริงหรือพูดเรื่องแต่งมันเท่ากันเพราะมันคือเรื่องเล่าเหมือนกัน