Junbi Studio : สถาบันพัฒนาทักษะเด็กและ EF

1969 Views
21 Apr 2021

จุนบิ สตูดิโอ เป็นสถาบันเสริมพัฒนาการและทักษะสำคัญจำเป็นในศตวรรษที่ 21 สำหรับเด็ก โดยแบ่งพื้นที่การเรียนรู้ออกเป็น  2 พื้นที่ คือ Junbi Taekwondo Studio หลักสูตรเทควันโดที่จุนบิออกแบบพิเศษเพื่อพัฒนา EF สำหรับเด็ก และ Junbi Playducation กิจกรรมสไตล์จุนบิที่เน้นฝึกฝนทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 คือ Critical Thinking และ Creativity

๋Junbi Taekwondo Studio
หลักสูตรเทควันโดของจุนบิเป็นหลักสูตรประยุกต์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาและการจัดการศึกษา เพื่อทำให้กีฬาสามารถสร้างประโยชน์ให้กับเด็กมากที่สุด มีเป้าหมายอยู่ที่พัฒนาการของเด็กและเสริม EF ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างจากการซ้อมเทควันโดแบบ Traditional มาออกแบบใหม่ในกรอบของห้องเรียนจิตวิทยาเชิงบวก และฝึกซ้อมตามโจทย์ของการพัฒนา EF ด้วยรูปแบบกิจกรรมที่หลากหลายทั้งกิจกรรมฐาน กิจกรรมกลุ่ม ซึ่งแบ่งระดับความเข้มข้นออกเป็น 3 รอบ ดังนี้


            EF basic
            เทควันโด เพื่อพัฒนา EF ในระดับเริ่มต้นสำหรับเด็กทุกเพศทุกวัย โดยใช้การเล่นเป็นเครื่องมือ
จุนบิจึงได้นำกรอบคิดเกี่ยวกับ การเล่น ที่มีผลงานวิจัยมากมายว่ามีประโยชน์ต่อการทำงานของสมอง มาผนวกเข้ากับห้องเรียนเทควันโดไม่ว่าจะเป็นการเล่นเป็นเกม หรือเล่นด้วยอุปกรณ์ออกกำลังกาย จนเป็นคลาส Play-based Taekwondo เทควันโดในรูปแบบของการเล่นเพื่อให้เด็กทุกคนรู้สึกสนุกกับการเคลื่อนไหวร่างกาย


            EF intensive
            เทควันโด เพื่อพัฒนา EF ในระดับกลางเน้นพัฒนา Self-control โดยใช้การเตะเทควันโดเป็นเครื่องมือ
การฝึกฝนเทควันโดที่มีท่าเตะที่หลากหลาย ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ดีที่เด็กจะได้ฝึก EF เช่น ควบคุมอารมณ์ การกระทำและความคิดของตนเอง ให้ “จดจ่อมีสมาธิ” “ไม่วอกแวก” และ “ประวิงเวลาที่จะมีความสุขหรืออดเปรี้ยวไว้กินหวาน” ได้ จุนบิจึงปรับโครงสร้างการฝึกซ้อม เป็นการฝึกซ้อมตามเป้าหมาย โดยใช้ประโยชน์จากปัจจัย 2 อย่างจากการฝึกกีฬา คือ “เวลา” และ “เป้าหมาย” มาออกแบบห้องเรียนให้เด็กๆฝึกตามโจทย์ เพื่อฝึกฝนวิธีคิดแบบ EF ให้เด็กทุกวันจนเกิดความชำนาญ


            EF advance
            เทควันโด เพื่อพัฒนา EF ในระดับสูง เน้นพัฒนาองค์ประกอบทุกด้านของ EF คือ การควบคุมตนเอง (Self-control) ความจำใช้งาน (Working memory)  การคิดวิเคราะห์อย่างยืดหยุ่น (Cognitive flexibility) โดยใช้กติกาและการ
แข่งขันเป็นเครื่องมือ การแข่งขันต่อสู้จะเจอปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เด็กต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ตนเอง คิดวิเคราะห์สถานการณ์ เอาเทคนิกที่ฝึกมาใช้ และปรับเปลี่ยนแผนตลอดเวลา การฝึกซ้อมในรอบนี้เป็นลักษณะการฝึกเทคนิกและนำไปใช้ในการต่อสู้

๋ีืJunbi playducation
พื้นที่การเรียนรู้ในสไตล์จุนบิที่เรียกว่า “บทเรียนผจญภัย” เน้นการเชื่อมโยงความรู้จากสิ่งที่เรียนและประสบการณ์ตรงด้วยโครงสร้าง 3 ส่วนคือ เรียน-ลุย-สร้าง
            เรียน คือ การที่เด็กลงไปเรียนรู้ในชุดความรู้ เน้นที่การศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเอง ฝึกเขียนอ่าน การเข้าใจภาษา สรุปจับใจความ  ส่วนนี้การออกแบบกระบวนการจะเน้นที่ทักษะ Critical thinking
            ลุย คือ การลงพื้นที่เพื่อเชื่อมโยงความรู้ที่เรียนจากประสบการณ์ตรง
            สร้าง คือ การนำความรู้ที่ได้ มาใช้งานในโปรเจคที่เด็กคิดเอง หรือ แก้โจทย์ที่ครูตั้งไว้เพื่อเคี่ยวน้ำซุบให้เด็กเข้าใจชุดความรู้นั้นมากยิ่งขึ้น ส่วนนี้การออกแบบกระบวนการจะเน้นที่ทักษะ Creativity
หลักสูตรนี้จุนบิออกแบบขึ้นมาเพราะต้องการพื้นที่ที่จะทำให้เด็กรักและสนุกกับการตะลุยไปในชุดความรู้ใดความรู้หนึ่ง และเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนจากประสบการณ์ตรงเพื่อสร้างความเข้าใจในชุดความรู้นั้นอย่างแท้จริง

…………. ที่มาของการจัดทำหลักสูตรจุนบิ……….
ระยะเริ่มต้นและการถอดบทเรียน

            จุนบิ สตูดิโอ เป็นสถาบันเสริมพัฒนาการและทักษะสำคัญจำเป็นสำหรับเด็ก โดยแบ่งพื้นที่การเรียนรู้ออกเป็น  2 พื้นที่ คือ Junbi Taekwondo Studio หลักสูตรเทควันโดที่จุนบิออกแบบพิเศษเพื่อพัฒนา EF สำหรับเด็ก และ Junbi Playducation กิจกรรมสไตล์จุนบิที่เน้นฝึกฝนทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 คือ Critical Thinking และ Creativity
            จุนบิเชื่อว่าร่างกายแข็งแรงเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ที่ทรงพลัง จึงใช้เวลาศึกษาลองผิดลองถูกรวมเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี จึงสามารถกำหนดโครงสร้างการเรียนรู้ได้อย่างในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามจุนบิเมื่อแรกเริ่มมิได้ตั้งเป้าหมายเป็นสถาบันพัฒนาทักษะเด็ก แต่เป็นเพียงโรงเรียนกีฬาสอนเทควันโดที่ต้องการให้เด็กสนุกและรักในกีฬาชนิดนี้เท่านั้น เพียงแต่ตลอดระยะเวลา 10 ปี ที่ทีมงานได้เจอกับปัญหาเชิงแนวคิดมากมายจนถึงความพยายามที่จะหาคำตอบ สิ่งเหล่านั้นได้กลายเป็นการออกแบบหลักสูตรการเรียนรู้ในลักษณะหนึ่งที่แตกต่างจากพื้นที่การเรียนรู้ในโรงเรียนแบบปกติขึ้นมา
           
ระยะที่ 1 ช่วงเริ่มต้น
            จุนบิเปิดครั้งแรกเมื่อปี 2554 เป็นโรงเรียนสอนเทควันโดย่านสาธุประดิษฐ์ นักเรียนส่วนใหญ่เป็นเด็กอนุบาลและประถมศึกษา หลักสูตรที่ใช้เป็นการเรียนการสอนเทควันโดที่อิงตามเนื้อหาของสมาคมเทควันโดประเทศเกาหลีที่เป็นหลักสูตรปกติของทุกสถาบัน

             หลังจากเปิดยิมได้ 3 ปี จุนบิอยากยกระดับงานของตนเองจึงเริ่มศึกษาและเข้าอบรมกับสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทยและได้สร้างทีมนักกีฬาเทควันโดจุนบิ เพื่อส่งเด็กเข้าร่วมแข่งขันในระดับสโมสร ระดับมหาลัย และระดับชาติ จนสามารถส่งเด็ก 7 ขวบคนหนึ่งชนะเลิศในแมทช์ชิงแชมป์ยุวชน เยาวชนชิงแชมป์ประเทศไทยซึ่งจัดโดยสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทยได้สำเร็จ ณ เวลานั้นเข้าสู่ปีที่ 5 ของการสร้างจุนบิ
            ความสำเร็จที่ได้มานั้น มาพร้อมกับการตกผลึกชุดความคิด 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือความรู้ความเข้าใจในกีฬาชนิดนี้ที่ค่อนข้างรอบด้าน ทั้งการดำเนินกิจการ การดูแลจัดการเด็ก วัฒนธรรมประเพณีในวงการ วิธีการพัฒนานักกีฬา ฯลฯ อีกหนึ่งชุดความคิด เริ่มเกิดขึ้นมาจากการตั้งคำถามเกี่ยวกับประเด็นการเรียนรู้ของเด็กที่สังเกตได้ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา สามารถสรุปได้ 4 ประเด็นคือ

1. เวลา ทรัพยากร และความคุ้มค่า
            ในมุมของโค้ช โค้ชอาจผ่านเด็กมามากมาย แต่จะมีเด็กประมาณ 30-40 % ที่เดินเข้ามาในพื้นที่ของนักกีฬา และจะเหลืออยู่เพียง 20 % เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่แตกต่างกัน เช่น ไม่สนุกอย่างที่คิด ซ้อมหนักเกินไป เจ็บ หรือกลัว และอาจจะมีเด็กเพียง 10% ที่เป็นขาประจำเข้าสู่สนามแข่งด้วยความเต็มใจและสนุกกับการแข่งขันอยู่เสมอ จนเหลือ 5 % หรือน้อยกว่านั้นที่จะประสบความสำเร็จในระดับชาติ
            เท่ากับว่า การที่โค้ชต้องการสร้างเด็ก 5% เพื่อเป็นผลงานและเพิ่มมูลค่าทางการตลาดให้กับสถาบันทำให้ต้องทิ้งขว้างเด็กอีก 60% ที่เหลือที่ไม่ได้เข้ารอบนักกีฬา ซึ่งเด็กนักเรียนกลุ่มนี้ก็จะหมดความสนใจในเวลาไม่นานและเลิกเรียน อีกทั้งโค้ชก็จะไม่มีคำตอบ หรือทางเลือกอื่นรองรับสำหรับเด็กที่ได้เริ่มเดินทางสายนักกีฬาไปแล้วแต่ไปไม่ถึงฝัน

จุนบิ เสียดาย ต่อศักยภาพของเด็กที่ตกหล่นไปเหล่านี้ และมองว่ามันเป็นความไม่แฟร์ของระบบ

            ยิ่งไปกว่านั้นเด็กอาจต้องใช้เวลาซ้อมถึง 15 ชั่วโมงต่อวันในช่วงปิดเทอม ระยะเวลา 15 ชั่วโมงต่อวัน ที่เด็กกับครูอยู่ด้วยกัน ติดต่อกันเป็นเวลา 2 เดือนครึ่งที่เด็กปิดเทอม แต่ได้เรียนรู้เพียงแค่การเตะ เทควันโดเท่านั้น จุนบิมองว่าการลงแรงและเวลาของครูกับเด็ก และการเสียโอกาสของเด็กที่ถูกทิ้งขว้าง เพราะไม่ได้อยู่ในรอบนักกีฬา เมื่อรวมกับผลที่ได้นั้น มันคุ้มค่ากันแล้วจริงๆหรือ

2. ความกดดัน และความเครียด จากวัฒนธรรมดั้งเดิมที่เด็กต้องแบกรับ
            ความกดดัน และความเครียด เป็นสิ่งที่เด็กจะต้องเผชิญตลอดเส้นทางการเป็นนักกีฬา ตั้งแต่ช่วงฝึกซ้อม จนถึง ช่วงแข่งขัน

            เทควันโดเป็นกีฬาที่เติบโตขึ้นมาในระบบทหารและพัฒนาการมาจนเป็นกีฬาสากล จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นร่องรอยของแนวคิดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันเช่น การเข้าแถวเป็นระเบียบ การปฏิบัติท่วงท่าอย่างพร้อมเพรียง การบังคับท่องกฎบัญญัติก่อนเลิกซ้อมเรียน ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักชาติ ความกตัญญู ประเพณีในการเคารพผู้อาวุโส (นับความอาวุโสตามสีของสายคาด มิใช่อายุ) รวมถึงการลงโทษด้วยวิธีการรุนแรง
            ภายใต้อิทธิพลของแนวคิดเช่นนี้ การซ้อมจะเป็นไปด้วยความกดดันที่ถาโถม
            ถ้าเราเปลี่ยนจากเอาที่ระบบหรือครูเป็นศูนย์กลาง มาวงไว้ที่เด็กเป็นศูนย์กลางแทน เราจะได้คำถามใหม่
            วิธีการเหล่านี้ไม่ได้เติบโตมาจากนักวิจัย ครู หรือนักพัฒนาการเด็ก แล้วมันถูกต้องเหมาะสมกับเด็กแล้วจริงๆหรือ
ความเข้มข้นแค่ไหนที่เด็กจะรับได้ และมันควรเกิดขึ้นเท่าที่จำเป็นไม่ใช่อารมณ์ของโค้ชพาไป และเด็กก็ไม่จำเป็นต้องแบกรับภาระทางอารมณ์และจิตใจที่เกินจำเป็นจากระบบอันเนื่องมาจากประเพณีดั้งเดิม

3. พลังการเรียนรู้ในตัวเด็ก
            ตลอดเส้นทางนักกีฬาเด็กประถม ถึงแม้จะเผชิญกับตารางชีวิตที่เคร่งครัดและเคร่งเครียด แต่เด็กก็ยังสามารถแสดงพลังการเรียนรู้ออกมาให้ผู้ใหญ่สังเกตเห็นเสมอ หลายครั้งเมื่อจบโปรแกรมวิ่งตอนเช้าตรู่แล้ว เด็กๆ มักจะชวนกันไปดูเต่าวางไข่ วิ่งเก็บคราบจักจั่น วิ่งมาถามถึงแสงแดด สายลม ใบไม้ และสนุกกับธรรมชาติรอบตัว ถึงแม้จะหมดแรงจากการวิ่ง แต่เมื่อเด็กเริ่มสนใจสิ่งใดแล้ว พวกเขาเหมือนจะมีแรงกลับขึ้นมาโลดแล่นไปในสิ่งที่สนใจได้เสมอ
เมื่อสังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้แล้ว คำถามจึงผุดขึ้นมาในความคิดว่า

            “ในหนึ่งวันที่เด็กหมกมุ่นอยู่กับชุดความรู้เทควันโดเท่านั้น มันน่าจะดีกว่านี้ หากโค้ชสามารถเป็นสะพานการเรียนรู้ พาเด็กไปสู่ชุดความรู้ที่หลากหลายมากขึ้น”

4. จุดเด่นของพื้นที่การเรียนรู้ในรูปแบบทีมกีฬาที่แตกต่างจากโรงเรียนหรือสถาบันเสริมทักษะอื่นๆ

            เทควันโด เป็นการเรียนการสอนที่เด็กจะไม่เปลี่ยนครูตลอดจนจบการศึกษา (เมื่อเลิกเรียนหรือได้สายดำ) แม้จะเปลี่ยนจำนวนชั่วโมง เปลี่ยนวิชาที่เรียน ก็ยังคงเรียนและอยู่กับทีมคุณครูชุดเดิม คุณครูสามารถอยู่กับเด็กได้เต็มที่เป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน ในกรณีปิดเทอมเด็กจะอยู่กับจุนบิอย่างมาก 10 ชั่วโมง หรืออย่างน้อย 2 ชั่วโมงต่อวัน แล้วแต่ความสมัครใจ บางคนอยู่กับเรียนกับจุนบิติดต่อกันนานถึง 9 ปี แต่โดยเฉลี่ยของเด็กในทีมนักกีฬาจะอยู่กับจุนบิ 4 ปี สำหรับเด็กนักเรียนทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณปีครึ่งถึงสามปีก่อนที่พวกเขาจะหมดความสนใจ
            การใช้เวลาอยู่ด้วยกันเป็นระยะเวลานานเป็นข้อได้เปรียบของครูเทควันโดที่จะรู้จักนิสัยใจคอ ติดตามพัฒนาการทุกด้านของเด็กๆ ตลอดจนสามารถสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจจนสามารถช่วยแก้ไขปัญหาส่วนตัวที่เด็กกำลังหนักใจได้

ซึ่งความสัมพันธ์ที่แข็งแรงนี้น่าจะสามารถนำมาออกแบบการเรียนรู้ที่ดีได้

            ทั้งหมดคือความคิดที่ตกผลึกได้ในเวลานั้น และได้พาจุนบิเข้าสู่โมเดลทดลองเพื่อพัฒนาทีมนักกีฬาให้มีประสิทธิภาพรอบด้านมากขึ้น

 ระยะ 2 จุนบิในช่วงตั้งไข่

2.1 กิจกรรมจุนบิ กับ โมเดลทีมนักกีฬาเพื่อการเรียนรู้ จุนบิได้ค้นพบแนวคิด “เด็กทำอะไรได้มากกว่าที่คิด” และ “การเรียนรู้แบบเชื่อมโยงความรู้”

“เด็กทำอะไรได้มากกว่าที่คิด”
            จุนบิใช้เวลา 3 ปี เพื่อทดลองแนวคิดและผลิตโครงการ 12 โครงการ เป็นจำนวนที่มากพอให้จุนบิสังเกตเห็นผลของการปรับเปลี่ยนเพื่อพัฒนางานจากระยะที่หนึ่ง ในที่นี้จะเล่าถึงบางโครงการซึ่งเป็นที่มาของแนวคิด และยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจการออกแบบหลักสูตรของจุนบิในระยะต่อไป
            ขึ้นปีที่ 6 ของการทำสถาบันจุนบิ เทควันโด สตูดิโอ ได้จัดโครงการแรกเพื่อลองพัฒนาทีมกีฬาของเรา ที่แต่เดิมมีเพียงกิจกรรมเกี่ยวกับการเข้าแข่งขันในรายการต่างๆ และการวิ่งมาราทอนเพื่อฝึกฝนร่างกายและจิตใจเท่านั้น แต่โปรเจ็ค Junbi volunteer summer camp เป็นโครงการที่จะพาเด็กประถมไปสร้างฝายที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน


            แนวคิดมาจากความต้องการที่จะให้เด็กใช้พลังกายเพื่อการเรียนรู้อื่นนอกจากเทควันโด ในที่นี้คือการสร้างฝายและศึกษาธรรมชาติ โครงการนี้กำหนดจัดในเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งตรงกับช่วงปิดเทอมใหญ่ของเด็กๆ นับเป็นครั้งแรกในปิดเทอมที่เด็กๆ ไม่ได้ฝึกซ้อมเทควันโดเพียงแค่ลงสนามแข่งขัน แต่ยังได้ใช้เพื่อสนามการเรียนรู้เรื่องศึกษาธรรมชาติด้วย
            กลุ่มเป้าหมายคือเด็กนักกีฬาระดับประถมจำนวน 15-20 คน
            ลักษณะกิจกรรม เป็นการศึกษาธรรมชาติและพึ่งพาตัวเอง ผ่านกิจกรรมเดินป่า สร้างฝาย ตั้งแคมป์ และจัดทำอาหารเองกินเอง
            ระยะเวลาเข้าร่วมกิจกรรม 2 เดือน
            จุนบิออกแบบกิจกรรมนี้โดยมีฐานคิดว่า เด็กมีเวลาอยู่ด้วยกันเป็นระยะที่นานพอจะสามารถเตรียมความพร้อมก่อนลงกิจกรรมได้ ซึ่งแนวคิดนี้จะพัฒนาเป็นโครงสร้างหลักในระยะต่อไป
            คุณครูยังได้อาศัยระบบความเป็นทีมแบ่งกลุ่มเด็ก และสอนให้เด็กได้ฝึกกางเต้นท์ คิดเมนูอาหาร ฝึกทำอาหารที่บ้านกับพ่อแม่ และนำมารายงานอัพเดตกับเพื่อนๆ ทุกคน

            เด็กๆ ใช้เวลาทำฝายเกือบ 4 ชั่วโมง ตั้งแต่ 9 โมงจนถึงบ่ายโมง โดยทุกคนลงมือทำกันอย่างสนุกสนาน ไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่มีใครขอถอนตัวหรือแม้แต่จะขอพักจากภารกิจ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ตะโกนคุยกับเพื่อนเจ้าหน้าที่ด้วยกันว่า “กลุ่มนี้เด็กเล็กแต่ทำเร็วมาก เสร็จก่อนเวลาที่ตั้งไว้” สิ่งเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำแนวคิดที่ว่า “เด็กทำอะไรได้มากกว่าที่คิด” และครูจุนบิยังได้ตกผลึกอีกแนวคิดหนึ่งที่ว่า “หากเด็กร่างกายแข็งแรงแล้วจะเป็นฐานต่อยอดไปสู่พื้นที่การเรียนรู้ที่ลึกและยากลงไปขึ้นได้” เพราะเด็กร่างกายไม่แข็งแรงคงไม่สนุกกับการออกแรงสร้างฝาย และการเดินป่าสี่ชั่วโมง

            คุณครูจุนบิสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นจนกลายมาเป็นแนวคิดว่า “เด็กทำอะไรได้มากกว่าที่คิด” หมายถึง “เด็กสามารถทำอะไรได้เท่าผู้ใหญ่ เพียงแต่ต้องอาศัยเวลาและการฝึกฝนเพื่อชดเชยประสบการณ์ และอาศัยเพื่อนร่วมทีมเพื่อชดเชยเรื่องพละกำลัง และสติปัญญา” เพียงแต่ผู้ใหญ่ต้องทำตัวเป็นภาชนะขอบกว้าง ใช้ความรู้และความสามารถ เพื่อกรุยทางนำร่องให้เด็กไปได้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใช้ความสามารถของครูขยายพื้นที่การเรียนรู้ของเด็กออกไปให้ไกลที่สุด แต่ถ้าผู้ใหญ่พูดว่า ‘ไม่ได้’ หรือไม่ให้ทำตั้งแต่แรก เด็กจะไม่ได้แม้แต่เพียงก้าว ได้เพียงแค่มอง สุดท้ายจะไม่ได้แม้แต่เพียงคิดที่จะลองทำ
            เพิ่งมาทราบภายหลังจากนั้นอีกปีครึ่งว่า แนวคิดนี้สอดคล้องกับแนวคิดของนักพัฒนาการเด็กที่ชื่อ ไวก็อตสกี ที่ว่าด้วย รอยต่อพัฒนาการ ไวก็อตสกีได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับรอยต่อพัฒนาการหรือ Zone of proximal Development ไว้ว่า

                  “พื้นที่รอยต่อพัฒนาการเป็นระยะห่างระหว่างระดับพัฒนาการที่เป็นจริงกับระดับพัฒนาการที่สามารถเป็นไปได้ เด็กสามารถแก้ปัญหาที่ยากเกินกว่าระดับพัฒนาการที่แท้จริงของเขาได้ หากได้รับการแนะนำช่วยเหลือหรือได้รับความร่วมมือจากผู้ที่เชี่ยวชาญที่มีความสามารถมากกว่า ต่อมาจะอธิบายแนวความคิดเรื่องการเสริมต่อการเรียนรู้ การเสริมต่อการเรียนรู้เป็นบทบาทผู้สอนในการส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียนและเตรียมการชี้แนะหรือให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ผู้เรียนไปสู่พัฒนาการในระดับที่สูงขึ้น จากนั้นก็จะอธิบายข้อเสนอแนะที่ทำให้การเสริมต่อการเรียนรู้ประสบความสำเร็จ”

            จุนบิใช้เวลาอีก 2 ปีกว่าเพื่อพิสูจน์แนวคิดนี้ ศึกษาและเรียนรู้วิธีออกแบบกิจกรรมภายใต้เนื้อหาชุดความรู้ต่าง ๆ เช่น สถาปนิก มัคคุเทศก์ นักเปลี่ยนแปลงสังคม หรือกระทั่งเรื่อง สิทธิมนุษยชน มาถึงจุดนี้ จุนบิ รู้ชัดแล้วว่าการให้เด็กสร้างโปรเจ็ค เป็นการเรียนรู้ที่มีพลัง และเด็กสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิดเสมอ

การเชื่อมโยงความรู้

            จุนบิเคยจัดกิจกรรมพาเด็กนักกีฬาไปปั่นจักรยานเที่ยวเมืองโบราณสมุทรปราการ โดยตั้งสมมติฐานว่า ‘หากเตรียมความรู้ให้เด็กก่อนเดินทาง น่าจะทำให้การทัศนศึกษามีคุณภาพมากขึ้น’ จุนบิจึงจัดกิจกรรมเกมหลากหลายรูปแบบในแต่ละสัปดาห์ เช่น เกมปริศนาฟ้าแลบ เกมทายคำ จับกลุ่มตอบแข่งกันตอบปัญหา ฯลฯ โดยจัดทุกวันศุกร์ ติดต่อกันเป็นเวลา 2 เดือนก่อนออกเดินทาง
            เด็กสนุกกับการเล่นเกมทุกวันศุกร์ และเป็นการส่งเสริมให้การไปทัศนศึกษาครั้งนี้มีคุณภาพขึ้นจริง โดยเด็กประถมจะคุยเล่นแลกเปลี่ยนข้อมูลที่จำได้ในเกมกันเป็นระยะ ในขณะที่ปั่นจักรยานผ่านสถานที่ต่าง ๆ ในเมืองโบราณ นับเป็นครั้งแรกที่ทำให้ทีมงานจุนบิตระหนักถึงองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วนคือ

            ส่วนที่ 1 ความสำคัญของการเชื่อมโยงความรู้ คือ การให้น้ำหนักกับการเตรียมความรู้ก่อนออกเดินทาง และพาไปพบกับสถานที่จริงหรือประสบการณ์ตรง เพื่อให้เด็กได้เชื่อมโยงความรู้จากสิ่งที่เรียนกับโลกความเป็นจริง
            ส่วนที่ 2 คือ เป็นครั้งแรกที่จุนบิ สถาบันสอนเทควันโดเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับ การจัดการศึกษา คือ การออกแบบการเรียนรู้ สร้างสรรค์เทคนิควิธีการ เพื่อจะพาเด็กเข้าถึงชุดความรู้นั้น จบกิจกรรมนี้คุณครูจึงตระหนักได้ว่า หากต้องการเปิดสนามการเรียนรู้ให้กับเด็ก จะต้องศึกษาชุดความรู้นี้อย่างจริงจัง จึงเป็นสาเหตุของการตัดสินใจเดินทางไปสถาบันการเรียนการสอนที่ประเทศฟินแลนด์ในหนึ่งปีหลังจากนี้

2.2. เทควันโด ที่เริ่มมองเด็กเป็นศูนย์กลาง

ไม่ใช่เพียงการขยายสนามเรียนรู้ แต่จุนบิยังพยายามปรับเปลี่ยนการจัดการเรียนการสอนเทควันโดในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้

            ประเด็นที่ 1 เปลี่ยนโครงสร้างหลักสูตรจากเดิมที่มุ่งเป้าเพื่อสร้างนักกีฬา เป็นการทดลองจัดการเรียนการสอนเพื่อเด็กทุกคน หลักสูตรเดิมของจุนบิไม่ซับซ้อน เพราะมีรอบเรียนแค่ประเภทเดียว คือ สร้างนักกีฬาเพียงแต่แบ่งความเข้มข้นออกเป็น 3 รอบ คือ general intensive และ athletic

รอบ general เป็นการสอนเพื่อเตรียมกล้ามเนื้อ และวอร์มอัพให้กับรอบ intensive
รอบ intensive เป็นการซ้อมเตะ และเตะเข้าจังหวะกับเป้าเตะ เพื่อเตรียมความพร้อมไว้สำหรับรอบ athletic

รอบ athletic เป็นการนำจังหวะในรอบ intensive มาซ้อมแบบใส่เกราะสนับเตะกันเป็นคู่

            เด็กบางคนเรียนแค่รอบ general แล้วจึงกลับบ้านเพราะไม่พร้อมซ้อมหนักและเหนื่อยแบบนักกีฬาในรอบ intensive บางคนเรียน 2 รอบติดกัน ไม่เรียนรอบ athletic เพราะพร้อมจะซ้อมหนักขึ้นแต่ไม่ชอบการปะทะที่ทำให้เจ็บตัว จากการเตะกันเป็นคู่หรือต่อสู้กัน เด็กจะทยอยหายไปเรื่อย ๆ เมื่อเปลี่ยนชั่วโมง และสุดท้ายคนที่ได้ประโยชน์สูงสุด คือ กลุ่มเด็กนักกีฬาเพราะรอบเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างนักกีฬา
            แต่เมื่อจุนบิต้องการเปลี่ยนแปลงจึงตั้งโจทย์ว่า ทักษะที่นักกีฬาฝึก ก็สมควรเหมือนกันที่จะปรับโปรแกรมลงมาให้เด็กทั่วไปสามารถได้ฝึกด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง เช่น หากนักกีฬาในรอบ intensive และ athlete มีโอกาสได้ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความเร็ว ความคล่องตัว การเตะพลิกแพลง การกระโดด ฯลฯ เราก็น่าจะลองจัดโปรแกรมที่มีความเข้มข้นให้ลดลงและสอนให้เด็กทั่วไปด้วย ดังนั้นในระยะนี้รอบที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดคือรอบ General
            จากเดิมที่ General เน้นซ้อมเพื่อวอร์มและเพิ่มกล้ามเนื้อมิติเดียว จุนบิได้ออกแบบให้ General มี 8 subject คือ power, speed, jump&balance, coordination, kick, poomsae, sparring และ game การแบ่งออกเป็น 8 subject ทำให้เด็กสามารถมาเล่นกีฬากับจุนบิได้ทุกวันโดยไม่เจอกิจกรรมซ้ำ ๆ  ได้ฝึกฝนทักษะทางร่างกายด้านเช่นเดียวกับนักกีฬาแต่ความเข้มข้นน้อยกว่า และเจอกิจกรรมที่หลากหลายอีกด้วย

            ประเด็นที่ 2 ผ่อนคลายบรรยากาศห้องเรียนอันแสนดุเดือด
            จุนบิพยายามลดความกดดันที่เคยเป็นเครื่องมือหลักสำหรับผลักดันเด็ก เช่น ลดการทำโทษทางระเบียบวินัย ลดการตวาด ต่อว่าโดยใช้อารมณ์ ฯลฯ เพื่อปรับบรรยากาศให้เป็นมิตรขึ้น และลดความหวาดกลัวในใจเด็ก นอกจากนี้คุณครูยังใช้เวลามากขึ้นเพื่อเล่นและพูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ รวมถึงเริ่มมีกิจกรรมเกมเพื่อการออกกำลังกายในช่วงสุดท้ายของแต่ละรอบเรียนทุกวัน
            ผลจากการปรับเปลี่ยนที่จุนบิสังเกตเห็นถึงความสัมพันธ์ในห้องที่เปลี่ยนไปทั้งระหว่างครูกับเด็ก และระหว่างเด็กด้วยกัน สมัยนั้นจุนบิเรียกการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วยคำที่ตื้นเขินว่า “บรรยากาศที่ดี” ก่อนที่จะมาเข้าใจภายหลังว่า ที่ประเทศฟินแลนด์มันคือ “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” หรือ “ความไว้วางใจ” ซึ่งเป็นคำที่สำคัญมากในระบบการศึกษาหรือแม้แต่ระบบสังคมที่นั่น จนภายหลังจุนบิพยายามวางรากฐานการเรียนการสอนด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจลักษณะนี้ด้วยเช่นกัน

ระยะ 3 การเรียนรู้จากฟินแลนด์ และการปฏิรูปโครงสร้าง

            เมื่อจุนบิเริ่มดำเนินการเปลี่ยนแนวทางหลากหลายประการ เป็นปีเดียวกับที่การศึกษาประเทศฟินแลนด์กำลังโด่งดังในกระแสโลก ทีมคุณครูจุนบิจึงพยายามหาช่องทางเพื่อเดินทางไปศึกษาดูโรงเรียนในปีนั้น และโอกาสที่ได้มาในครั้งนั้นได้ทำให้โรงเรียนสอนเทควันโดจุนบิเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง
            หลังจากลงเครื่องบินที่เฮลซิงกิ คุณครูจุนบิ 2 คนเดินทางด้วยรถไฟอีก 4 ชั่วโมงเพื่อไปเมืองจิวาสกีล่า เพื่อใช้เวลา 3 วันสำหรับดูงานระดับชั้น ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา การเดินทางที่มีเวลาจำกัด ทำให้จุนบิใช้เวลาตลอดทั้งวันในห้องเรียน ดูตัวอย่างการสอนของแต่ละระดับชั้น พบปะพูดคุยกับนักเรียน อาจารย์ และคุณครูใหญ่ เพื่อไม่ให้เรื่องยาวจนเกินจำเป็นขอสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเดินทางครั้งนั้นเป็นประเด็นต่างๆดังนี้

3.1 สภาพแวดล้อม
            สถาปัตยกรรมได้ทำหน้าที่ของมันเองว่าพื้นที่มีอิทธิพลต่อผู้คนที่ใช้งาน อาคารและห้องต่าง ๆ ดูเรียบง่าย เป็นระเบียบและบอกความหมายของการใช้งานชัดเจนในตัวเอง ทีมงานจุนบิรู้สึกถึงความตั้งใจในการออกแบบพื้นที่ตรงนั้นอย่างชัดเจน

ประการที่หนึ่ง โรงเรียนให้ความสำคัญกับพื้นที่กลางแจ้ง สิ่งแรกที่ผมเห็นกลับไม่ใช่อาคารโรงเรียน แต่เป็นสนามกีฬากลางแจ้งข้างตัวอาคาร ที่เป็นลานโล่งไว้สำหรับเล่นกีฬากลางแจ้งเช่น บาส ฟุตบอล ในหน้าร้อน และประทับใจยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อคุณครูพาไปเปิดประตูหลังของโรงเรียน จึงได้เห็นว่าหลังโรงเรียนติดแนวเนินดินที่ทอดตัวยาวทำหน้าที่เป็นกำแพงธรรมชาติให้กับโรงเรียน พอหน้าหนาวที่มีหิมะปกคลุมเนินดินลาดเอียงเล็กน้อย เป็นที่โปรดปรานของเด็ก เมื่อถึงเวลาพักที่จะมาลื่นไถลหิมะเล่นกันตลอดเวลา
            เพิ่งมาทราบเพิ่มเติมในธันวาคมปี 2563 หลังจากไปอบรมห้องเรียนพ่อแม่ กับนายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ว่า การออกแบบให้เด็กมีพื้นที่กลางแจ้งเพียงพอ เป็นประโยชน์ที่เด็กจะได้ทั้งออกกำลังกายภายนอกและบริหารจิตใจภายใน ทำให้เด็กได้ระบายความเครียด ฝึกพัฒนาการทางสังคมและพัฒนาทักษะหลากหลายด้านไปพร้อมๆกัน

ประการที่ 2 ทุกพื้นที่ใช้สอย จะถูกออกแบบให้สื่อสารกับเด็ก (ซึ่งเป็นผู้ใช้งาน) ให้เข้าใจเรื่องระเบียบวินัยโดยไม่ต้องสั่งสอนอบรม ตั้งแต่เข้าโรงเรียนตำแหน่งของชั้นวางรองเท้า เสื้อกันหนาว พื้นที่ที่ใส่รองเท้าได้ และต้องถอดรองเท้า จุดต่อคิว หยิบและคืนช้อนส้อม เข้าใจได้ทันที่ว่าการออกแบบพื้นที่ที่ดีสามารถสอนเด็กให้เรียนรู้ว่า คนในสังคมเขาอยู่กันอย่างไร ในทันทีที่แม้แต่คนต่างภาษาและวัฒนธรรมยังเข้าใจโดยไม่ต้องมีใครอธิบาย
            ประการที่ 3 ห้องเรียนและสื่อการเรียนการสอน ด้วยงบประมาณจากรัฐที่ดีทำให้สื่อการสอนทุกห้องเรียนมีคุณภาพและน่าใช้งานกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนรู้ตั้งแต่ห้องเรียน ห้องดนตรี ห้องคหกรรม ห้องช่างไม้ ฯลฯ เครื่องมือทุกอย่างมีผลต่อการช่วยเพิ่มความสามารถของผู้เรียน ทำให้เด็กคิดและเข้าใจได้เร็วขึ้นในวิชาเลข หรือกระทั่งสามารถทำสิ่งที่เด็กคิดให้เกิดขึ้นจริงในวิชางานช่างไม้ เป็นต้น

            งานออกแบบสถานที่และสิ่งแวดล้อมภายในโรงเรียนในประเทศฟินแลนด์ เกิดจากความร่วมมือของคณะคุณครูในโรงเรียนที่ช่วยกันสร้างสรรค์พื้นที่ ซึ่งภายหลังจุนบิได้เห็นตัวอย่างจากโรงเรียนในฟินแลนด์ และนำกลับมาลงทุนปรับปรุงพื้นที่ห้องครั้งใหญ่อีกครั้งในปีถัดมา โดยมีแนวคิดว่าให้พื้นที่ตรงนี้เป็นห้องซ้อมกีฬากึ่งสนามวิ่งเล่นของเด็กจึงถูกออกแบบมาให้เป็นห้องที่มีพื้นที่กว้างมากพอที่เด็กจะสามารถชวนกันเล่นกิจกรรมวิ่งเล่นได้สนุก อีกทั้งจุนบิยังอยากให้สถานที่นี้เป็นสถานที่สำหรับเด็กโดยให้ผู้ใหญ่แทรกแซงน้อยที่สุด สถาปนิกจึงออกแบบให้ทุกพื้นที่เชื่อมต่อกันเพื่อที่เด็กจะได้สามารถเล่นไปได้ทุกที่ ซึ่งได้ใช้งบประมาณเท่าที่มีในการปรับปรุงพื้นที่และทำงานร่วมกับ OOstudio โดยมีสถาปนิกชื่อ วรา จิตประทักษ์ เป็นผู้นำการออกแบบซึ่งได้เขียนอธิบายเกี่ยวกับการปรับปรุงห้องของจุนบิว่า

            ผลงานการรีโนเวทโรงเรียนสอนเทควันโดสำหรับเด็ก Junbi Taekwondo Studio ที่เน้นเรื่องการพัฒนาเด็ก โจทย์ในการออกแบบจึงต้องการพื้นที่ ที่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้และสร้างเสริมพัฒนาการ ซึ่งต้องการให้พื้นที่สามารถรองรับรูปแบบกิจกรรมที่หลากหลาย โดยการรีโนเวทจากอาคารเดิมที่มีลักษณะเป็นห้องโล่ง มีหน้าต่างหนึ่งด้านที่ระดับความสูงเท่ากันทั้งหมด เราได้ปรับเปลี่ยนให้พื้นที่ในห้องมีความ dynamic มากขึ้น โดยเลือกใช้เทคนิค random pattern มาประกอบกันทั้งในส่วนพื้น ผนัง และฝ้าเพดาน การจัดเรียงช่องเปิดให้มีความหลากหลายน่าสนใจ ให้เหมาะกันกับสเกลของเด็ก  ในส่วนสีที่นำมาใช้ในการออกแบบ ได้เลือกสีที่ให้ความรู้สึกสนุกสนานและช่วยกระตุ้นให้เกิดความสร้างสรรค์ นอกจากนี้ ยังได้ออกแบบชั้นเครื่องเล่นเพื่อกั้นโซนใช้งาน ระหว่างโซนผู้ปกครองกับเด็กออกจากกัน โดยชั้นนี้นอกจากจะออกแบบมาเพื่อให้เด็กๆ สามารถปีนป่ายและข้ามทะลุไปอีกห้องได้ ในขณะที่ผู้ปกครองสามารถมองผ่านชั้นนี้มาดูในช่วงที่ลูกเรียนอยู่ได้ ในขณะที่อีกด้าน ได้ใช้ชั้นที่มีขนาดเดียวกันออกแบบเพื่อเป็นชั้นวางของสำหรับใช้งานอีกด้วย

            นอกจากนี้จุนบิยังเพิ่มเครื่องมือออกกำลังกาย หรือของเล่นที่จะช่วยกระตุ้นหรือเสริมการขยับร่างกายของเด็กเป็นจำนวนมาก เพื่อพัฒนากิจกรรมในห้องเรียนให้มีความหลากหลายสมกับเป็นสถานที่ที่เสริมสร้างพัฒนาการของเด็ก
            อีกทั้งยังได้แบ่งพื้นที่แยกเป็นห้องสำหรับทำกิจกรรมสำหรับเด็ก ทั้งกิจกรรมอิสระเช่น เล่นบอร์ดเกม นั่งคุย นั่งกินขนมกับเพื่อนในลักษณะคล้ายกับห้องชมรม หรือกิจกรรมเสริมทักษะศตวรรษที่ 21 ที่จุนบิจัดเป็น Camp เช่น กิจกรรมทำโยเกิร์ต กิจกรรมตลาดนัดเด็ก ฯลฯ ทั้งหมดจะใช้สอยพื้นที่ในห้องนี้ซึ่งเรียกว่า ห้อง Play

            3.2 แนวคิดการศึกษา จุนบิเรียนรู้แนวคิดทางการศึกษาของฟินแลนด์ผ่านหนังสือก่อนเดินทางไปดูงาน ทำให้รู้แนวความคิดคร่าวๆ ว่าการศึกษาที่ฟินแลนด์จะเน้นความเสมอภาค  ในโครงสร้างใหญ่ คือ โรงเรียนรัฐบาลแต่ละโรงเรียนมีคุณภาพเสมอกัน  ในโครงสร้างเล็ก คือ เด็กทุกคนที่อยู่ในห้องจะต้องได้รับการดูแลเท่าเทียมกัน จนกลายเป็นคำกล่าวเท่ๆ ว่า ‘จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’ ซึ่งพอดีตรงกับการเปลี่ยนแปลงแนวทางของจุนบิในช่วงนั้น
            การเดินทางไปดูโรงเรียน ทำให้จุนบิเห็นความพยายามในการออกแบบวิธีการจากแนวคิดความเสมอภาคประการหนึ่ง คือ ระบบ helper

            ในห้องเรียนเด็กจำนวน 20 คน มีคุณครู 2-3 ท่าน ประกอบไปด้วยครูหลักที่ทำหน้าที่บรรยายเนื้อหาความรู้ และครูผู้ช่วยอีก 2 ท่าน ที่เรียกว่า helper ที่จะทำหน้าที่เดินไปรอบ ๆ ห้อง เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กคนไหนที่สงสัยช่วงใดช่วงหนึ่งที่ครูหลักบรรยายได้ปรึกษาสั้น ๆ จนเมื่อครูหลักบรรยายจบแล้วจึงมอบแบบฝึกหัดจำนวนไม่มากให้เด็กได้ลองทำ แล้วครูหลักจึงเข้าห้องพักซึ่งถูกออกแบบให้อยู่ติดกันกับห้องเรียน จากนั้นจะเป็นหน้าที่ของครูผู้ช่วยที่จะเรียกเด็ก ๆ บางส่วนที่ยังสงสัยในการเรียนให้เดินไปห้องแยกอีกห้องที่ติดกัน เพื่ออธิบายซ้ำเป็นกลุ่มย่อยจนกว่าทุกคนจะเข้าใจเท่ากัน หรือในระหว่างทำแบบฝึกหัด ใครสงสัยในบางจุด หรือ งงกับโจทย์ในแบบฝึกหัดไม่กี่ประเด็นก็สามารถเข้าไปห้องพักของครูหลัก เพื่อถามต่อได้อย่างไม่ต้องกังวลหรือขออนุญาตอะไร
            คำอธิบายนี้สะท้อนแนวคิดของคุณครูในประเทศที่ไม่ต้องการทิ้งเด็กคนไหนไว้ข้างหลังในระบบการศึกษา

            นอกจากการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังแล้ว อีกแนวคิดหนึ่งที่เป็นที่สนใจไม่แพ้กัน คือ การเรียนรู้อย่างมีความสุข หนึ่งในวิธีการที่เห็นได้ชัดเจน คือ การทำน้อยแต่ได้มาก เช่น การเรียนน้อยแต่ทำให้เกิดประสิทธิภาพที่มากที่สุด โรงเรียนที่ฟินแลนด์เรียนเพียงคาบละ 40 นาที ระหว่างคาบพักครั้งละ 15 นาที และเลิกเรียนไม่เกินบ่ายสองโมง การบ้านมีน้อยมากเด็กสามารถทำเสร็จได้ตั้งแต่ที่โรงเรียน ในโรงเรียนระดับมัธยมเด็กสามารถเลือกวิชาเรียนเองตามที่สนใจได้อย่างอิสระ หนึ่งวิชาสามารถคละระดับชั้นปี คล้ายระบบมหาวิทยาลัยที่เมืองไทย มีจำนวนหน่วยกิตเป็นเส้นบังคับเพื่อจบการศึกษา
            จุนบิเรียนรู้และเริ่มตั้งเป้าอยู่ที่ ‘ประสิทธิภาพ’ ในการพัฒนาเด็กแต่ละคน จากเดิมที่ให้คุณค่ากับชื่อเสียงและผลงานโดยรวมของสถาบัน รับเด็กจำนวน 30-40 เพื่อฝึกซ้อมต่อรอบต่อจำนวนครู 2 ท่าน เปลี่ยนเป็น รอบละ 15–20 คนต่อจำนวนครู 2 ท่าน และผู้ช่วยที่ทำหน้าที่ในลักษณะคล้ายกับ helper อย่างน้อย 2 คน นอกจากนี้ยังลดเวลาเรียนจาก 1 ชั่วโมง 30 นาที เหลือ 1 ชั่วโมง เพื่อปรับให้สมดุลกับเด็กทุกคนที่มาออกกำลังกาย
            จุนบิยังจัดโครงสร้างคลาสต่อชั่วโมง เพื่อบริหารเวลาในห้องให้มีประสิทธิภาพ โดยแบ่งออกเป็น 4 ส่วนสำคัญ ได้แก่ warm up และยืดเหยียด กิจกรรมออกกำลังกายทั่วไป เนื้อหาหลักประจำวัน และสุดท้ายคือ cool down โดยตั้งใจให้คลาสตอบโจทย์สองประการคือ เรียนรู้เนื้อหาความรู้ทางเทควันโด และพัฒนาประสิทธิภาพของร่างกาย

            การลดเวลาเรียน การมี helper การลดจำนวนเด็กในแต่ละรอบ เป็นการดึงเอาความกดดันส่วนเกินที่ไปตกกับเด็กกลับมาเป็นภาระความรับผิดชอบของครูอย่างที่ควรจะเป็น การจัดโครงสร้างคลาสใหม่สร้างความสมดุลให้กับอารมณ์ของเด็ก ทำให้เด็กสามารถใช้สมาธิเพื่อเรียนรู้เทควันโดได้อย่างเต็มที่ และมีเวลาเพื่อพัฒนาทักษะทางร่างกายรอบด้านไปด้วย

            แนวคิดต่อมาที่ได้ช่วยเปลี่ยนมุมมองของครูจุนบิที่มีต่อเด็กไปอย่างสิ้นเชิงคือ ความไว้เนื้อเชื่อใจ (Trust) ตลอดระยะเวลาที่พูดคุยอยู่กับคุณครูในโรงเรียน จุนบิมักจะนำปัญหาเด็กไทยไปแลกเปลี่ยนเพื่อเรียนรู้วิธีคิดว่า ถ้าฟินแลนด์เจอปัญหาเด็กแบบโรงเรียนไทยเขาจะมองปัญหานั้นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเด็กไม่ทำการบ้าน ลอกการบ้าน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กตั้งใจเรียนในห้องทุกคน จะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กไม่ได้โกหก หรือพูดเพื่อเอาตัวรอดไปสู่หนทางที่สบาย ฯลฯ คุณครูฟินแลนด์ทุกคนตอบไปในทางเดียวกันว่า เรื่องพวกนี้คุณต้องเชื่อใจเด็ก
            จุนบิเห็นประโยชน์ในเรื่อง Trust และปรับใช้เข้าสู่การดูแลเด็กในห้อง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของครูจุนบิที่ได้ศึกษา ห้องเรียนจิตวิทยาเชิงบวก จนภายหลังออกมาเป็นข้อประพฤติปฏิบัติกับเด็ก ประเด็นนี้ทำให้จุนบิตระหนักถึงบทบาทของครูที่ต้องทำหน้าที่สร้างความเข้าใจให้กับเด็กว่า สังคมจุนบิจะอยู่กันบนความไว้เนื้อเชื่อใจ เด็กสามารถแสดงออกความรู้สึก ความต้องการของตัวเองได้อย่างตรงไปตรงมา ครูต้องอธิบายถึงพฤติกรรมที่เป็นปัญหา รวมถึงวิธีแก้ปัญหาที่มากกว่าหนึ่งทาง ตลอดจนความรู้สึกของสังคมส่วนรวมที่จะรู้สึกต่อพฤติกรรมของเขา

            สิ่งสำคัญที่จะพูดถึงเป็นเรื่องสุดท้ายในหัวข้อนี้คือการที่ได้แลกเปลี่ยนความคิดกับครูใหญ่ของโรงเรียน คุณครูใหญ่ได้เชิญให้เราเข้าไปในห้องทำงานและพูดคุยเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของการบริหารโรงเรียน เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการมองโลกและสังคมไปข้างหน้าเพื่อกลับมาออกแบบหลักสูตรว่าเด็กที่กำลังเรียนอยู่ในทุกวันนี้ต้องการทักษะอะไรในอนาคต ในวันนั้นจึงเป็นครั้งแรกที่จุนบิได้รู้จักทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 และตระหนักถึงคุณภาพของการศึกษาประเทศที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในโลก ณ เวลานั้น นอกจากนี้ครูใหญ่ยังได้อธิบายถึงบทบาทของครูที่กำลังเปลี่ยนไปจากผู้สอน Teacher จะกลายเป็น Supporter ผู้สนับสนุนเด็ก ๆ ในห้องเรียน
            ประสบการณ์เรื่องนี้เป็นส่วนสำคัญ เพราะเป็นครั้งแรกตั้งแต่การปรับแนวทางที่จุนบิได้เห็นประเด็นของงานฝ่าย บริหาร และมุมมองที่ทอดไปสู่อนาคต จากเดิมจุนบิมักหมกมุ่นกับงานในปัจจุบันและหันมองอดีตที่ผ่านมา พึ่งตระหนักได้ถึงความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเริ่มพัฒนาการงานจากจุดเด่นของเครื่องมือของเรา คือ “กีฬาศิลปะป้องกันตัวเทควันโด” และ “กิจกรรมเชื่อมโยงความรู้” จนนำไปสู่การพัฒนาทักษะทักษะที่จำเป็นสำหรับเด็กในศตวรรษที่ 21
            จุนบิศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 แล้วพบว่ามี 2 ทักษะคือ Creativity และ Critical thinking ที่จุนบิเห็นความสำคัญต่อเด็กในอนาคตและสามารถพัฒนาได้ดีด้วย “กิจกรรมเชื่อมโยงความรู้” ของเรา จุนบิจึงเริ่มตั้ง 2 ทักษะนี้เป้าหมาย ใช้เวลาหนึ่งปีเต็มศึกษาวิธีการ ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ และถอดบทเรียนจากประสบการณ์เดิม จนสามารถพัฒนา “กิจกรรมเชื่อมโยงความรู้” ให้กลายเป็นกิจกรรมที่มีโครงสร้างชัดเจน 3 ส่วน คือ เรียน-ลุย-สร้าง และพวกเราเรียกมันว่า “บทเรียนผจญภัย”
            เรียน คือ การที่เด็กลงไปเรียนรู้ในชุดความรู้ เน้นที่การศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเอง ฝึกเขียนอ่าน การเข้าใจภาษา สรุปจับใจความ  ส่วนนี้การออกแบบกระบวนการจะเน้นที่ทักษะ Critical thinking
            ลุย คือ การลงพื้นที่เพื่อเชื่อมโยงความรู้ที่เรียนจากประสบการณ์ตรง
            สร้าง คือ การนำความรู้ที่ได้ มาใช้งานในโปรเจคที่เด็กคิดเอง หรือ แก้โจทย์ที่ครูตั้งไว้เพื่อเคี่ยวน้ำซุบให้เด็กเข้าใจชุดความรู้นั้นมากยิ่งขึ้น ส่วนนี้การออกแบบกระบวนการจะเน้นที่ทักษะ Creativity
            ขอยกตัวอย่างกิจกรรมบทเรียนผจญภัย ตอน Junbies Tour เป็นกิจกรรมที่เด็กประถมต้นและปลายเข้าเรียนรู้การเป็นมัคคุเทศก์ ช่วยกันออกแบบโปรแกรมนำเที่ยว หาข้อมูล และวิเคราะห์ปัญหาร่วมกัน เป็นกิจกรรมขนาดกลางใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ เนื้อจะแบ่งออกเป็น 3 ชุด ชุดแรกคือการเรียนรู้หาข้อมูลเกี่ยวกับการเป็นมัคคุเทศก์ ชุดที่ 2 พาเด็กๆ ออกไปเดินเที่ยวกับมัคคุเทศก์อาชีพ ชุดที่ 3 คือการสร้างโปรเจ็คจัดทริปเที่ยวหัวหิน ขั้นที่หนึ่ง เริ่มจากศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่เที่ยวในหัวหิน และออกแบบโปรแกรมท่องเที่ยว ขั้นที่สอง ศึกษารายละเอียดงานแต่ละฝ่ายเช่น ฝ่ายสวัสดิการ ฝ่ายสถานที่ ฝ่ายกิจกรรม และฝ่ายพัสดุ แล้วจึงเลือกฝ่ายที่ตนเองอยากรับผิดชอบ ขั้นที่สาม ออกเดินทางเพื่อนำเที่ยวอำเภอหัวหินด้วยกัน

            แต่อย่างไรก็ตามก่อนเดินทางมาฟินแลนด์จุนบิได้เริ่มตระหนักแล้วว่างานที่ผ่านมาจุนบิมีจุดอ่อนอยู่ที่ส่วนของ “เรียน” (จากโครงสร้าง เรียน-ลุย-สร้าง) มากที่สุด เพราะขาดประสบการณ์ ขาดแนวคิดและเทคนิกวิธีการจัดการ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งจุนบิมาได้จิ๊กซอว์ส่วนสุดท้ายในการเดินทางครั้งนี้
            3.3 เทคนิควิธีการจัดการศึกษา
            กิจกรรมในห้องเรียน
            ห้องเรียนที่ทรงพลังที่เราไปเห็นมา คือ ห้องเรียนที่ใช้ทุกเวลานาทีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในวิชาคณิตศาสตร์ประถมปลาย คุณครูให้เด็กเล่นกิจกรรมจับเป็นคู่ ฟังบรรยายเป็นเวลาสั้นๆ เมื่อเด็กเข้าใจความรู้แล้วให้เด็กแต่ละคู่ตามหาโจทย์คณิตศาสตร์ตามคำใบ้ และกลับมาคิดหาคำตอบลงในใบงาน เด็กวิ่งเข้าออกห้องเรียนกันอย่างสนุก พูดคุยทำแบบฝึกหัดกับเพื่อน แต่ไม่มีใครเล่นหรือเสียงดังรบกวนกลุ่มอื่น แวดล้อมไปด้วยบรรยากาศการเรียนรู้ที่อิสระ เป็นตัวของตัวเอง และยังมีกิจกรรมผสมผสานระหว่างนิทาน บิงโก และระบายสีเพื่อเรียนคณิตศาสตร์เช่นกันในห้องเรียนชั้นประถมต้น
            จุนบิเลือกหยิบประเด็นจากประสบการณ์ครั้งนี้มาได้ 2 ประเด็น คือ “การสร้างสรรค์กิจกรรมให้การเรียนเป็นเรื่องสนุก” กับ “การเล่น” แล้วนำมาปรับใช้กับกิจกรรมเรียนรู้ธรรมชาติภายหลังกลับจากฟินแลนด์ ในกิจกรรมนั้นเด็กจุนบิได้เล่นเกมแข่งขันง่ายๆเพื่อเรียนเรื่องสายพันธุ์มนุษย์ดึกดำบรรพ์ และเกมบิงโกในหัวข้อสายใยอาหารป่าชายเลน เกมเปิดจิ๊กซอว์ทายชื่อสัตว์ และให้คำใบ้ตามหาผู้พิทักษ์สิ่งแวดล้อม ถึงผลที่ได้จะไม่มีคุณภาพเท่าที่ฟินแลนด์แต่ก็ถือว่าช่วยให้บทเรียนผจญภัยในส่วนของ “เรียน” มีประสิทธิภาพขึ้นมากและเป็นจุดนับหนึ่งที่เราเริ่มเข้าใจวิธีออกแบบการเรียนรู้ที่ทำให้ เด็กสนุกและจดจำข้อมูลได้เร็วและมากขึ้น
            สื่อการเรียนการสอน จุนบิสังเกตในขณะที่เด็กกำลังเรียนหัวข้อเรื่องเศษส่วนว่า เนื้อหาที่เด็กไทยอาจจะใช้เวลาเรียน 2-3 วัน ที่ประเทศฟินแลนด์สามารถบรรยายให้จบเข้าใจง่ายด้วยเวลา 15-20 นาที ด้วย Touch screen projector graphic ทำให้จุนบิเห็นพลังของการเตรียมชุดความรู้ สรุปและเสนอเป็น Info Graphic ฉบับแปลสารเป็นภาษาเด็กเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ ตอนนี้จุนบิอยู่ในระหว่างช่วงศึกษา ทดลองและพัฒนางานส่วนนี้เพื่อปรับใช้ใน “บทเรียนผจญภัย”
           

            มาถึงจุดนี้จุนบิได้ภาพโครงสร้างที่สมบูรณ์ของกิจกรรมการเรียนรู้ จุนบิจึงเปลี่ยนห้องๆ ห้องหนึ่งเป็นห้องสำหรับการเรียนรู้และเรียกใหม่ว่า “Junbi Playducation” แบ่งบริการออกเป็น 2 ส่วนคือ เป็นพื้นที่สำหรับการเรียนรู้สร้างสรรค์ เด็กๆสามารถมาใช้พื้นที่นี้ได้อย่างอิสระ นั่งคุย เล่นบอร์ดเกม ทำการบ้าน ในแต่ละวันเป็นต้น ส่วนที่ 2 คือ กิจกรรมการเรียนรู้ที่จัดขึ้นลักษณะ Camp ค่ายการเรียนรู้ มีทั้งค่ายหนึ่งวัน ค่ายระยะสั้น และค่ายระยะยาว มี “บทเรียนผจญภัย” ในโครงสร้าง เรียน-ลุย-สร้าง เน้นพัฒนาทักษะ Creativity และ Critical thinking โดยเปลี่ยนเนื้อหาไปเรื่อยๆตามประเด็นที่เด็กหรือคุณครูสนใจในช่วงเวลานั้นเช่น ดูดาว นิเวศชายหาด ไดโนเสาร์ หรือ การปั่นจักรยานในเมือง ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นภาพ Junbi Playducation ที่กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน จนกระทั่งหยุดให้บริการในสถานการณ์โควิดที่มีความจำเป็นต้องจำกัดจำนวนคนและเวลาที่อยู่ร่วมกัน ซึ่งเป็นจุดเด่นของ Junbi Playducation

3.4 บทบาทของวิชาพละ

            จุนบิมีโอกาสได้เข้าไปดูคลาสเรียนวิชาพละศึกษาที่ประเทศฟินแลนด์เช่นกัน พร้อมกับได้ข้อสังเกตว่าวิชาพละที่นั่นเป็นเครื่องมือสำหรับฝึกทักษะเด็ก ทั้งทักษะทางร่างกาย ทักษะทางสังคม และคลายความเครียดจากการเรียนวิชาการ บรรยากาศห้องเรียนเป็นไปอย่างสนุก เด็กทุกคนได้ขยับร่างกายเล่นกับเพื่อนในทีม
            จุนบิได้นำสิ่งที่สังเกตเห็นมาปรับโครงสร้างในคลาสเทควันโดรอบ General ครั้งใหญ่ เริ่มจากแนวคิดว่า การเล่นคือการออกกำลังกายของเด็ก จุนบิจึงได้นำกรอบคิดเกี่ยวกับ การเล่น ที่มีผลงานวิจัยมากมายว่ามีประโยชน์ต่อการทำงานของสมอง มาผนวกเข้ากับห้องเรียนเทควันโด เช่น  การวอร์มหรืออบอุ่นร่างกาย หรือเพิ่มสมรรถภาพทางกายไม่จำเป็นที่จะต้องมีรูปแบบเป็นวิ่งรอบสนาม วิ่งจับเวลา วิ่งแข่ง ฯลฯ แต่เราสามารถประยุกติ์วิ่งไล่จับ แปะแข็ง เก้าอี้ดนตรี มอญซ่อนผ้า ฯลฯ  

นอกจากนี้จุนบิยังพยายามสืบค้นเพื่อสังเกตดูวิชาพละต่างประเทศในโลกออนไลน์ เพื่อประยุกต์เกมต่างๆมาเพิ่มความหลากหลายให้กับกิจกรรมในห้องเรียนจุนบิ เพื่อกระตุ้นให้เด็กเต็มใจขยับร่างกายด้วยตนเอง เพราะเราเชื่อว่า การที่เด็กเต็มใจที่จะเคลื่อนไหวร่างกายด้วยตัวเองคือวิธีออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพที่สุด
            จุนบิยังได้ปรับโปรแกรมสลับช่วงเล่นออกกำลังกับช่วงเนื้อหาเทควันโดให้มีความสมดุล เพื่อลดความเครียดและความเบื่อหน่ายจากการเรียนและยังสามารถรักษาสมาธิในการเรียนรู้และความอยากในการขยับร่างกายของเด็กต่อไปได้ เพราะไม่ใช่เด็กทุกคนที่จะชอบออกกำลังกาย
            ต่อมา class General จึงเปลี่ยนชื่อเป็นคลาส Play-based Taekwondo เทควันโดในรูปแบบของการเล่นเพื่อให้เด็กทุกคนรู้สึกสนุกกับการเคลื่อนไหวร่างกาย

            แต่อย่างไรก็ตามจุนบิยังมีช่องว่างในรอบ intensive และ Athletic ถึงแม้ว่าตลอดเวลาที่เราพยายามพัฒนารอบ General อย่างต่อเนื่องเพราะเป็นรอบพื้นฐานที่สุดสำหรับเด็กทุกคนที่จะเริ่มต้นเรียนเทควันโดกับจุนบิ แต่ในรอบ intensive และ Athletic กลับยังไม่มีคำอธิบายและเป้าหมายที่สำหรับการพัฒนาเด็กอย่างชัดเจนจริง ๆ เราทำได้เพียงแค่ปรับพฤติกรรมครูให้เป็นห้องเรียนเชิงบวก และเพิ่มความหลากหลายของกิจกรรมเท่านั้น แต่ยังคงยึดเอาชุดเทควันโดเป็นฐานและให้เด็กเรียนรู้ตามระดับความง่ายไปยากเช่นเดิม
            จนจุนบิได้มีโอกาสมาอบรมในห้องเรียนพ่อแม่ กับคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ซึ่งได้ให้ความรู้สำคัญที่เติมเต็มช่องว่างของเราให้สมบูรณ์
            นั่นคือ EF
           
 ระยะ 4 หลักสูตรเฉพาะของจุนบิ คอร์สเรียนเทควันโด เพื่อเสริม EF

EF คืออะไร แล้วมีความสำคัญอย่างไร Executive Function หรือ EF คือความสามารถระดับสูงของสมองที่ใช้ในการควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบคือ Self Control (การควบคุมตนเอง) Working Memory (ความจำใช้งาน) และ Cognitive Flexibility (คิดยืดหยุ่น) เรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบแล้วละเลยคือเวลาที่เด็กจะพัฒนาความสามารถเหล่านี้มีเวลาวิกฤต critical period ในตัวของมันเอง นั่นคือประมาณก่อนอายุ 9 ขวบ คือเวลาที่สมองของมนุษย์จะเริ่มกระบวนการ synaptic prunning คือสลายจุดเชื่อมต่อประสาทที่ไม่ค่อยได้ใช้หรือฝึกปรือ กระบวนการนี้ไปสิ้นสุดที่อายุประมาณ 15 ปี นั่นหมายความว่าหากเรามิได้ให้เด็กเล่นมากพอ เขาอาจจะไม่เหลือวิธีคิดหรือวงจรประสาทที่รองรับวิธีคิดเหล่านี้อีกในอนาคต 

https://web.facebook.com/prasertpp/posts/759442747737555/?_rdc=1&_rdr
            สรุปแล้วการสร้าง EF คือการสร้างวงจรประสาทให้กับเด็ก วงจรประสาทที่ทำให้สมองเด็กชำนาญในการควบคุมอารมณ์และการกระทำ มีประสิทธิภาพที่จะเอาความรู้ที่เคยทราบมาใช้งานได้อย่างรวมเร็ว และคุ้นเคยกับการคิดยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนแผนรับมือกับความล้มเหลวและเดินต่อไปได้ ยกตัวอย่างเช่น หากเด็กอยู่ในสถานกรณ์ที่เพื่อนรักชวนเสพยาเสพติด และตัดสินใจจะทดลอง วงจรประสาทที่สร้างมาดีจะยับยั้งความคิดที่อยากทดลองเสพยา และชั่วเวลานั้นวงจรประสาทจะดึงเอาความรู้เรื่องยาเสพติดที่เคยเรียนรู้มาว่ามีโทษอย่างไรและผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร สมองจะสั่งให้ปรับเปลี่ยนแผนคือความตั้งใจเดิมที่จะมาทดลองยาเสพติด การทำงานของวงจรประสาทลักษณะนี้ยังปรับใช้ในการทำงานและการเรียน ตลอดจนเป็นพื้นฐานของการฝึกทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ซึ่ง Junbi playducation ได้วางเป้าหมายไว้ในหลักสูตร

             คุณหมออธิบายเพิ่มว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่นิสัยแต่เกิดจากหัดทำซ้ำๆจนสมองสร้างวงจรประสาทขึ้นมา หนึ่งในเครื่องมือพัฒนา EF ที่คุณหมอประเสริฐแนะนำคือ กีฬา “กีฬาและดนตรีเป็นการละเล่นที่ต้องใช้นิ้วมือสิบนิ้วอย่างซับซ้อน และ EF ครบทุกองค์ประกอบเช่นกัน” https://web.facebook.com/prasertpp/posts/1317454605269697?_rdc=1&_rdr
            จุนบิจึงคิดว่า จะดีกว่าหากเราตั้งเป้าเพื่อพัฒนา EF ให้เด็ก และถอดวิธีการของกีฬามาปรับใช้ให้ตรงเป้า แทนการเรียนการสอนแบบเก่าที่เอาผลของการแข่งขันเป็นเป้าหมายและพยายามฝึกฝนเทคนิกต่างๆเพื่อพิชิตเหรียญรางวัล ถึงแม้ว่าจะติดขัดหลายประการในสถานการณ์โรคระบาดโควิด19 ทำให้ไม่สามารถเปิดหลักสูตรได้ตรงตามเป้าหมาย แต่ก็นับว่าจุนบิได้มีแนวทางในแบบฉบับของตัวเองชัดเจนในการออกแบบกิจกรรมในห้องเรียน

เทควันโดจุนบิ
หลักสูตรเทควันโดของจุนบิมีเป้าหมายอยู่ที่พัฒนาการของเด็ก โดยมีเป้าว่าจะนำกีฬามาเป็นเครื่องมือเพื่อฝึกฝนเด็กให้มี EF ที่ดียิ่งขึ้น หลักจากศึกษาข้อมูลและเรียนรู้มาหลายปีจึงได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างจากการซ้อมเทควันโดแบบ Traditional มาออกแบบใหม่ในกรอบของห้องเรียนจิตวิทยาเชิงบวก และฝึกซ้อมตามโจทย์ของการพัฒนา EF ด้วยรูปแบบกิจกรรมที่หลากหลายทั้งกิจกรรมฐาน กิจกรรมกลุ่ม ซึ่งแบ่งระดับความเข้มข้นออกเป็น 3 รอบ ดังนี้
            EF basic (พัฒนามาจาก General เดิม)
            เทควันโด เพื่อพัฒนา EF ในระดับเริ่มต้นสำหรับเด็กทุกเพศทุกวัย โดยใช้การเล่นเป็นเครื่องมือ
จุนบิจึงได้นำกรอบคิดเกี่ยวกับ การเล่น ที่มีผลงานวิจัยมากมายว่ามีประโยชน์ต่อการทำงานของสมอง มาผนวกเข้ากับห้องเรียนเทควันโดไม่ว่าจะเป็นการเล่นเป็นเกม หรือเล่นด้วยอุปกรณ์ออกกำลังกาย จนเป็นคลาส Play-based Taekwondo เทควันโดในรูปแบบของการเล่นเพื่อให้เด็กทุกคนรู้สึกสนุกกับการเคลื่อนไหวร่างกาย
            EF intensive (พัฒนามาจาก Intensive เดิม)
            เทควันโด เพื่อพัฒนา EF ในระดับกลางเน้นพัฒนา Self-control โดยใช้การเตะเทควันโดเป็นเครื่องมือ
การฝึกฝนเทควันโดที่มีท่าเตะที่หลากหลาย จำเป็นอย่างยิ่งที่เด็กจะต้องฝึกควบคุมอารมณ์ การกระทำและความคิดของตนเอง ให้ “จดจ่อมีสมาธิ” “ไม่วอกแวก” และ “ประวิงเวลาที่จะมีความสุขหรืออดเปรี้ยวไว้กินหวาน” ได้ จุนบิจึงปรับโครงสร้างการฝึกซ้อม เป็นการฝึกซ้อมตามเป้าหมาย โดยใช้ประโยชน์จากปัจจัย 2 อย่างจากการฝึกกีฬา คือ “เวลา” และ “เป้าหมาย” มาออกแบบห้องเรียนให้เด็กๆฝึกตามโจทย์ เพื่อฝึกฝนวิธีคิดแบบ EF ให้เด็กทุกวันจนเกิดความชำนาญ

            EF advance (พัฒนามาจาก  Athletic เดิม)
            เทควันโด เพื่อพัฒนา EF ในระดับสูง เน้นพัฒนาองค์ประกอบทุกด้านของ EF คือ การควบคุมตนเอง (Self-control) ความจำใช้งาน (Working memory)  การคิดวิเคราะห์อย่างยืดหยุ่น (Cognitive flexibility) โดยใช้กติกาและการ
แข่งขันเป็นเครื่องมือ การแข่งขันต่อสู้จะเจอปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เด็กต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ตนเอง คิดวิเคราะห์สถานการณ์ เอาเทคนิกที่ฝึกมาใช้ และปรับเปลี่ยนแผนตลอดเวลา การฝึกซ้อมในรอบนี้เป็นลักษณะการฝึกเทคนิกและนำไปใช้ในการต่อสู้ ปัจจุบันจุนบิไม่สามารถพัฒนารอบนี้ได้อย่างต่อเนื่องเนื่องจากสถานการณ์วิด

            10 ปีสำหรับการเรียนรู้จากประสบการณ์ ตั้งคำถามและตามหาคำตอบ จนถอดบทเรียนออกมาเป็น Junbi Taekwondo Studio และ Junbi Playducation สถาบันที่ตั้งใจจะสร้างพื้นที่การเรียนรู้สร้างสรรค์สำหรับเด็ก อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าตอนนี้ยังมีปัญหาในรายละเอียดอีกมากที่ทีมงานกำลังพยายามเติมให้เต็ม ทั้งยังเผชิญกับการปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์โควิดที่ยากต่อการคงอยู่ของกิจการ แต่ยังมีความหวังว่าจุนบิจะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในวงการการศึกษาไทยในอนาคตอันใกล้
            พวกเราตั้งชื่อสถาบันว่า จุนบิ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว มาจากชื่อท่ายืนแสดงความพร้อมแบบหนึ่งของเทควันโดซึ่งมีความหมายว่า เตรียมพร้อม เราจึงเลือกใช้คำนี้เพื่อสื่อความหมายว่าที่นี่จะเป็นที่สำหรับเตรียมเด็ก ๆ ให้พร้อมกับการเป็นนักกีฬาที่เก่ง โดยหารู้ไม่ว่าจุนบิจะถูกขัดเกลาจนเปลี่ยนมาจนถึงความหมายในปัจจุบัน คือการเตรียมพร้อมสำหรับเด็กที่จะเติบโตไปสู่ศตวรรษที่ 21