“โลกใบนี้มันกว้างใหญ่เกินกว่าที่จะมานั่งตัดสินใครว่าเป็นยังไง” คุยกับ จ๋อมแจ๋ม-กานต์พิชชา กับความท้าทายในการรับโสเภณีใน RedLife
‘จ๋อมแจ๋ม-กานต์พิชชา พงษ์พานิช’ อาจยังไม่ใช่ใบหน้าที่คุ้นเคยนักสำหรับวงการภาพยนตร์ แต่หากคุณได้ดูภาพยนตร์เรื่อง ‘RedLife’ เราเชื่อว่า การแสดงของจ๋อมแจ๋มจะทำให้คุณสะดุดใจถึงขนาดอยากรู้ว่า นักแสดงหน้าใหม่คนนี้คือใคร แล้วทำไมถึงสามารถตีบทบาทโสเภณี ได้อย่างมีหัวจิตหัวใจขนาดนี้
ใน RedLife จ๋อมแจ๋มรับบทเป็น ‘มายด์’ เด็กสาววัยยี่สิบกว่า ที่แม้ว่าจะมี ‘เต๋อ’ (ธิติ มหาโยธารักษ์) เป็นคนรักอย่างเป็นตัวเป็นตน แต่เพราะความไม่ค่อยจะได้เรื่องได้ราวของเด็กหนุ่ม มายด์จึงยังจำเป็นต้องหาเงินเลี้ยงตัวเองด้วยการเป็นโสเภณีอย่างช่วยไม่ได้
แน่นอนว่า สำหรับภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต การต้องกระโดดมารับบทที่ท้าทายอย่างการเป็นโสเภณีย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อะไรคือเหตุผลที่จ๋อมแจ๋มสามารถตีบทนี้ได้อย่างแตกกระจาย เราอยากชวนคุณไปทำความรู้จักกับเธอให้มากขึ้น ผ่านบทสนทนาด้านล่างนี้
เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่า คุณเริ่มสนใจและเข้าสู่โลกของการแสดงได้อย่างไร
มันเริ่มจากการที่เราชอบละครเวทีก่อน ซึ่งพอเข้ามหา’ลัยเราก็ไปเรียนด้านละครเวทีโดยตรง แล้วระหว่างทางเราก็ได้ลองไปเล่นโฆษณาและเอ็มวีด้วย จนมันก็ผันมาเป็นหนังในที่สุด
อยากทราบว่า การที่คุณเรียนด้านการแสดงมานั้นมีประโยชน์กับการทำงานอย่างไรบ้าง
มากเลยค่ะ อันดับแรกคือมันให้ความรู้เรื่องการแสดงกับเราแหละ ส่วนอันดับสอง เรามีกระบวนการคิดที่เป็นระบบมากขึ้น และมองคนออกมากขึ้น ซึ่งมันช่วยในเรื่องการเรียนรู้และเข้าใจมนุษย์ ช่วยให้เรามองอะไรกว้างขึ้น
แล้วถ้าเปรียบเทียบกันระหว่างการเรียนการแสดงในมหา’ลัย กับการเวิร์กช็อปในกองถ่าย ‘RedLife’ แตกต่างกันอย่างไรบ้าง
จริงๆ ก็ไม่ค่อยต่างกันเลยค่ะ เพราะพี่ลักญ (เอกลักญ กรรณศรณ์ – ผู้กำกับ) ก็เน้นการอิมโพรไวซ์ตอนเวิร์กช็อปอยู่แล้ว ซึ่งเราก็ชอบการอิมโพรไวซ์อยู่แล้วด้วย
เสน่ห์ของการอิมโพรไวซ์คืออะไร
มันคือการที่เราจะด้นยังไงให้ยังอยู่ในกรอบของบทสนทนาให้ได้
อยากรู้ว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้คุณตัดสินใจรับบทเป็น ‘โสเภณี’ ในภาพยนตร์เรื่อง RedLife
จริงๆ แล้วช่วงที่จะเรียนจบ ‘ผู้หญิงขายตัว’ เป็นบทที่เราอยากเล่นมากๆ เราอยากจะพาตัวเองไปแตะจุดนั้นให้ได้ เพราะคนมักจะมองบทโสเภณีว่าต้องแรง หรือต้องเป็นคนไม่ดี แต่มันต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหรอ เพราะการเป็นโสเภณีก็เป็นอาชีพหนึ่งไม่ใช่เหรอ แต่ท้ายที่สุดเราก็ยังไม่มีโอกาสได้เล่นอยู่ดี กระทั่งอยู่ดีๆ ก็มีบทนี้เข้ามา เราก็เลยไปลองแคสต์ ตอนนั้นไม่ได้บอกพ่อแม่ด้วยนะ ขอไปลองแคสต์ก่อน ถ้าได้แล้วถึงค่อยบอก (หัวเราะ)
ตอนที่มาแคสต์เป็นโสเภณี คุณใช้วิธีการแสดงแบบไหน
ตอนนั้นเราลองใช้ความเป็นตัวเองก่อน เผื่อมันจะผสมเข้ากับตัวละครได้ แล้วเราก็ลองคิดว่า ถ้าต้องอยู่ในโพสิชันแบบเขาเราจะทำยังไง ซึ่งตัวละคร ‘มายด์’ มีความใกล้เคียงกับเราในหลายมิติ เช่น เรื่องครอบครัว การใช้ชีวิต หรือการที่ต้องเริ่มทำงานตั้งแต่เด็กๆ
การที่คุณเป็นนักแสดงใหม่ แล้วอยู่ๆ ต้องมาเจอกับนักแสดงมืออาชีพ มีความกดดันไหม
ไม่นะ เรารู้สึกว่าเป็นความโชคดีด้วยที่พวกพี่ๆ เขาน่ารักกันมากๆ อย่างพี่แบงค์ (ธิติ มหาโยธารักษ์) ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพี่ชายตั้งแต่แรก หรือครูนาย (มานพ มีจำรัส) ก็เป็นผู้ใหญ่ที่น่ารักมากๆ เราได้นั่งคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตกันเยอะ บวกกับเราเป็นคนที่เฉยๆ กับคนดังอยู่แล้วด้วย เราก็เลยจะทรีตทุกคนเท่ากันหมด ไม่ได้เอาตัวเองไปวัดว่าเรายังขาดอะไร
จากที่ครั้งหนึ่งเคยฝันว่าอยากเล่นบทโสเภณี จนมาวันนี้ที่คุณได้มาเล่นบทนี้จริงๆ อยากรู้ว่าสิ่งที่ฝันกับความเป็นจริงเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
มันไม่เหมือนที่คิดไว้เลย เพราะเมื่อเราได้มาสัมผัสกับพี่ๆ เขาจริงๆ เราเลยได้เห็นความน่ารักของพวกเขา ได้เห็นชีวิตปกติของพวกเขา จนเรารู้สึกเสียดายที่คนอื่นชอบจะตัดสินคนกลุ่มนี้ง่ายๆ อย่างวันก่อนเราก็เห็นคอมเมนต์ในเฟซบุ๊กที่บอกว่า ทุกคนมันเลือกได้หมดว่าจะทำอาชีพอะไร ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เพียงแต่ด้วยสภาพสังคมที่ตีกรอบไว้ มันทำให้ทุกคนเลือกไม่ได้ เราไม่มีทางรู้เลยว่าถ้าต้องไปอยู่ตรงนั้นแล้วเราจะคิดแบบไหน หรือจริงๆ แล้วพี่ๆ โสเภณีเขาอาจเต็มใจเลือกที่จะทำงานนี้ก็ได้ เราเลยคิดว่า หนังเรื่อง RedLife จะทำให้คนเปิดกว้างมากขึ้น
ชอบไหมกับการได้เล่นบทนี้
ชอบค่ะ ไม่ได้หมายความว่าอยากเป็นนะ แต่มันโอเคที่ได้รับบทนี้และมองว่าโสเภณีคือมนุษย์คนหนึ่งและเป็นแค่อาชีพหนึ่งจริงๆ
คุณได้เรียนรู้อะไรจากการรับบทเป็นโสเภณีบ้าง
เราได้รู้ว่ากลุ่มคนที่มาใช้บริการโสเภณีนั้นหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นพระ คนที่มีแฟนแล้ว คนที่สำเร็จความใคร่กับแฟนไม่ได้ หรือกระทั่งคนที่อยากจะมีเพศสัมพันธ์แบบฮาร์ดคอร์กับแฟน แต่ทำไม่ได้ เราเซอร์ไพรส์กับข้อมูลเหล่านี้ ซึ่งด้วยความที่เรายังเป็นเด็กอยู่ พอได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้มันก็ทำให้ตระหนักว่า
โลกใบนี้มันกว้างใหญ่เกินกว่าที่จะมานั่งตัดสินใครว่าเป็นยังไง เราได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการรับบทโสเภณี และอยากให้ทุกคนเข้าใจว่า ทำไมอาชีพนี้จึงควรถูกกฎหมายและได้รับความเคารพได้แล้ว
ภูมิใจในตัวเองไหม
ภูมิใจมากค่ะ มันเป็นหนังที่เราภูมิใจมาก โดยที่เราก็รู้สึก fit in กับทุกอย่างในระหว่างการถ่ายทำ ไม่ว่าจะเป็นห้องที่อยู่ หรือที่นอน เรารู้สึกว่าพื้นที่ของมายด์คือพื้นที่ของเราจริงๆ
ในความคิดของคุณ มายด์ เป็นคนแบบไหน
คิดว่าเป็นเด็กคนหนึ่งที่ถูกเลี้ยงดูมาในแบบที่เด็กอย่างเราไม่เคยโดนเลี้ยงดูมา เด็กที่อยู่ๆ พ่อก็มาหายไป จนมายด์สับสนในชีวิต กระทั่งพอจับลู่ทางได้ว่าสามารถหาเงินได้จากการเป็นโสเภณี โดยที่ลึกๆ แล้ว มายด์แค่ต้องการความรักจากใครสักคนที่เชื่อว่าจะสามารถอยู่ด้วยกันได้ไม่ว่าจะในวันที่ร้ายหรือดี มายด์เป็นเด็กที่ยอมให้กับทุกอย่าง แต่การให้ของมายด์คือการที่อยากได้รับความมั่นคงด้วย ได้รับความเชื่อมั่นว่าคุณจะไม่ไปไหน เพราะถ้าวันหนึ่งคุณหายไป มายด์ก็พร้อมจะเซได้เหมือนกัน
พอต้องมารับบทที่จมมากๆ แบบนี้ คุณเคยดิ่งไปกับมันบ้างไหม
มันมีช่วงที่เล่นเสร็จแล้วกลับมาดิ่งที่บ้านเหมือนกัน
แล้วคุณใช้วิธีคลี่คลายมันออกมาอย่างไร
ร้องไห้ค่ะ เราเป็นคนที่มีเอเนอร์จีบวกนะ แต่ถ้าเหนื่อยมากๆ เราก็จะกลับบ้านมาร้องไห้ บางทีมันมีอะไรหลายอย่างติดอยู่ในหัว ซึ่งเราก็จะกลับมาปลดปล่อยที่บ้าน
คุณตีความชื่อหนัง ‘RedLife’ ว่าอย่างไร
ชีวิตดาร์กๆ ชีวิตที่ไม่ได้สวยงามอะไร
เมื่อคุณเห็นสีแดง คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง
รู้สึกถึงความกดดันค่ะ ความกดดันในชีวิต
คุณอยากให้คนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้รู้สึกอย่างไรกับตัวละครมายด์
เราขอปล่อยฟรีแล้วกันว่าเขาจะรู้สึกยังไง แค่อยากให้เข้าใจว่า ผู้หญิงก็มีความคิดและความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน เพราะความรักมันกว้างใหญ่มาก ซึ่งความรักของมายด์มันอาจดุดันจนทำให้บางคนงง แต่มันก็เป็นอีกมุมหนึ่งที่เราอยากให้เห็นว่า มันก็มีความรักแบบนี้อยู่เหมือนกัน
ถ้ามีโอกาสที่คุณจะสามารถนั่งคุยกับมายด์ได้ คุณอยากจะบอกอะไรกับเธอ
เก่งแล้ว พอแล้ว โตมาได้ขนาดนี้ก็เก่งแล้ว คงชื่นชมเขาแหละ เพราะกว่าที่ใครสักคนจะเติบโตขึ้นมาได้มันไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องทำงานหนัก ไหนจะต้องมาแบ่งเงินในแต่ละเดือนอีก มันเหนื่อยมากนะ แถมปัญหาในชีวิตของแต่ละคนยังไม่เหมือนกันอีก
ถ้าได้เจอกับมายด์เราคงจะชื่นชมเขาแหละ จริงๆ ก็คงชมทุกคน ชมตัวเองด้วย (ยิ้ม)