สภาพอ่อนล้าโรยแรงของตัว จอห์น วิค ในการรับชมตลอด 169 นาที รวมไปถึงการกำหนดตัวบทกฎหมายในจักรวาลนักฆ่า อาจจะทำให้เวลา 2 ชั่วโมง 49 นาที เต็มไปด้วยความอึดอัดไม่ใช่น้อยในฐานะหนังแอ็กชั่นที่ต้องดำเนินเรื่องอย่างฉับไว และใช้วิชวลเป็นตัวประกอบการตัดสินใจของคนดูในยุคสมัยที่ ‘Max is More’ อย่างทุกๆ วันนี้
และหากย้อนกลับไปมองในภาคแรก นับตั้งแต่ที่ โจนาธาน วิค วางมือจากการเป็นนักฆ่า แต่ต้องมาจับปืนผาหน้าไม้อีกครั้งเมื่อหมาสุดที่รักของเขาตาย จนกลายเป็นการเดินทางไปพบกับจักรวาลแห่งนักฆ่า ก็จะพบว่าเป็นย่างก้าวที่ไกลจากจุดแรกไปอย่างมาก แม้ตัวผู้กำกับจะกล่าวอ้างว่าตัวเขาเองได้วางพิมพ์เขียวในจักรวาลนี้ไปทั้งหมดแล้ว แต่ร่องรอยของการถือกำเนิดใหม่ของตัวละคร ไปจนถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่สภานักฆ่าได้กำหนดเอาไว้ ก็ดูจะเป็นการเพิ่งร่างธรรมนูญแห่งนักฆ่าเอาไว้ไม่นานนัก บวกกับความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าของตัว จอห์น วิค เอง ช่วงเริ่มต้นของหนังภาคที่ 4 จึงเป็นการเดินเครื่องที่เชื่องช้า และไม่มีประโยชน์อันใดเลยที่จะพยายามเข็นเรื่องราวมาจนถึงภาคที่ 4 นี้ รวมไปถึงซีนแอ็กชั่นที่ค่อนข้างซ้ำ วิชวลที่เราเห็นจากภาค 2 ภาค 3 มาแล้ว ก็แอบเอะใจในความไม่ชอบมาพากลของหนังเรื่องนี้อยู่พอสมควร
แต่เมื่อหนังดำเนินไปถึงช่วงครึ่งหลัง จากเครื่องยนต์ที่เกือบจะพัง กลับแล่นฉิววิ่งเร็วดุจติดเทอร์โบได้อย่างเหลือเชื่อ แฟรนไชส์ John Wick ไม่เพียงแค่การนำพาคนดูสู่อีกโลกของหนังแอ็กชั่นวิสัยทัศน์ใหม่เท่านั้น แต่ยังยกระดับการต่อสู้ให้กลายเป็นงานศิลปะได้อย่างที่หนังแอ็กชั่นเรื่องไหนไม่เคยได้ทำ
ความทะเยอทะยานในการหาเหลี่ยมมุมของซีนแอ็กชั่นใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้แบบวันแมนโชว์ท่ามกลางศัตรูมากมายกลางถนนที่รถราขวั่กไขว่ตรงประตูชัยเมืองปารีส หรือการปรับมุมมองการต่อสู้ในแบบ Bird Eye View เพื่อโชว์ศักยภาพการถ่ายทำในแบบ Long Take หรือซีนสู้กันบนบันไดก่อนจะขึ้นไปยังมหาวิหารซาเคร-เกอร์ ไปจนถึงซีนไคลแมกซ์ ‘การดวลอำลาก่อนฟ้าสาง’ ทั้งหมดถูกแออัดยัดทะนานในช่วงครึ่งหลังของหนัง แม้กระทั่งผู้ชมเองก็แทบไม่มีเวลาหายใจ
John Wick Chapter 4 จึงไม่อาจตัดสินได้เลยเมื่อดูผ่านแว่นของการดูหนังเพื่อ ‘เอาเรื่อง’ เพราะเทียบกับความยาวของหนังแล้ว การดำเนินเรื่องเป็นเพียงกลไกเพื่อขับเคลื่อนหนังให้ได้ไปต่อเท่านั้น แต่สิ่งที่น่าติดตามมากกว่าคือ ฉากแอ็กชั่นที่คิดหนัก คิดมาก และก็คิดเยอะของหนัง โดยเฉพาะการเลือกเมืองปารีสที่มีประวัติการต่อสู้ทางการเมืองมาอย่างยาวนาน กลับกลายเป็นเส้นเรื่องรองอันแสนมหัศจรรย์ที่เปิดโอกาสให้คนดูได้ตีความอย่างอิสรเสรี รวมไปถึงการดีไซน์วิชวลอันแสนล้ำ จนทำให้ John Wick นำหน้าอีกขั้นและห่างชั้นจากหนังแอ็กชั่นทั่วไปเสมอ
การเรียก John Wick Chapter 4 ว่าเป็นหนังแอ็กชั่นที่เต็มเปี่ยมไปด้วยศิลปะ อาจจะเป็นคำกล่าวที่เกินจริงเกินไป แต่การพยายามยกระดับหนังจากหนังล้างแค้นแทนหมาและภรรยาที่จากไป กลายเป็นการวิพากษ์ระบบการปกครองแบบมีสุนทรียศาสตร์ที่พรั่งพร้อมไปด้วยซีนแอ็กชั่นแบบคิดเยอะ ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จริงๆ ว่า John Wick Chapter 4 คือหนังแอ็กชั่นที่โคตรอาร์ตของจริง