ทำความรู้จัก ‘จิโจะ เคียวโจะ โคโจะ’ แผนรับมือภัยพิบัติแบบญี่ปุ่น ที่เราควรเรียนรู้
จากสถานการณ์ไฟไหม้โรงงานในซอยกิ่งเเก้ว เขตบางพลี สมุทรปราการ ทำให้ประชาชนที่อยู่อาศัยในรัศมี 5 กิโลเมตรอพยพทันทีเเละโดยรอบยังคงต้องเฝ้าระวังเพื่อความปลอดภัย ถึงแม้ประเทศไทยเองจะไม่ใช่ประเทศที่เผชิญกับภัยพิบัติเป็นประจำ แต่ว่าการเตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อรับมือกับภัยพิบัติ หรือเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ สำคัญอย่างมาก
วันนี้ BrandThink ขอชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับ ‘จิโจะ เคียวโจะ โคโจะ’ หลักการรับมือกับภัยพิบัติจากประเทศญี่ปุ่นที่พาพวกเขาผ่านภัยพิบัติครั้งใหญ่มาได้นับครั้งไม่ถ้วน
หลักการ จิโจะ เคียวโจะ โคโจะ เกิดขึ้นในต้นสมัยนารา (ค.ศ.710-794) หรือประมาณหนึ่งพันปีก่อน เป็นหลักที่ริเริ่มให้ประชาชนช่วยเหลือตนเองจากภัยพิบัติ เเนวคิดนี้เเบ่งการรับมือกับภัยพิบัติเป็น 3 ระดับ ได้เเก่ ช่วยเหลือตนเอง ช่วยเหลือกันเเละกัน ช่วยเหลือโดยภาครัฐ
เเนวคิดนี้กลับมาเป็นที่ยอมรับอีกครั้งจากบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี ค.ศ. 1995 หลังพบว่า
67% ของประชาชนมีชีวิตรอดจากการช่วยเหลือตนเอง 31% รอดจากการช่วยเหลือของคนในชุมชน และมี 2% เท่านั้นที่รอดจากการช่วยเหลือโดยภาครัฐที่เคยมีบทบาทหลักในการช่วยเหลือประชาชน
โดยสัดส่วนของ จิโจะ เคียวโจะ โคโจะ เเบ่งเป็น 70 20 10 ตามลำดับ
1.จิโจะ – การช่วยเหลือตนเอง
ญี่ปุ่นได้เรียนรู้ว่าประชาชนเเต่ละคนจะต้องติดตามสถานการณ์เเละเตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติด้วยตนเอง รวมถึงดูเเลครอบครัวเเละทรัพย์สินของตนเองด้วย เช่น
การตกเเต่งภายในบ้านให้เหมาะสม เพราะร้อยละ 80 ของการเสียชีวิตของเหตุการณ์เเผ่นดินไหวมาจากผนังหรือเฟอร์นิเจอร์ล้มลงทับจนขาดอากาศหรือไม่สามารถอพยพได้ เตรียมถุงยังชีพบรรจุสิ่งของจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตในภาวะวิกฤติ 3 วันต่อ 1 คน และการร่วมซ้อมแผนภัยพิบัติ
2. เคียวโจะ – การช่วยเหลือกันเเละกัน
เมื่อเกิดภัยพิบัติเป็นไปได้อย่างมากที่การสื่อสาร เส้นทาง จะถูกตัดทำให้การช่วยเหลือจากภายนอกไม่สามารถเข้ามาได้ หลายพื้นที่ในญี่ปุ่นจึงพยายามสร้างชุมชนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ช่วยเหลือกันในชุมชน เพื่อความปลอดภัย เศรษฐกิจในชุมชนเเละความเข้มเเข็งในการรับมือภัยพิบัติ เช่น
- กระดานจัดการข้อมูลผู้อพยพ
- กระดานที่มีป้ายชื่อของทุกคนในชุมชน เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้นผู้ประสบภัยจะนำป้ายชื่อมาติดที่อกเมื่อมาถึงศูนย์อพยพ ทำให้รู้ว่ามีใครบ้างที่ยังไม่มาถึงเพื่อเข้าช่วยเหลือได้เร็วที่สุดเเละยังมีข้อมูลที่สำคัญของผู้ประสบภัย
เช่น ที่อยู่ กรุปเลือด ของคนในชุมชน ไว้สำหรับการช่วยเหลือฉุกเฉิน - การจัดซ้อมรับมือภัยพิบัติในรูปแบบของเกมแรลลี่ ดึงให้ประชาชนอยากเข้าร่วมมากขึ้น
- จัดตั้งองค์กรป้องกันภัยพิบัติในภาคประชาชน
3. โคโจะ – การช่วยเหลือโดยภาครัฐ
โคโจะ รวมถึงความช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้อง ชาวญี่ปุ่นทุกคนจะรู้ดี โคโจะ เป็นความช่วยเหลือที่ช้าที่สุด ความช่วยเหลือจากภาครัฐอาจใช้เวลา 3 วันเพื่อเข้ามาในพื้นที่ประสบภัย ทำให้ภาครัฐต้องเเจ้งให้ประชาชนรู้จักการช่วยเหลือตนเองเเละภายในชุมชน เเต่ภาครัฐเองก็ต้องพัฒนาเพื่อรับมือกับภัยพิบัติเหมือนกัน เช่น
- พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้พร้อมต่อภัยพิบัติ เช่น การขุดลอกคลอง เสริมเเนวกั้นน้ำ
- กำหนดนโยบายการรับมือกับภัยพิบัติให้ชัดเจน
- กำหนดสถานที่อพยพ เส้นทางในการอพยพ ความช่วยเหลือต่าง ๆ ให้ชัดเจน
และปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การจัดการภัยพิบัติในญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในหลาย ๆ ครั้ง ได้เเก่
การพัฒนากฎหมาย, การวางนโยบายในการรับมือภัยพิบัติ, การส่งเสริมการวิจัยเเละพัฒนาการรับมือร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ การเตรียมตัวของภาคเอกชน การซ้อมรับมือ เเละการมีจิตสาธารณะ
ที่ใช้คู่ไปกับการช่วยเหลือทั้ง 3 แบบ
หรือพูดง่ายๆ ทั้ง 3 แกนมีบทบาทสำคัญในการเอาตัวรอด แต่การจัดการส่วนตัวหรือ “จิโจะ” ดูเหมือนจะมีส่วนมากที่สุดในการรอดชีวิตในแต่ละครั้ง คือถ้าเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นมา การดูแลตัวเอง และการเตรียมพร้อมตัวเอง น่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าภาครัฐไม่ควรมีบทบาทอะไร เพราะอย่างที่เรากล่าวไป ถึงแม้จะเป็นขั้นที่ 3 ที่ตามมาทีหลัง แต่มันก็สำคัญในช่วงการเตรียมพร้อม ช่วยเหลือ และฟื้นฟูมากเช่นกัน
อ้างอิง
- Japan’ s Secret to Resilience: Jijo, Kyojo, and Kojo. https://bit.ly/3AzBjRk
- บทเรียนจากญี่ปุ่น: ปัจจัยสําคัญในการบริหารจัดการเพื่อความอยู่รอดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ https://bit.ly/3Aw6YDp