ทำงานยังไงไม่ให้บ้าไปซะก่อน! 5 คำแนะนำการทำงานแบบใหม่ ที่จะทำให้คุณไม่ประสาทแ*ก ตายไปก่อน
- ทำงานได้ แต่ต้องสบายด้วย
- ทำงานหนักไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป
- เลิกตามข่าวสาร
- บริษัทไม่ใช่ครอบครัว
- ปล่อยไปก่อนแล้วค่อยเรียนรู้
เราจะทำงานอย่างไรไม่ให้เป็นบ้าไปก่อน วันนี้เราจะพูดคุยประเด็นนี้จากหนังสือ ‘ทำงานยังไง ไม่ให้บ้าไปซะก่อน!’ (It doesn’t have to crazy at work) เขียนโดย เจสัน ฟรีด และเดวิด ไฮเนอไมเออร์ ทั้งคู่เป็นผู้บริหารบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์รายใหญ่ชื่อ Basecamp ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ผลิตปรัชญาการทำงานที่เชื่อมั่นในเรื่อง Calm Company หรือการทำงานที่สงบสุข โดยไม่จำเป็นต้องโหดร้ายหรือโกลาหลอยู่ตลอดเวลา และหนังสือ ‘ทำงานยังไงไม่ให้บ้าไปซะก่อน!’ ก็นับเป็นหนังสือขายดีระดับ International Bestseller
เราขอหยิบ 5 ประเด็นในหนังสือที่จะช่วยให้เข้าใจรูปแบบการทำงานในยุคใหม่ได้ดี และมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม มาเล่าสู่กันฟัง
1. ความสบาย
ในโลกของการทำงาน พอพูดถึงคำว่า ‘สบาย’ หลายคนอาจจะรู้สึกถึงพลังในแง่ลบ ดูขี้เกียจ ดูไม่โปรดักทีฟ ดูไม่เอางานเอาการ ซึ่งหลายคนน่าจะเคยได้ยินคำว่า ‘ก้าวผ่านคอมฟอร์ตโซน’ อยู่บ้าง การก้าวออกไปในพื้นที่ที่เราไม่คุ้นชิน พื้นที่ที่ยากลำบาก จะทำให้เราเติบโต ในบางครั้งอาจจะใช่ แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่เป็นเช่นนั้น
เราไม่ได้จำเป็นต้องก้าวผ่านคอมฟอร์ทโซนเสมอไป บางครั้งสิ่งที่ยิ่งใหญ่ก็มาจากการดำดิ่งลงไปในโพรงกระต่ายของตัวเอง เพราะหลายครั้ง ความเชี่ยวชาญมักเกิดจากความรู้ที่ลึก ไม่ใช่ความรู้ที่กว้าง ถ้าคุณรู้สึกว่าลำบากใจเกินไปในการทำงาน ทุรนทุรายเกินไปในการจัดการกับอะไรบางอย่าง ก็ไม่ได้แปลว่า คุณมาถูกทางเสมอไป
เช่น การทำงานโดยที่ไม่เห็นจุดจบ การทำงานอย่างหนักแบบไม่มีวันพักผ่อน ถ้าคุณเลือกที่จะเก็บความลำบากนั้นจนเป็นนิสัย คุณจะเสียความเป็นตัวเอง และศีลธรรมประจำตัวเลยก็ได้
2. หมดยุคการทำงานหนัก
สำหรับคนยุคก่อน หรือในบางวัฒนธรรม การทำงานหนัก การทำงานเกินเวลา การทำงานจนดึกดื่น อาจจะเป็นเรื่องดี แต่ในปัจจุบัน ใช่จะเป็นแบบนั้นเสมอไป
การทำงานที่ดี อาจหมายถึง การทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ดี เคารพในงาน เคารพลูกค้า เคารพผู้คน ไม่ใช่ทำงานหนัก แต่ไม่มีใครอยากทำงานด้วย ทำงานหนักแต่ไม่ได้ช่วยให้ระบบดีขึ้น แต่การเป็นที่พึ่งพิงของคนในองค์กรได้ต่างหาก ที่ช่วยให้ระบบเดินไปข้างหน้า
หนังสืออธิบายต่อว่า คนที่ประสบความสำเร็จไม่ได้แปลว่า คนๆ นั้นจะตั้งหน้าตั้งตาทำงานหนักเพียงอย่างเดียว แต่เขา ‘ทำงานฉลาด’
คนเราประสบความสำเร็จได้ ก็เพราะมีความสามารถ โชคดี อยู่ถูกที่ถูกเวลา รู้วิธีการทำงาน รู้รายละเอียดต่างๆ และเหตุผลอื่นๆ อีกมาก
แปลง่ายๆ ก็คือ work smart ไม่ใช่ work hard นั่นเอง
3. เลิกตามข่าวสาร
‘ข่าวสาร’ นับว่าเป็นสิ่งที่เข้าถึงง่ายในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องของ Fear of missing out หรือว่าอาการกลัวการตกข่าว เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคน กลัวว่าเราจะไม่รู้เรื่อง กลัวว่าเราจะตามไม่ทัน แล้วความรู้สึกเหล่านี้จะผลักดันให้เราเสพติดการเล่นโซเชียลมีเดียอย่างปฏิเสธไม่ได้ แล้วมันก็เข้ามาถึงโลกของการทำงานอีกด้วย
ถ้าเราสังเกต เราจะรู้สึกเลยว่า ข้อความในมือถือเรา มักจะแจ้งเตือนสิ่งที่ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น ซึ่งหลายครั้งเรามักจะแอบคิดว่า ‘มันน่าจะสำคัญ’ แต่เอาจริง ส่วนมากมันไม่ได้สำคัญ หรือเร่งด่วนอะไรขนาดนั้นเลย
แทนที่องค์กรยุคใหม่จะสนับสนุนให้ตามข่าวให้ทัน แต่ที่ Basecamp (บริษัทของผู้เขียนหนังสือ) กลับพยายามสนับสนุนให้คุณตกข่าวบ้าง เพราะคุณจะได้ไม่ข้อมูล overload มากเกินไป คุณจะไม่ได้เจอกับข้อมูลที่ไม่จำเป็นที่เข้ามาเต็มสมอง การตกข่าวจะทำให้ระบบการทำงาน เน้นการสรุปที่ชัด แม่นยำมากยิ่งขึ้น
หนังสือเล่มนี้ระบุว่า หลายบริษัทในทุกวันนี้พยายามทำให้เกิดความรู้สึกว่า ทุกรายละเอียดเป็นสิ่งสำคัญที่คุณต้องรู้ตอนนั้น เดี๋ยวนั้น ต้องรู้ทุกเรื่อง ทุกตัวเลข ทุกชื่อ ทุกเหตุการณ์ และแน่นอน สิ้นเปลืองพลังมาก แถมเสียสมาธิอีกต่างหาก
ซึ่งการเสียสมาธิส่งผลให้การทำงานไม่มีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้น ลองพาตัวเองมาสู่โลกออฟไลน์บ้าง คือถ้ามีอะไรที่สำคัญเร่งด่วนจริงๆ คนอื่นจะหาทางติดต่อคุณให้ได้สักวิธีใดสักวิธีหนึ่งอย่างแน่นอน
4. บริษัทไม่ใช่ครอบครัว
หลายองค์กรพยายามหยิบยกประโยค ‘เราเป็นครอบครัว เราทำงานกันเหมือนครอบครัว เราดูแลกันแบบครอบครัว แบบญาติพี่น้อง’
หนังสือบอกว่า เราไม่ใช่ครอบครัวครับ เราคือเพื่อนร่วมงาน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่ได้สนใจกันและกัน ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่ดูแล ไม่ทำอะไรให้กัน เรารัก เราใส่ใจ เรายินดีที่จะช่วย แต่เราไม่ใช่ครอบครัว เราต้องไม่หลอกตัวเองหรือใครอื่น เราคือกลุ่มคนที่ร่วมกันทำงาน เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ หรือองค์กรที่ดี เราได้รับเงินเดือน แล้วเราภูมิใจกับสิ่งนั้น ก็แค่นั้น
เพราะฉะนั้นบริษัทที่ดีที่สุดไม่ใช่ครอบครัว แต่บริษัทที่ดีคือบริษัทที่สามารถสนับสนุนครอบครัวจริงๆ ของคุณได้ เป็นพันธมิตรของครอบครัว และจัดเตรียมสภาพแวดล้อมการทำงานที่เติมเต็มและพรั่งพร้อม ทันทีที่คนทำงานปิดคอมของตัวเอง พวกเขาจะสามารถกลับไปหาครอบครัวที่เขารัก สามี ภรรยา ลูก พ่อแม่ และใช้เวลาร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. ปล่อยงานออกไปก่อนแล้วค่อยเรียนรู้
ถ้าคุณอยากรู้ความจริง เกี่ยวกับสิ่งที่คุณสร้าง คุณต้องลองปล่อยมันออกไปก่อน
ถึงแม้ว่าการเตรียมตัวจะเป็นสิ่งที่ดี แต่เอาเข้าจริง การปล่อยงานออกไปเท่านั้น ถึงจะรู้ได้ว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร เวิร์คหรือไม่เวิร์ค ดีแค่ไหน แก้ปัญหาจริงได้ไหม ราคาเหมาะสมหรือเปล่า สิ่งเหล่านี้ จะปรากฏตอนปล่อยงานออกไปแล้วเท่านั้น
แต่ถ้าคุณเอาแต่ถามคำถาม และพยายามหาคำตอบอยู่ในหัว ผลลัพธ์ที่ได้จะมีแต่ความวิตกกังวล คาดเดา และลังเล
คำแนะนำคือ คุณควรทำงานให้สุดความสามารถ เชื่อในงานที่ทำ แล้วปล่อยมันออกไป ผลตอบรับอาจจะตรงตามโจทย์ บางทีอาจจะห่วยแตก บางทีก็ก้ำกึ่ง ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร สิ่งที่คุณจะได้รับ คือการพบความจริง
สุดท้ายนี้ หนังสือเล่มนี้บอกเล่าวิธีคิดเกี่ยวกับการทำงานที่ ‘แหวกขนบ’ การทำงานในยุคนี้อยู่มาก แต่ใช่ว่าทุกประโยคจะถูกต้องเสมอไป เพราะฉะนั้นจงหยิบไปอย่างระมัดระวัง เลือกสิ่งที่เหมาะสมไปใช้อย่างเป็นประโยชน์กับคุณ น่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด รวมถึง 5 ข้อนี้ด้วยนะครับ
แล้วคุณล่ะ การทำงานทุกวันนี้เป็นอย่างไร จะยอมทำงานกันจนเป็นบ้าไปเลยหรือเปล่า?
อ้างอิง
ทำงานยังไงไม่ให้บ้าไปซะก่อน! (It doesn’t have to crazy at work)
เขียน: เจสัน ฟรีด และเดวิด ไฮเนอไมเออร์
แปล: จินดารัตน์ ธรรมรงวุทย์
สำนักพิมพ์: Amarin how to
สั่งซื้อได้ที่: https://www.naiin.com