เธอกับฉันกับหนัง พูดคุยกับ แวววรรณ-วรรณแวว หงษ์วิวัฒน์ กับการทำงานร่วมกัน แบบไม่มีวันแยกจาก

15 Min
1214 Views
21 Feb 2023

“ไม่อยากแยก
มีแต่ความรู้สึกว่าจะไม่แยกจากกันอีกแล้ว
มีความรู้สึกว่าถ้าเกิดไม่มีสองคนก็อาจจะทำหนังไม่สำเร็จ
หรือถ้าเรื่องต่อไปอีกคนนึงไม่ทำ อีกคนนึงก็อาจจะไม่อยากทำ”

เรื่องราวฝาแฝด ที่กำกับโดยฝาแฝด อาจจะเป็นจุดขายที่น่าจะโดนใจคนดู หากแต่เรื่องราวของ แวววรรณ-วรรณแวว หงษ์วิวัฒน์ และหนัง ‘เธอกับฉันกับฉัน’ มีอะไรที่น่าค้นหา และน่าติดตามมากกว่านั้น ฟังเรื่องราวชีวิตของเธอและกระบวนการทำหนังที่น่าสนใจ
ได้จากบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้กันเลย

อยากให้เล่าจุดเริ่มต้นของการได้เข้าสู่วงการการทำหนังตั้งแต่แรก

วรรณ: ถ้าตั้งแต่แรกเลยก็ตั้งแต่สมัยเรียนมั้งคะ คือวรรณเรียนนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ส่วนแววเขาเรียนเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ แต่ว่าพอเราต้องทำหนังสั้นตอนเรียน เราก็ชวนเขามาช่วยกันออกไอเดีย แล้วสุดท้ายก็กำกับด้วยกันไปเลย

แวว: คือในหนังโปรเจกต์จบของวรรณก็จะมีชื่อแววอยู่ด้วย แต่แววไม่ได้เกรด

จุดเริ่มต้นของการชอบหนังมาจากคุณวรรณก่อน?

วรรณ: ก็ไม่เชิง เหมือนตอนนั้นเราก็ไม่ได้มีแพสชันอะไรรุนแรงเบอร์นั้น เราก็แค่เลือกเรียนนิเทศฯ เพราะเราไม่เก่งเลข ไม่เก่งวิทย์ ไม่ได้เรียนวิทย์มา แล้วตอนแรกๆ เข้าไปเรียนนิเทศฯ ก็คิดที่จะเรียนวารสารฯ ด้วยซ้ำ แต่วารสารฯ มันเน้นหนังสือพิมพ์ไม่ได้เน้นแมกกาซีนแบบที่เราตั้งใจไว้ ก็เลยเปลี่ยนไปเรียนฟิล์มเพราะว่า เออ…มันเรียนสบายสุดอะไรอย่างนี้

แวว: เหมือนเรารู้สึกว่าเด็กยุคเราจะเป็นยุคที่แบบ…เรียกยุคหรือเปล่าไม่รู้ แต่ว่าเราเป็นเหมือนที่เด็กหลายๆ คนก็เป็นกัน ที่ไม่ได้รู้ว่าตัวเองชอบทำอะไร อยากเป็นอะไร อยากทำอะไร มันก็แค่เรียนไปตามระบบการศึกษา เราก็เลยใช้วิธีตัดชอยส์มากกว่า อย่างแววเรียนสายวิทย์ใช่ไหม ที่เรียนสายวิทย์ก็เพราะว่าเลือกตามเพื่อน เหตุผลแบบเบสิกมาก เสร็จแล้วพอไปเรียนปุ๊บ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะมันไม่ได้เลย ไม่ชอบเลยจริงๆ เราก็ตัดออกตอนเอนทรานซ์ เราก็ตัดฟิสิกส์ เคมี ชีวะออก แต่ว่าเราคะแนนเลขสูงไง ก็เลยได้เศรษฐศาสตร์ ส่วนวรรณเขาก็เลือกศิลป์-คำนวณ ก็คือเลือกตามเพื่อนเหมือนกันถูกไหม

วรรณ: ใช่ เราว่าเด็กยุคนั้นไม่ค่อยเหมือนยุคนี้ ที่เขาเสพสื่อเยอะ เเล้วเขารู้ว่าเขาต้องการอะไรได้เร็ว หรือเข้าถึงความชอบอันหลากหลายได้เร็วกว่าของเรา แล้วเราก็เลือกเข้านิเทศฯ เพราะว่าที่บ้านทำนิตยสารก็เลยอยากจะเรียนวารสารฯ แค่นี้เลย คิดแบบเบสิกมาก แล้วกลายเป็นว่ามาเข้าวารสารฯ ก็มาเรียนฟิล์ม

แวว: ส่วนแววก็มาเรียนเศรษฐศาสตร์ เขาก็ไม่อิน มันไม่ค่อยมีกิจกรรม เราก็เลยมีเวลาว่างไปทำหนังกับวรรณ แล้วก็ค่อยๆ เจอว่า เออมันสนุกกว่าเรียนเศรษฐศาสตร์อะ

ถ้าอย่างนั้นเท่ากับว่าคุณแววเริ่มชอบหนังจากการลงมือทำพร้อมกับคุณวรรณ แล้วหลังจากนั้นเป็นอย่างไร

วรรณ: หลังจากนั้นก็ทำหนังสั้นจบด้วยกัน ก็เริ่มทำหนังส่งประกวดมูลนิธิหนังไทย ได้รางวัลมาก็เริ่มรู้สึกว่า เออเหมือนเราก็คงชอบการทำหนังแหละ ทำสื่อภาพเคลื่อนไหวนี่แหละ แต่ว่าก็ยังไม่ได้คิดว่าจะมาทำเป็นอาชีพ คือพอเรียนจบ ทุกคนต้องหางานใช่ไหมคะ วรรณก็รู้สึกว่าคงชอบงานเขียนบทมากกว่า แต่ว่าพอไปสมัครทำงานเขียนบท มันก็เหมือนไม่มีคนรับว่ะ เราก็เลยรู้สึกว่า ไม่เป็นไร งั้นเราทำหนังสั้นของเราเอง ถือเป็นการที่เราได้ทำงานเขียนบทละกัน แล้วก็ไปเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ ก็ไปสมัครผู้ช่วยผู้กำกับที่ ฟีโนมีนา แต่ว่าทำได้อยู่แป๊บเดียวก็ไม่ชอบ รู้สึกว่ามันเป็นทางโฆษณาที่เราไม่ได้ชอบอะไร แล้วไม่ชอบออกกองไม่ใช่คนบู๊ ก็เลยกลับไปอยู่ในเซฟโซนของตัวเองคือด้านงานเขียน ก็เลยทำงานเขียน ไปทำที่แมกกาซีน ฟิ้ว (Fuse) ตอนนั้นที่อยู่ในเครือไบโอสโคป คือมันเป็นงานเขียน แต่ว่ามันก็ยังเป็นซับเจกต์เกี่ยวกับหนังอยู่ ก็เลยไปอยู่ตรงนั้นแทน แล้วอาศัยการทำหนังสั้นเป็นฮอบบี้ระหว่างทางเรื่อยๆ

แวว: ของแววก็เรียนเศรษฐศาสตร์จบมาปุ๊บ ก็ไปทำมาร์เกตติ้งค่ะ แต่ทำไปได้เกือบปีก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่จริงๆ ก็เลยอยากไปเรียนต่อ อยากไปเรียนสาขาฟิล์ม เพื่อที่กลับมาจะได้ทำเเบบเต็มตัว เพราะรู้สึกว่าการที่เราไม่ได้จบฟิล์มมา เราจะเข้าไปในอุตสาหกรรมฟิล์ม ก็แอบยากเหมือนกัน ไม่มีผลงาน ไม่มีคอนเนกชัน ไม่มีเรฟเฟอเรนซ์ที่จะแนะนำให้รู้จัก เลยรู้สึกว่าเอาใหม่เริ่มใหม่ด้วยการไปเรียนต่อดีกว่า ก็เลยจะไปเรียนต่อ แล้ววรรณก็อยากจะไปด้วย

วรรณ: อืม รู้สึกว่าเป็นสเต็ปที่อยากไปเรียนด้วยกัน ก็เลยออกจากฟิล์มแล้วก็ไปเรียนต่อกับแวว

แวว: ก็เหมือนเป็นครั้งแรกที่กลับมาเรียนด้วยกันค่ะ

วรรณ: เลยเลือกไปเรียนปริญญาโทที่อังกฤษ เลือก University for Creative Art แล้วเราก็ทำ ‘Wish Us Luck’ นี่แหละเป็นสารคดีที่เราเดินทางกลับไทยด้วยรถไฟ ก็เหมือนเป็นหนังธีสิสปริญญาโทไปด้วย

ซึ่งตอนนั้นก็คือเราออกทุนเอง ทำกันเองทั้งหมดเลยใช่ไหม

วรรณ: ใช่ๆๆ เหมือนเป็นหนังธีสิสจบออกทุนเองตัดต่อเอง พอเราเรียนจบแล้วกลับมาเมืองไทยเราก็เอาเข้าฉายที่เฮาส์ (โรงภาพยนตร์ House RCA) เอง ส่งเซ็นเซอร์เองทั้งหมดค่ะ คือเหมือนช่วงที่เริ่มทำหนังสั้นกันมาจนกระทั่งมาจบ ‘Wish Us Luck’ มันเหมือนเป็นเฟสของช่วงหนังอิสระ เหมือนเราอยู่ในวงของหนังอิสระ อาจจะเพราะเราทำฟิ้ว ทำไบโอสโคป ด้วยก็จะรู้จักพี่ๆ น้องๆ ในแวดวงหนังอิสระเยอะขึ้น แล้วตัวหนังของเราเองก็จะค่อนข้างจะมีกลิ่นสารคดีหน่อยๆ หลังจากนั้นก็มาร่วมจอยกับทีมเขียนบท ‘ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น’ ซีซั่น 1 เราว่าเฟสการทำฮอร์โมนส์ มันเหมือนเป็นเฟสของการเริ่มเรียนเขียนบทพร้อมกันอีกครั้ง แต่ตอนนั้นไอ้แววไม่ได้ทำด้วย

แวว: ก็ตอนนั้นไปทำ NHK เพราะเรามีผลงานสารคดี ก็แอบคิดว่าจะได้ทำสกู๊ปสารคดี ซึ่งมันก็ทำบ้างแหละ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วจะเป็นข่าวเสียเป็นส่วนใหญ่ มันไม่ใช่สารคดีที่เราอยากทำเท่าไหร่นัก ระหว่างนั้นก็มีงานเขียนหนังสือ ‘Wish Us Luck’ เวอร์ชั่นหนังสือ ซึ่งมันก็จะเป็นอีกมิติที่ต่างจากหนัง ในใจก็รู้สึกว่าอยากจะเขียนบทเหมือนกันนะ พอวรรณเขียนฮอร์โมนส์ ไปถึงประมาณซีซั่น 2 พี่ย้งก็ชวนไปเขียนบท ‘STAY ซากะ…ฉันจะคิดถึงเธอ’ เราก็แยกกันทำ

วรรณ: แต่ระหว่างที่เราแยกกันมันก็จะมีงานที่เรากลับมาจอยกันประปรายนะคะ พวกงานมิวสิกวิดีโอ อันนั้นก็จะกลับมาเจอกัน

แล้วหลังจากนั้นได้มาทำโปรเจกต์ ‘เธอกับฉันกับฉัน’ ได้อย่างไร

วรรณ: หลังจาก Great Man Academy เรารู้สึกว่า เออ เราก็ผ่านงานเขียนบทมาแล้วประมาณนึง จริงๆ ความรู้สึกการทำหนังมันเป็นเช็กลิสต์หนึ่งในชีวิตมาตั้งนานแล้วค่ะ ตั้งแต่ตอนเขียนบทฮอร์โมนส์แล้ว

แวว: ก็เลยคุยกันเอง ว่าถ้าเราอยากทำหนังเราจะทำเรื่องอะไร หัวข้อฝาแฝดมันก็ขึ้นมา เราอยากเลือกโลกใบที่เราจะอยู่กับมันได้นานๆ เราเลยเลือกซับเจกต์ที่เรารู้จักดีดีกว่า มีรีเสิร์ชเพิ่มเติมก็รู้สึกว่าในท้องตลาดหนังฝาแฝดส่วนใหญ่มันจะไปในทางฟิกชั่น แบบต้องมีความหลอนมีความข้องเกี่ยวกับผี หรือไม่ก็มีไซโคมาเกี่ยวข้อง ไม่ก็เป็นตัวตลก หรือไม่ก็แบบคนนึงดีคนนึงร้ายมากอะไรแบบนี้ ซึ่งส่วนตัวก็ดูได้นะ แต่แค่รู้สึกว่า เออถ้าเราอยากเล่าฝาแฝดเราก็อยากเล่าฝาแฝดแบบในฐานะคนธรรมดา จากชีวิตจริงที่เราประสบมาอะไรแบบนี้ค่ะ

วรรณ: เราก็ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไรใดๆ

แวว: ไม่ใช่แฝดทุกคนจะต้องไซโคอิจฉากันอะไรอย่างนั้น สิ่งที่เราอยากเล่าคือ พอพูดถึงฝาเฝดเราก็อยากเล่าประเด็นเรื่อง identity ทีนี้รู้สึกว่าช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อแบบจะเด็กหรือจะผู้ใหญ่ ความที่เขาเติบโตมาด้วยการถูกเลี้ยงแบบเดียวกัน พ่อแม่คนเดียวกันอะไรทำนองนี้ identity มันจะเริ่มอยากมีอะไรของตัวเอง

วรรณ: จากที่เคยเหมือนภูมิใจที่เราเหมือนกัน ชอบที่คนเห็นว่าเราเหมือนกัน ก็อาจจะเริ่มเป็นวัยที่อยากต่างกันแล้ว เป็นวัยแบบ turning point ในชีวิต จากที่เราเคยเป็นคู่เราก็อยากจะเริ่มเป็นคนเดียว แต่ไม่ได้หมายความว่าแฝดทุกคู่เป็นแบบนี้นะคะ แค่รู้สึกว่าช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อมันมีความสับสนในใจ ความอยากเหมือนแต่ก็อยากไม่เหมือน เรื่องพวกนี้มันน่าสนใจดี เราก็เลยรู้สึกว่าความรักมันก็เป็นประสบการณ์หนึ่งที่มันแชร์ด้วยกันไม่ได้ ที่ผ่านมาคือไปโรงเรียนพร้อมกัน มีเพื่อนกลุ่มเดียวกันก็มีได้ แต่มีแฟนคนเดียวกันมีไม่ได้เว้ย

แวว: คือเราก็คิดนะว่าใครจะมาอยากดูเรื่องแฝด คนที่เขาไม่ใช่แฝดเขาก็ไม่น่าจะอยากรู้ไหม แต่พอมันเป็นประเด็นเรื่องความรัก มันก็อาจจะเข้าถึงง่ายมากขึ้น สำหรับคนที่ไม่ใช่แฝดค่ะ หลังจากนั้นก็เริ่มลงมือเขียนบทกัน จนมีโครงละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบแล้วเราถึงค่อยถือบทนี้เข้ามาเสนอที่ GDH ค่ะ

วรรณ: คือก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้สนิทกับพี่โต้งมาก่อน เหมือนแค่เดินผ่านก็สวัสดีค่ะ แค่นี้จบ ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว เอางี้ดีกว่าก็คือพี่โต้งเขาก็เลือกจากบทล้วนๆ พอดีพี่โต้งเขาเป็นทีมที่ต้องสกรีนบท เขาต้องอ่านบทของคนที่ส่งเข้ามา แล้วเขาชอบ ก็เลยเกิดการแมตช์คู่กันว่าเออ GDH สนใจทำหนังเรื่องนี้นะ แล้วก็อยากให้จับคู่กับพี่โต้ง

แวว: เราก็ไม่เคยคิดว่าพี่โต้งจะมาเป็นโปรดิวเซอร์ เพราะเราก็รู้จักเขาในนามผู้กำกับ

ในนามผู้กำกับหนังเรื่อง ‘แฝด’ ?

แวว: (หัวเราะ) ใช่ๆๆ

แล้วทำไมถึงเลือกโลเคชั่นต่างจังหวัด

วรรณ: เรื่องความต่างจังหวัดมันมีตั้งแต่ในบทแล้ว แต่ก็เป็นอีสาน คือจริงๆ ก็เขียนจากวัยเด็กนิดหน่อย ตอนเด็กๆ เรามีบ้านยายอยู่ชัยภูมิ แล้วทุกปิดเทอมก็ต้องกลับไปค่ะ ในบทมันเป็นอีสานมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ว่าเปลี่ยนมาเป็นนครพนม ด้วยความที่มันเล่าเรื่องอีสานในเมือง ไม่ได้เล่าอีสานที่เป็นแบบทุ่งนาชายทุ่งอะไร ไอ้ความเป็นเมืองของแต่ละจังหวัดมันก็ค่อนข้างพัฒนาแล้ว มันดูเป็น 2022-2023 แล้ว ก็มีนครพนมแหละ ที่ไอคอนหลักๆ อย่างหอนาฬิกา หรือว่าอาคารบ้านช่อง ยังมีความเก่า มันจะมีโซนกลางเมือง อนุรักษ์ให้มีความเป็นเมืองเก่า เลยรู้สึกว่าน่ารักดี ก็เลยสนใจขึ้นมา

ส่วนเรื่อง Y2K ล่ะมันมาจากไหน

วรรณ: Y2K ก็มาจากในบทเหมือนกันค่ะ คือพี่โต้งได้อ่านดราฟก่อนหน้านั้น แล้วคิดว่าเวอร์ชั่นที่มี Y2K น่าสนใจ

แวว: คือตอนแรก มีความรู้สึกว่าเราอยากเล่าหนังเรื่องนี้เป็น พีเรียด แต่ว่าก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรให้ตัวเองมาก ก็นึกย้อนลงไปในชีวิตเราแหละ เพราะว่าตัวละครมันจะอายุใกล้ๆ กับวรรณ กับแววในปี Y2K เป็นช่วงที่กำลังจะเข้าสู่ปี 2000 คือจำอะไรไม่ค่อยได้หรอก แต่ว่ามันมีเรื่องเซอร์ๆ เกิดขึ้นมา เชี่ย โลกจะแตกว่ะ แต่ว่า Y2K คืออะไรยังไม่เข้าใจเลย คือตอนเด็กๆ มันแบบไม่รู้เรื่องขนาดนั้น ก็จะรู้สึกว่าไอ้ปีแห่งความไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โลกจะแตกไหม แล้วหลังจากปีนี้พอขึ้นปีใหม่แล้วเราจะเป็นยังไง มันดูซัพพอร์ตกับภาวะตัวละครในเรื่องดี เหมือนปีนั้นมันจะเป็นปีแบบกลางเก่ากลางใหม่ด้วยในเชิงเทคโนโลยี ก็คือบางคนฟังเทปบางคนฟังซีดี บางคนยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ บางคนมีเพจเจอร์บางคนก็มีโนเกียเล่นเกมงูแล้ว มันเป็นยุคแบบมิกซ์ๆ กัน แล้วเราก็รู้สึกว่าตัวละครเราก็มีความยังเป็นเด็กอยู่ แต่ว่าก็โตพอที่จะเริ่มตั้งคำถามกับชีวิตไรเงี้ย เลยรู้สึกว่าเออมันสอดรับกันดี ก็เลยเอา Y2K มาเป็นเซ็ตอัพ โดยที่ก็ไม่ได้รู้หรอกว่ามันจะกลับมาบูม

ทำไมต้องใช้นักแสดงคนเดียวกันมาเล่นฝาแฝด

วรรณ: ไม่ได้อยากใช้ค่ะ จริงๆ อยากได้แฝดจริง คือพอเป็นหนังเรื่องแรกเราก็ไม่ได้อยากทำให้มันยากขนาดนี้ ก็เลยพยายามหาแฝดแล้ว แต่คือเราถูกล็อกด้วยช่วงวัยที่มันต้องเป็นวัย ม.ต้น จริงๆ นักแสดงฝาแฝดในประเทศไทยมันก็มีแหละ แต่ก็โตกันไปหมดแล้ว คือเอาจริงๆ แค่หานักแสดง ม.ต้น ก็ยากแล้ว เพราะส่วนใหญ่นักแสดงดาราที่จะมาเล่นวัยนักเรียน ก็จะเป็นวัย ม.ปลายหมดแล้ว ซึ่งตอนนั้นก็มีจุดตัดว่าหนังเรื่องนี้มันจะยากหรือมันจะง่าย มันขึ้นกับเรื่องนี้เลยว่าเราจะได้นักแสดง 2 คน หรือว่าต้องใช้นักแสดงคนเดียว ก็เลยหาแฝดก่อนค่ะ ซึ่งหาไม่ได้ แคสต์ไปหลายคนมาก GDH ประกาศรับสมัคร คืออันดับแรกคนที่สมัครเข้ามาก็คือหน้าใหม่หมดเลย ทุกคนการแสดงเป็นศูนย์ แล้วเราก็ไม่เจอคนที่เรารู้สึกว่าคาแรกเตอร์เป็นแบบที่เราเขียนด้วย แต่คนที่เราเจอว่าคาแรกเตอร์เป็นเหมือนที่เราเขียนคือ ใบปอ แต่ใบปอดันมีคนเดียว ใบปอเป็นคนเดียวที่ไม่ใช่แฝดที่เราเรียกมาแคสต์ เป็นชอยส์เดียวเลย คือเห็นน้องในไอจีก็รู้สึกถูกสเป็ก หน้าตาแบบพลังเอเชียน ดูหน้าตาอินเตอร์มากอะ แต่ก็มีความเอเชียนอยู่

แวว: น้องหน้าตาสวยแบบธรรมชาติ ที่เป็นสวยย้อนยุคแบบสมัย Y2K ที่มันจะไม่ใช่สวยแบบปรุงแต่งเท่าไหร่

วรรณ: ใช่ๆ คือเด็กยุคนี้มันจะสวยกันหมด แล้วสวยเร็วอะ แต่ว่าสวยเพราะแต่งเพราะนู่นเพราะนี่ แต่ใบปอมันจะมีความธรรมชาติบางอย่างอยู่ ที่รู้สึกว่าหาได้ยากในเด็กอายุเท่านี้ในวัยนี้

แวว: แล้วก็เหมือนเขามี 2 มุมในตัวเอง เขามีทั้งมุมเท่และมุมน่ารักสดใส ก็คิดไว้แหละว่าถ้าเกิดคนเดียวเล่นก็ต้องคนนี้แหละ เพราะว่าเขาดูมี 2 โหมดในตัวเองอยู่แล้ว แต่ว่าก็ยังไม่อยากยอมรับความจริง ก็เลยหาแฝดก่อน แต่ว่าพอหาไม่ได้ปุ๊บก็คือมานั่งคุยกับพี่โต้ง พี่โต้งก็ถามว่าถ้าใบปอมี 2 คนจะเลือกใบปอไหม ซึ่งเราก็ตอบทันทีว่าเลือก เพราะฉะนั้นพี่โต้งก็เลยรู้สึกว่างั้นข้ามข้อจำกัดนี้ แล้วก็ทำให้ใบปอมี 2 คน คือมันก็เป็นผลดีที่สุดกับหนัง แต่ว่าทีมงานจะเหนื่อยกว่าเดิมแค่นั้นเอง วันที่ตัดสินใจเลือกใบปอ ก็คืองานงอกทุกภาคส่วน ทุกคนต้องแบบฮึบไปด้วยกันค่ะ

คือพอเลือกใบปอได้แล้ว อันดับต่อมาก็คือต้องหาสแตนด์อินที่เชฟเหมือนใบปอ มองข้างหลังแวบนึงต้องคิดว่าคนเดียวกัน ซึ่งก็แคสต์หลายคนอยู่นะ

วรรณ: ไม่ได้แคสต์หลายคน แปลกใจเหมือนกัน

แวว: เราได้น้องที่ชื่อว่าน้ำแข็งค่ะ ก็คือโตกว่าใบปอ ใบปออายุ 17 ใช่ไหมคะ ตอนแสดงน้ำแข็งก็ประมาณ 21 ซึ่งสิ่งที่น้ำแข็งต้องทำเป็นสิ่งเดียวกับที่ใบปอต้องทำ หมายความว่าใบปอต้องเล่นเป็นสองบุคลิก เป็นยูกับเป็นมี น้ำแข็งก็ต้องเล่นเป็นยูกับเป็นมีเหมือนกัน ใบปอก็ต้องสลับชุดกับน้ำแข็ง แล้วทุกครั้งที่ถ่ายแม้ว่าจะเห็นแค่ข้างหลังแต่น้ำแข็งก็ต้องแอ็คติ้งส่งให้ใบปอด้วย เพราะฉะนั้นตอนเวิร์กช็อป สองคนนี้ก็เลยต้องเวิร์กช็อปเคมีความเป็นแฝดด้วย รู้สึกว่าสองคนนี้คือเบื้องต้นเลย อันดับแรก สองคนนี้คือต้องซิงก์กันมากๆ เขาต้องมีเวิร์กช็อปสร้างความ relationship ความฝาแฝด ความทำอะไรเหมือนกันคล้ายกัน พร้อมกันไป ซึ่งมันก็คลิกกันง่ายเลย

จากที่ผ่านทั้งงานสายอินดี้และสายเมนสตรีม ทั้งสองคนถนัดในฝั่งไหนมากกว่ากัน

วรรณ: จากการพูดคุยกันเองและวิเคราะห์ผลงานตัวเองที่ผ่านมา ก็รู้สึกว่ามีคนทักว่างานเราส่วนใหญ่มันเกี่ยวกับวัยรุ่น เราก็บอกเขาว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับวัยรุ่น รู้สึกว่าคำว่าเกี่ยวกับวัยรุ่นไม่ใช่คาแรกเตอร์หลักของงานเรา แต่ว่างานเราส่วนใหญ่มันจะมีความคร่อมๆ กึ่งๆ กลางๆ คือหนังเรามันจะไม่ได้เป็นจังหวะแบบอินดี้จ๋าสุดแบบพี่เจ้ย คือไม่ไปขนาดนั้น ส่วนถ้าแบบแมสสุดแบบโบ๊ะบ๊ะมาก เราก็จะไม่สื่อแบบนั้น เราเหมือนจะอยู่ตรงกลางๆ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีคนเคยคอมเมนต์งานเราตั้งแต่ ‘Wish Us Luck’ แล้ว

ตอนนั้นที่เราส่งเป็นธีสิสปริญญาโท อาจารย์ฝรั่งเขาก็มาคอมเมนต์ว่า “หนังคุณมันมีความเอนเตอร์เทนเมนต์ มีความป๊อปอยู่นะ” เราก็แบบ อ้าวเหรอ นึกว่ามันเรียกว่าอินดี้นะ เพราะเราทำเองหมดเลย ก็เลยกลายเป็นว่าอ๋อหนังเรามีความป๊อปอยู่เหรอ แต่เขาก็บอกว่ามันไม่ได้แมสมาก มันก็มีความกลางๆ อยู่ ซึ่งจริงๆ แล้วตลาดหนังฝรั่ง สิ่งนี้ไม่แปลกค่ะ เพราะว่าเขามีหนังจากอินดี้สุดไปแมสสุด เขามีตรงกลางเต็มไปหมด แต่ว่าบ้านเราอาจจะไม่ชินเพราะเรามีแค่สองฝั่งสุดขั้ว แต่ว่างานของวรรณกับแววมักจะอยู่ตรงกลางเสมอ อย่าง ‘เธอกับฉันกับฉัน’ นี่แหละ ที่จริงๆ แล้วมันจะไม่จังหวะโบ๊ะบ๊ะแบบสายแมสสุด เพราะมีผ้าเช็ดหน้า มีความฝาแฝด มีความ Y2K ที่มาทำให้มันป๊อปใสขึ้น

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่างานของทั้งสอง ก็จะเป็นงานสื่อสารกับวัยรุ่นเป็นส่วนใหญ่ ในช่วงเวลาที่ยุคสมัยพลิกผันอย่างรวดเร็ว และวัยรุ่นก็เปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก รับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร

แวว: คิดว่าตัวเองไม่ได้ดูเยอะจนพอที่จะพูดได้ว่าหนังวัยรุ่นปัจจุบันนี้มันเป็นอย่างไรนะคะ แต่ถ้าเกิดพูดในฐานะคนทำ เราก็รู้สึกว่าหนังวัยรุ่นก็คือคาแรกเตอร์หนึ่ง ที่เราต้องไปทำความเข้าใจเขา ก็ถ้าเกิดเราต้องทำหนังวัยรุ่น เราก็คงต้องไปทำความรู้จักวัยรุ่นให้ถี่ถ้วนมั้ง

วรรณ: ใช่ๆ คือตอนทำฮอร์โมนส์มันจะมีประเด็นที่เราต้องไปสัมภาษณ์เด็กๆ และเด็กที่สัมภาษณ์ตอนซีซั่น 1 กับตอนซีซั่น 3 มันเปลี่ยนหมดและโตขึ้นมา ซีซั่น 1 ไม่มีประเด็นเรื่องผู้ชาย ซีซั่น 2 เด็กผู้ชายในยุคนั้นเริ่มซื้อรองพื้นกันแล้ว พฤติกรรมเปลี่ยนความคิดต่อเรื่องเพศเปลี่ยน เออ มันเปลี่ยนเร็วมาก ก็เลยรู้สึกว่ามันขึ้นอยู่กับ objective ของคนทำ ว่าเขาอยากเข้าไปในใจใคร ถ้าเขาอยากเข้าไปในใจใคร เขาก็ต้องเข้าไปคุยกับคนนั้น แต่ว่าอันนี้มันเป็นการทำงานบนโจทย์ที่เราคิดว่าเราจะคุยกับใคร แต่ตอนวรรณ-แววทำ เธอกับฉันกับฉัน มันเหมือนกับว่าเราแค่อยากเล่าความทรงจำเรา แล้วใครจะมีประสบการณ์ร่วมได้ก็ดี

แวว: เอาจริงๆ target group หลักคือคนแก่นะ (หัวเราะ) คือคนที่ผ่านยุค Y2K มา ส่วนวัยรุ่นก็เหมือนเป็น target group ที่สอง คือเหมือนวัยรุ่นยุคนี้เขาก็จะสนใจเรื่องอะไรเก่าๆ

ทั้งสองคนเคยมีแวบหนึ่งไหมว่า เราจะทำหนังแบบวัยรุ่นยุคนี้สื่อสารกับวัยรุ่นยุคนี้ได้อย่างไรบ้าง

วรรณ: จริงๆ เคยมีพล็อตเรื่องนึงที่อยากจะพูดเรื่องประเด็นสังคมเหล่านี้ แต่ก็มีคุยกับเพื่อนคนหนึ่งเขาก็บอกว่าเหล่านี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกจริง แล้วมันบียอนด์ไปกว่าหนังมากๆ แล้วน่ะ คือเหมือนวัยรุ่นเขาไม่ได้ต้องการดูสิ่งนี้จากสื่อ fiction เพราะว่าสิ่งที่เขาประสบจริงๆ ในโลกจริงทุกวันนี้มันสุดมากแล้ว

แวว: ก็รู้สึกว่าถ้าจะต้องทำหนังพูดกับวัยรุ่นยุคนี้ มันต้องสุดมากๆ เลย มันต้องไม่ compromise ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกความจริงมันไปสุดทางแล้ว

วรรณ: ใช่ๆ แต่ว่าคือถ้าเกิดพูดในมุมคนทำหนัง เมื่อวานเพิ่งคุยกับแววเองว่า เออ รู้สึกว่าวันนึงเราก็อยากทำหนัง คือไม่ได้คิดเรื่องว่าจะพูดกับวัยรุ่นนะคะ แต่รู้สึกว่าวันนึงถ้าเราแกร่งกล้าพอก็อยากจะทำหนังที่พูดประเด็นสังคมนะ ถ้าประเด็นที่เราสนใจก็จะมีประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำนี่แหละ เคยพยายามเขียนเหมือนกัน แต่ว่าพอเราไม่ค่อยเก่งกล้าในเรื่องนี้ มันก็ไม่ค่อยดี รู้สึกว่ามันอาจจะต้องผ่านการตกตะกอน ในฐานะคนที่มีทัศนคติต่อมันอีกนิดนึง แต่รู้สึกว่าถ้ามันมีหนังไทยที่พูดเรื่องอะไรแบบนี้ได้มันก็เปรี้ยวดีนะ มันเหมือนต้องมีหนังที่โชว์บทบาทของยุคสมัยอะ

วรรณ: คือตอนนี้หนังบางเรื่องก็จะพูดประเด็นหลักในเรื่องอื่น แล้วเอาสิ่งนี้มาเป็นแบ็กกราวด์ มันยังไม่ได้มีหนังเรื่องไหนที่แบบ…ฉันจะพูดเรื่องนี้ตรงๆ

แวว: หมายถึงอะไรไม่เข้าใจ…

วรรณ: เรื่องการเมืองเรื่องอะไรงี้ แบบพูดไปก็เสี่ยง คือด้วยความที่ภาพยนตร์มันเป็น commercial art มันเป็นสิ่งที่ต้องลงทุนเงิน ทำไปเพื่อที่จะขายได้ ซึ่งก็เข้าใจเลยว่ามันเป็นการตัดสินใจยากมากๆ ของคนทำ คนที่ต้องออกเงินว่าเรื่องนี้มันจะขายได้ไหมถ้ามันอยู่ในรูปแบบสตูดิโอนะคะ แต่ถ้ามันเป็นอินดี้ก็อาจจะไม่มีตังค์ทำ

แวว: ใช่ มันเหมือนแบบ… แล้วถ้าเราจะพูดประเด็นสังคมผ่านภาพยนตร์ หรือเราจะไปเป็นสปีกเกอร์พูดไปเลย อันไหนมันตรงจุดกว่ากัน คือแค่รู้สึกว่าจริงๆ แล้วเราสามารถ…มันไม่รู้เรียกว่าช่วยเหลือสังคมไหมอะ หรือเราสามารถแสดงออกได้ด้วยอย่างอื่นมากกกว่าภาพยนตร์หรือเปล่า คือภาพยนตร์มันดันเป็นสื่อที่ไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นอย่างตรงจุด เพราะมันยังต้องมีความบันเทิงอยู่ มันต้องมีการลงทุนและมีการขายอยู่

วรรณ: แถมมีกระบวนการเซ็นเซอร์ด้วย

แวว: ใช่ มันเลยเหมือนแบบ… หรือเราก็ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องนี้ผ่านภาพยนตร์

วรรณ: ทำไมอะ แต่ถ้าเราพูดได้เราก็ควรพูดหรือเปล่า

แวว: ใช่ แต่ว่าประเด็นคือถ้าทำไปแล้วกลุ่มคนที่จะมาจับ คือนึกออกปะ commercial art ที่แบบถ้าทำไม่ได้ตังค์ ก็ไปทำอย่างอื่นไหม

วรรณ: วรรณคิดว่าถ้าทำได้ก็ควรทำ เพียงแต่ว่ามันอยู่ในคอนเนกชันที่ทำยาก ไม่ใช่แค่ผู้กำกับคนเดียวหรือโปรดิวเซอร์คนเดียวจะตัดสินใจได้ มันมีเรื่อง profit ที่ควรจะได้จากสตูดิโอด้วยที่เขามาลงทุนเงินให้เรา อันนี้พูดถึงในเชิงสตูดิโอเนอะ มันเหมือนต้องไปเจอคนที่คิดตรงกันว่าเรามาจับมือทำสิ่งนี้กันเถอะ เพราะเราเชื่อในพลังของมีเดียภาพยนตร์ แล้วเราจะทำให้มันขายได้ under condition นี้ แต่ว่ามันเป็น Dream Project มากๆ คือสมมติว่าแก๊งเด็กยุคใหม่ที่สนับสนุนประเด็นที่หนังต้องการจะสื่อ สมมติว่าเขามาหมดเลย จ่ายเงินดูหมดเลย มันก็อาจยังเป็นกลุ่มเล็กเกินไปที่จะทำให้เรื่องนี้มันได้กำไรหรือเท่าทุน แล้วมันก็จะมีประเด็นเรื่องโรงภาพยนตร์อีกว่าเขาจะฉายให้ไหม เออ มันมีปัจจัยเต็มไปหมดเลย เราก็เลยรู้สึกว่าถ้าสมมติมีคนเรียกร้องว่าทำไมภาพยนตร์ไม่มาพูดประเด็นนี้บ้างล่ะ เราก็เลยรู้สึกว่า สำหรับเรามันมีหนทางอื่นอีกมากมาย มันไม่จำเป็นต้องรอภาพยนตร์ ภาพยนตร์แม่งข้อจำกัดเยอะ

แวว: ถ้าสมมติเราตัดคำว่าสตูดิโอออกไป สมมติเราเป็นอินดี้

วรรณ: สมมติเรารวยมาก ถ้าไม่งั้นเราก็ต้องไม่คำนึงถึงกำไรขาดทุน เราแค่อยากจะทำสิ่งนี้เพื่อที่จะเป็นมูฟเมนต์ แล้วเราก็ต้องไปจัดฉายเองด้วย เพราะว่าโรงหนังก็จะไม่เอากับเรา

พอจะยกตัวอย่างหนังแนวๆ นี้สักเรื่องได้ไหม

วรรณ: เรารู้สึกว่าถ้าเกิดพูดถึงสิ่งที่ผ่านมา เราว่า ‘School Town King’ (แร็ปทะลุฝ้า ราชาไม่หยุดฝัน) พูดตรงมากเลยนะ

แวว: ใช่ กำลังจะพูดว่าไม่อย่างงั้นทำเป็นสารคดีไปเลย ซึ่งพอทำเป็นสารคดี วงก็แคบลงไปอีก วงกลุ่มคนดูก็แคบลงไปอีก

วรรณ: คือ ‘School Town King’ เรารู้สึกว่าอยากให้ผู้ใหญ่ในทุกองค์กรดูให้หมดเลย

ในวงการหนังเอง พี่น้องเอย ฝาแฝดเอย ตอนเริ่มทำงานด้วยกัน แต่ตอนหลังก็แยกกันทำงาน ทั้งคุณวรรณและคุณแววจะทำร่วมกันไปเรื่อยๆ หรืออยากแยกกันทำ

แวว: ไม่อยากแยก

วรรณ: มีแต่ความรู้สึกว่าจะไม่แยกจากกันอีกแล้ว มีความรู้สึกว่าถ้าเกิดไม่มีสองคนก็อาจจะทำหนังไม่สำเร็จ หรือถ้าเรื่องต่อไปอีกคนนึงไม่ทำ อีกคนนึงก็อาจจะไม่อยากทำ

แวว: สำหรับเรามันไม่ได้มีปัญหากับการทำสองคน เพราะว่าเราทำสองคนกันมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่หนังสั้นยุคแรกๆ มันก็ทำด้วยกันสองคนมาตลอด แล้วก็ดันเป็นสองคนที่มีความคิดมีรสนิยมคล้ายๆ กัน แล้วการมีสองคนของเรามันทำให้เราได้ไอเดียกันไปมา ได้ช่วยกันอุดรูรั่วที่อีกคนมองไม่เห็น ช่วยกันทัก ช่วยกันเอ๊ะ มันเหมือนเป็นกระบวนการเรนเดอร์ของเราก่อนที่มันจะออกมาเป็นชิ้นงาน

วรรณ: มันก็แอบชินไปแล้วด้วยค่ะ คือบางคนเขาก็จะชินกับการเขียนบทคนเดียว แต่อย่างวรรณจะชินกับการมีทีมมากกว่า การที่เราเป็นฝาแฝด ชีวิตที่ความเป็นฝาแฝดมันคือเจออะไรก็เอามาเล่า คิดอะไรอยู่ก็พูดออกมา แล้วอีกคนก็คอมเมนต์มัน เป็นสายเลือดไปแล้ว คือรู้สึกว่าต่อให้ไปรับงานคนเดียวอย่างเช่นตอนเขียนบทฮอร์โมนส์ ไปทำกับคนอื่นแต่ว่าก็ต้องมาเล่าให้แววฟัง ก็มีซีนที่แววช่วยคิดอยู่ในฮอร์โมนส์อยู่ดี ก็เลยรู้สึกว่าการทำงานด้วยกันมันซิงก์กันมาก ความขัดแย้งมีไหม มี แต่มันไม่ใช่ความขัดแย้งแบบที่ฉันจะเอาของฉันเธอจะเอาของเธอ อะไรแบบนี้ เคยคุยกับน้องผู้ช่วยคนหนึ่งที่เขาเป็นผู้ช่วยทำ MV เขาก็พูดสิ่งหนึ่งว่าเวลาเห็นพี่วรรณกับพี่แววคุยกันมันเหมือนคนเถียงกับตัวเอง คือไม่เถียงแบบโต้วาที มันเป็นการเถียงเพื่อ solution จริงๆเหมือนคนที่เถียงกันในหัวตัวเองเพื่อที่จะตัดสินใจบางอย่าง

แวว: รู้สึกว่าเราไม่ได้มีอีโก้ระหว่างกันว่าฉันจะต้องถูกหรือว่าไอเดียฉันจะต้องมาก่อน มันจะไม่เหมือนสองคน เหมือนเวลาถ้าเราเถียงกับตัวเองใช่ไหมคะ มันก็จะแบบ devil กับ angel มาคุยกัน แต่ว่า devil กับ angel มันคือตัวเดียวกันไง มันมาจากทัศนคติคล้ายๆ กัน ใกล้ๆ กันนี่แหละ แล้วก็อาจจะเป็นเพราะว่าเราเถียงกัน ดีกันเร็วมั้ง หมายถึงว่าเวลาทะเลาะกันมันก็ไม่ได้แบบข้ามวันข้ามคืน มันไม่มีติดค้างในใจ ก็เลยทำให้เราพร้อมที่จะเถียงกันเลยแล้วก็หายเลยด้วย

วรรณ: แล้วมันก็มีข้อดีอยู่ตรงที่ความคิดเรามันใกล้กันมาก บางอย่างมันจะมีโหมดเเยกร่างได้ เช่นแบบไม่ไหวแล้ว เวลาจะหมดแล้ว วรรณไปดูหน้าเซ็ตเลย แววบรีฟนักแสดง มันก็จะมีโหมดอะไรอย่างงั้นอยู่ ซึ่งรู้สึกว่ามันเป็นประโยชน์นะ เหมือนไว้ใจเชื่อในการตัดสินใจ พออยู่ด้วยกันเรารู้สึกว่าเรามีพลังมากกว่า เรามีความเก่งกาจมากกว่าเมื่ออยู่ด้วยกัน

แปลว่าไม่ได้ทำงานแบบหารสอง ทำงานแบบคูณสองแทน

แวว: ใช่ แต่ค่าตัวหารสองนะคะ (หัวเราะ)

กิจการครอบครัวของทั้งสองก็มีเยอะมาก ยังมองว่าการทำหนังเป็นหนึ่งในฮอบบี้ หรือว่าเป็นอาชีพ

วรรณ: พูดว่าเป็นอาชีพไม่ได้อยู่แล้วเพราะว่าหารเงินออกมาแล้วนั้นไม่เป็นอาชีพ คือถ้าไม่มีงานที่บ้านเราก็อาจจะไม่มีกินอะค่ะ พูดง่ายๆ

แวว: ถ้าไม่มีงานที่บ้าน ไม่มีฐานะครอบครัวที่โอเคอยู่แล้ว เราอาจจะไม่ได้ทำหนังก็ได้ค่ะ

วรรณ: จริง

แวว: เพราะตอนนี้ถ้ามันจะล้มก็ล้มบนฟูกอยู่ หมายถึงว่าเอาจริงๆ เรารู้สึกว่าคนทำหนังที่ยังเหลืออยู่เพราะมีคอนเนกชันนี้เป็นหลักเลยนะ ที่จริงอาจจะมีคนทำหนังเก่งๆ อีกเยอะแต่เขาไม่ได้มีฟูกให้ล้มไง ซึ่งมันน่าเสียดายมาก จริงๆ แล้วเรามีคนเก่งอีกมากมาย แต่ว่าเขาอาจจะไม่ได้มีปัจจัยที่มาเกื้อหนุนให้เขาเอาชีวิตมาเสี่ยงในวงการหนังได้

วรรณ: มันเหมือนกับเราไปอ่านข้อความอะไรไม่รู้ที่เขาบอกว่า ยังเรียกอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยไม่ได้ด้วยซ้ำ มันเรียกว่าวงการ เพราะมันไม่ได้เลี้ยงอาชีพได้ คือถ้าบอกว่ามันเป็นอาชีพหรือเป็นฮอบบี้ มันก็เป็นฮอบบี้ที่กินเวลาชีวิตเกินกว่าที่จะบอกว่าเป็นฮอบบี้

คือวรรณว่าผู้กำกับทุกคนทำสิ่งนี้อย่างเดียวไม่ได้ บางคนเขาก็ต้องทำโฆษณาเลี้ยงชีวิตใช่ไหมคะ แต่อย่างคอนเนกชันของวรรณกับแวว มีออฟฟิศที่บ้าน ได้ฝึกหัดแล้วก็ทำงานไปด้วยเพื่อที่จะเป็นแหล่งเงินรายเดือนของเรา แล้วก็โดดไปทำหนัง

แวว: เราทำตรงนี้มานานแค่ไหนอะ หมายถึงว่าปีนี้เราก็ 38 แล้ว เพิ่งได้ทำหนังเรื่องแรกเอง แล้วถ้าคนที่ไม่ได้พร้อมที่จะรอคอยไปเรื่อยๆ เขาต้องหากินหาเลี้ยงชีพต้องดูแลที่บ้าน เขาจะทำได้ไงวะ ก็สงสัยอยู่ แต่เรารู้สึกว่าเรื่องศักยภาพของคนมันน่าจะมีอีกเยอะ แต่ว่าเขาแค่มีอยู่แต่ไปไม่ได้ เพราะว่ามันทำให้เป็นอาชีพไม่ได้มากกว่า ซึ่งก็ไม่รู้จะแก้ยังไง

‘เธอกับฉันกับฉัน’ กำลังเข้าฉายขณะนี้ ในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ