คุยกับ ‘ไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์’ ศิลปินเจ้าของนิทรรศการ Dark Was the Night ที่ว่าด้วยจักรวาลแห่งความทรงจำและการสูญเสีย

6 Min
376 Views
29 Jun 2024

ห้องโถงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ชวนให้เราสัมผัสถึงห้วงระหว่างโลกกับอวกาศ ที่ชวนให้คิดไตร่ตรองถึงความผูกพันท่ามกลางความสัมพันธ์ที่แหลกสลาย พร้อมกระตุ้นความทรงจำที่รวดร้าว ความฝันที่ลืมเลือน และจุดประกายแรงปรารถนา ให้ปรากฏขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

สิ่งเหล่านี้ปรากฏกายขึ้นในนิทรรศการ ‘Dark was the Night – ผีพุ่งไต้’ ที่บอกเล่าสภาวะกึ่งฝันกึ่งตื่น โดย ‘ไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์’ ศิลปินเจ้าของนิทรรศการ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีผลงานเดี่ยว Until the Morning Comes (2561) และ Seeing in the Dark (2564) อีกทั้งยังคว้ารางวัล FIPRESCI จากภาพยนตร์เรื่อง ‘พญาโศกพิโยคค่ำ’

สำหรับนิทรรศการดังกล่าว ไทกิได้ค้นคว้าเสาะแสวงหาข้อมูลอย่างลึกซึ้ง โดยดึงแรงบันดาลใจจากจักรวาล การโคจรวนเวียนของสรรพสิ่งบนท้องฟ้า บาดแผลทางใจ รวมถึงช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย ผลงานวิดีโอจัดวางภาพถ่าย กล่องไฟ ภาพพิมพ์ และประติมากรรม จนกลายเป็นประตูมิติแห่งเวลาที่ความทรงจำสะท้อนกลับมาจากในอดีต

เช่นนี้ BrandThink จึงอยากลองชวนทุกคนไปสำรวจตัวตนของไทกิ ตั้งแต่โลกทัศน์ภาพยนตร์ของเขา ไปจนถึงไอเดียความเป็นมา ตลอดจนความพิเศษของนิทรรศการ ‘Dark was the Night – ผีพุ่งไต้’ ที่ซ่อนไว้ซึ่งความงามและเลศนัย ผ่านบทสนทนาด้านล่าง

ส่วนใครที่สนใจอยากสัมผัสจักรวาลความทรงจำและการสูญเสีย ที่หลากรสหลายสัมผัส นิทรรศการดังกล่าวกำลังจัดแสดงตั้งแต่วันนี้ – 6 กรกฎาคม 2567 ณ ชั้น 1 SAC Gallery

ที่ผ่านมาทำหนังทดลองเป็นส่วนใหญ่ รู้สึกอย่างไรเมื่อผู้คนมักบอกว่า “หนังทดลองช่างเข้าใจยากและเข้าไม่ถึง”

ส่วนตัวเรา เราไม่ค่อยได้คิดหรือรู้สึกอะไร แต่ส่วนตัวมองว่ายังน่าตื่นเต้นอยู่ ในการที่เราทำยังไงที่จะพยายามเข้าใจวิถี ทฤษฎีของมัน (หนังทดลอง) ขณะเดียวกันก็ไม่ได้แหกกฎเสียทีเดียว แต่พยายามจะทำให้เราไม่เบื่อ ไม่เบื่อกับลักษณะการเล่าเรื่องแบบเดิมๆ พยายามจะท้าทายตัวเอง เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกถึงวิธีการเล่าเรื่อง หรือกลไกของภาพยนตร์ที่แปลกออกไป 

แน่นอนพอไม่ใช่หนังกระแสหลัก ทำให้ออกจากคอมฟอร์ตโซน มันเลยเป็นเหมือนเรื่องปกติในชีวิต ที่ไม่มีอะไรมารับประกันตลอด ภาพยนตร์ ศิลปะก็เหมือนกัน ไม่ได้มีวิธีการเล่าแบบเดียว และไม่มีใครอยากดูอะไรที่เข้าใจได้หมด หมายถึงว่าเราดูหนัง ถ้าดูแล้วเข้าใจได้หมด เราเดาได้ตั้งแต่ตอนต้นจนจบ มันจะเป็นหนังที่น่าเบื่อมาก ไม่สนุกเลย เพราะว่าเล่าแบบเดิมๆ กลับกันถ้าคนดูดูแล้วเซอร์ไพรส์ หรือว่าไม่เข้าใจ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อาจจะเป็นเรื่องที่ดีด้วยซ้ำ

ซึ่งสิ่งที่เราพยายามคิดตลอด คือการทำให้หนังมันกระทบความรู้สึกคนดูได้ พยายามถ่ายทอดความรู้สึก ประสบการณ์ ความทรงจำที่อยู่ข้างในออกมา หนังก็เหมือนกัน เราดูงานตัวเองบางทีก็ไม่มีคำตอบ แค่รู้สึกว่ามันถูกต้อง มันใช่ เรารู้สึกมันตอบในสิ่งที่เราอยากจะถ่ายทอดออกมา 

กว่าจะได้มาซึ่งความรู้สึก ‘ใช่’ ที่ว่านี้ มันต้องไปถึงจุดไหน

เรื่องอารมณ์ ความรู้สึกเป็นเรื่องที่ตอบได้ยาก เพราะว่ามันเป็นเรื่องส่วนบุคคลด้วย การจะมาถึงคำตอบใช่นี้ เราก็ลองมาหลายวิธีแล้ว เช่น วิดีโอภาพเคลื่อนไหว เราก็ลองคัดมาแล้วดูภาพรวมก่อน ว่ามันทำงานอย่างนั้นไหม เราใช้ความรู้สึกล้วนๆ ที่บางครั้งก็อาจมาจากประสบการณ์ก็เป็นไปได้ 

แล้วกระบวนการการทำงานเรามีหลายขั้นตอนมาก ก่อนจะทำเราคิดเยอะ อ่านเยอะ รีเสิร์ชเยอะ ลงพื้นที่ หาข้อมูล ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ทำนานมากที่สุด แต่พอตอนถ่าย เราพยายามใช้ความรู้สึก โดยมีธีมที่เป็นหัวใจหลักในการเชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกัน เพื่อให้มันบาลานซ์กัน

ก่อนหน้านี้ที่บอกว่าพยายามเล่าเรื่องให้ไม่น่าเบื่อ แปลว่ามีวิธีการเล่าเรื่องเปลี่ยนไปตลอด?

หมายถึงเราพยายามทำให้ไม่เป็นไปในรูปแบบเดิมๆ ส่วนความน่าเบื่อ ไม่เบื่อ อาจจะต้องให้ผู้ชมบอกเรามากกว่า แต่ในตอนนั้นเราก็ทำตัวเป็นผู้ชมที่วิจารณ์งานตัวเอง ที่โหดร้าย ค่อนข้างตรงไปตรงมาที่สุดนั่นแหละ ไม่มีใครมาโหดร้ายกับเราหรอก แล้วถ้าเกิดคนชมเยอะ เราอาจจะทำอะไรผิด มันไม่มีอะไร 100 เปอร์เซ็นต์ มีทั้งบวกและลบ เลยต้องพยายามหามุม มีความท้าทายในการเล่าเรื่องมากขึ้น

แล้วการเล่าเรื่องที่เปลี่ยนไป มาจากประสบการณ์ สิ่งที่เรียนรู้ หรือมีปัจจัยอะไรอื่นๆ อีกบ้าง? 

ด้วยจังหวะชีวิต ความชอบหลายๆ อย่างที่เข้ามามันเปลี่ยนไป ทำให้แรงบันดาลใจก็เปลี่ยนไป เราไปเจอ ไปอ่าน ได้ไปค้นพบอะไรใหม่ๆ ก็สะท้อนออกมาผ่านตัวผลงานของเรานี่แหละ เหมือนกับนิทรรศการ ‘Dark was the Night – ผีพุ่งไต้’ นี้ จุดเริ่มต้นส่วนหนึ่งมาจากช่วงเลือกตั้งครั้งใหญ่ ที่ทุกอย่างราวกับถูกหยุดไป ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เหมือนประเทศกำลังถูกแช่แข็ง ในฐานะคนทำหนัง ฐานะศิลปิน เราพยายามเอาเสียงตรงนี้มาคัดกรองผ่านฟิลเตอร์ของเราออกมา 

แล้วก็เป็นช่วงที่เริ่มคุยกับ SAC Gallery เราเลยพยายามถ่ายทอดสภาวะที่ว่านี้ออกมาเป็นงานศิลปะ จากนั้นก็พยายามรีเสิร์ช ค้นคว้าหาไปเรื่อยๆ จนไปเจอแผ่นเสียงทองคำโครงการวอยเอเจอร์ (Voyager Program) ขององค์การนาซา เมื่อปี 2520 ที่บรรจุเสียงต่างๆ ของมนุษยชาติ ทั้งเสียงธรรมชาติ คำทักทายในหลากหลายภาษา รวมถึงเสียงดนตรี ไปเผยแพร่ต่อสิ่งมีชีวิตนอกโลก

อีกทั้งยังหยิบยกแรงบันดาลใจมาจากบทเพลงอันเศร้าโศก ‘Dark Was the Night, Cold Was the Ground’ ของ วิลลี จอห์นสัน (Willie Johnson) ศิลปินบลูส์ผิวดำตาบอดชาวอเมริกัน ที่ไม่มีเนื้อร้อง มีเพียงเสียงฮัมและโอดครวญ แต่ตราตรึงใจคนฟังให้คิดถึงความเจ็บปวด ที่คนผิวดำต้องเผชิญในวันที่โลกยังเหยียดผิว 

รวมถึงย้อนกลับมามองประเทศไทยการเรียกร้องกลับเป็นสาเหตุให้เข่นฆ่า ระหว่างรัฐกับนักศึกษา ในเหตุการณ์สังหารหมู่ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ที่นักศึกษาพยายามพูดถึงสิ่งที่อยู่ในใจ พยายามเรียกร้องถึงอิสรภาพ แค่เพียงบอกเสียงของตัวเองให้รัฐได้ยิน แต่รัฐกลับบุกเข้าไปในมหาวิทยาลัย แล้วฆ่านักศึกษาอย่างโหดเหี้ยม

นอกจากนี้ยังโฟกัสลงมาที่หน่วยเล็กๆ ของความรู้สึกครอบครัวหนึ่ง หรือมวลความรู้สึกที่อยู่ลึกภายในจิตใจของทุกคน ตลอดจนความเป็นแม่ของผู้หญิง ที่ต้องพรากห่างจากบุคคลที่รัก และแม้ว่าเธอจะไม่มีวันกลับไปพบเขาได้ เธอก็ยังรับรู้ถึงสายใยที่เชื่อมโยงกัน 

พอแรงบันดาลใจในการสร้างผลงานมีหลายอย่างมากๆ ทำอย่างไรให้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้

สำหรับเราไม่ว่าจะเป็นหนัง หนังทดลอง งานศิลปะ หัวใจเดียวกันคือเพลง เราพยายามหาเพลงที่เป็นแรงบันดาลใจ สามารถถ่ายทอดภาพของตัวงาน และเป็นศูนย์กลางที่จะเชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกัน อย่างตัวเราถ้าเป็นการตัดต่อ งานออนไลน์ก็ต้องดูตั้งแต่การเล่าเรื่อง การขับร้อยของตัวภาพที่มันซ้อนกัน หรือการเดินทางของภาพว่าเป็นไปในแบบที่เรารู้สึก เราคิดไหม

ส่วนงานนิทรรศการนี้ เราก็ต้องมองว่าเราจะพาพวกเขาเดินยังไง ภายในพื้นที่ที่ค่อนข้างใหญ่แห่งนี้ เดินเข้ามาจะเจออะไรบ้าง พอมาอยู่ตรงนี้ จะเกิดบทสนทนาอย่างไร ผลงานแต่ละชิ้นไม่ได้อยู่โดดๆ แต่มันอยู่ด้วยกัน เหมือนจักรวาลที่ดาวโคจรอยู่ด้วยกัน ทำให้เรานึกถึงการเดินทางของเสียง ที่เสียงส่งผลให้เกิดภาพ ซึ่งเหมาะกับตัวงานนิทรรศการ และเชื่อมโยงกับตัวคอนเซ็ปต์งานของเรา 

นิทรรศการครั้งนี้ใช้ระยะเวลาคลุกคลีอยู่กับมันนานแค่ไหน 

ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว (2566) เราคิดอยู่หลายเดือน เปลี่ยนลักษณะรูปแบบที่จะนำเสนอไปเรื่อยๆ แต่ตอนทำจริงๆ ไม่กี่เดือนหรอก อย่างผลงานรูปแบบวิดีโอเราก็นั่งดูฟุตเทจอยู่หลายวัน พอตัดจริงๆ สองสามวันก็เสร็จแล้ว แต่ถ้าถามทีมงาน พวกเขาจะบอกว่าทุกอย่างยากหมด แต่ทีมงานดี ช่วยเหลือกันดีมาก รับมือกับอะไรๆ หลายอย่างได้ดี 

ถ้าอย่างนั้นที่บอกว่าใช้เวลาไปกับการคิดเยอะ มีช่วงไหนบ้างหรือเปล่าที่รู้สึกว่ามันอาจไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง 

ตอนทํามีหลายงานที่ต้องคิดเข้ามาพร้อมกัน มันเลยนาน บางทีก็ต้องแบ่งโอเควันนี้ทำชิ้นนี้ พอคิดไปสักพักก็อาจจะเปลี่ยนไปทำอีกชิ้นหนึ่ง กระบวนการคิดของเรามันเลยเหมือนการค้นหาตัวเอง ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยหรือท้อกับช่วงเวลาคิดงานอะไรพวกนี้ สนุกมากกว่านะ เพราะเรายังทำในสิ่งที่เราอยากทำ เพราะถ้าไม่รัก ก็คงไม่ทำมันเลยตั้งแต่ต้น 

“ไม่ใช่เรื่องของการกังวลว่างานจะผิดพลาด เพราะความกลัวของเรา ถูกขจัดออกด้วยการซ้อมมาเยอะๆ และการลงสนามจริงๆ ออกไปข้างนอก ไปเรียนรู้ จนกลายเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เรามาถึงจุดนี้ได้”

เมื่อคอนเซ็ปต์ที่อยากสื่อสารมีเรื่องของความเป็นแม่ การต่อสู้ของผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ในฐานะที่คุณเป็นผู้ชาย ทำอย่างไรถึงจะถ่ายทอดความรู้สึกตรงนี้ออกมาได้

เราพยายามทำความเข้าใจ เราไม่อาจเข้าใจทั้งหมดได้แน่นอน แต่ขอพยายามทำความเข้าใจ หมายถึงว่างานใหม่ๆ ของเราคือการต้องการเรียนรู้ เราต้องการเรียนรู้จากคนที่เราทำงาน ซึ่งผลลัพธ์มันก็สำคัญนะ แต่ประสบการณ์ต่างๆ ที่เราได้เรียนรู้มันสำคัญที่สุดแล้ว เหมือนกันเลยเรื่องความเป็นแม่ การต่อสู้ของผู้หญิงเกิดจากเราแค่ตั้งคำถาม เพื่อจะได้ทำความเข้าใจ ได้เรียนรู้ เท่านี้ก็รู้สึกพอใจแล้ว 

แล้วในยามที่เกิดการสูญเสีย คุณเองทำอย่างไรเพื่อเยียวยาตัวเองให้สามารถก้าวผ่านมาได้ 

การสะท้อนความคิด การสะท้อนความรู้สึกของตัวเอง ผ่านงานอะไรบางอย่าง เป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาเราได้มากที่สุด ขณะที่คนอื่นอาจจะทำอาหาร เล่นกีฬา แต่สำหรับเราคือ การได้ออกไปถ่าย ออกไปบันทึก ออกไปทำงาน คิดอะไรบางอย่างสะท้อนออกมาเป็นผลงาน มันคือการเอาสิ่งที่อยู่ในตัวเองออกมา เหมือนไม่มีอะไรติดค้าง ฝังอยู่ในใจ เพราะไม่งั้นจะแบกมันไว้หนักเกินไป 

พอมาถึงจุดนี้ ยังมีเรื่องไหนที่ผ่านมาแล้วยังตั้งคำถาม ยังสงสัยกับมันอยู่บ้างไหม

เราว่ามันคงมีหลายเรื่องที่เรายังต้องทำงานไปเรื่อยๆ ยังต้องใช้เวลากลั่นกรอง แต่ก็เป็นเรื่องแปลกเหมือนกัน เพราะจังหวะของมันน่ะบางทีก็ควบคุมไม่ได้ ว่าจะเอาประเด็นนี้ที่เคยตั้งคำถามออกมาหาคำตอบ 

ท้ายที่สุด คาดหวังไหมว่าคนที่เข้าชมงานจะได้รับอะไรกลับไป หรือรู้สึกอย่างไร 

ถ้าพูดในฐานะคนทำ เราแค่พยายามทำให้มันเป็นไปตามสิ่งที่เรารู้สึก จากนั้นมันไม่ใช่หน้าที่ของเราแล้ว เราแค่นำประเด็นออกมาวิเคราะห์ นำเสนอเท่านั้น อาจจะจบหน้าที่ของเรา ณ ตอนนั้นแล้ว เพราะว่าสุดท้ายคนเราจะเติมกันเอง เขาเอาชีวิต เอาความรู้สึกของตัวเองเข้ามาดูตัวงาน เราว่ามันสวยงามนะ และมักจะได้อะไรมากกว่าการที่เราคาดหวัง