“ผมมาทำงานการเมือง ไม่ใช่เพราะจะเล่นการเมือง แต่ผมต้องการสร้างอิมแพคให้กับสังคม” ‘แบงค์’ ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ คนรุ่นใหม่ขอสู้ในเวทีการเมือง
ในฐานะผู้สมัคร ส.ส. หน้าใหม่ ‘ศุภณัฐ มีนชัยนันท์’ หรือ ‘แบงค์’ วัย 31 ปี กลายเป็นไวรัลในสื่อโซเชียลหลังจากที่บุคคลสำคัญในแวดวงวิชาการพูดถึงเขาและครอบครัว จนเป็นที่รับทราบโดยทั่วกันว่าภูมิหลังของเขานั้นเรียกได้ว่าไม่ต้องทำงานอะไรก็อยู่ได้แบบสบายๆ เพราะเขาคือทายาทตระกูลนักธุรกิจที่ดินที่ร่ำรวยในระดับมหาเศรษฐี ทั้งยังเป็นญาติกับอดีตรัฐมนตรีที่เคยสังกัดในพรรคใหญ่อย่าง ‘เพื่อไทย’
นอกจากนี้ เขายังจบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 จากมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน (ด้านการบริหารโครงการเพื่อการก่อสร้าง) และปริญญาโทด้านอสังหาริมทรัพย์การเงิน จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร รวมถึงได้รับคำชมจากคนจำนวนมากว่า ‘หน้าตาดี’ ทำให้เขาไม่อาจเลี่ยงข้อครหาว่าใช้สถานะทางสังคมและอภิสิทธิ์ด้านรูปร่างหน้าตาดึงดูดความสนใจจากผู้คน
แต่ศุภณัฐซึ่งลงสมัครชิง ส.ส. เขตจตุจักร ในนามพรรคก้าวไกล ยังคงยืนยันด้วยความเชื่อมั่นว่า ‘คนส่วนใหญ่’ จะเลือกนักการเมืองไปทำหน้าที่โดยพิจารณาจาก ‘จุดยืนและความสามารถของผู้สมัคร’ รวมไปถึง ‘นโยบายของพรรค’ มากกว่าจะมองแค่หน้าตาหรือภูมิหลัง และเขายังตอบคำถามที่มีหลายคนสงสัยด้วยว่า จะทำอย่างไรถ้าได้รับเลือกจริงๆ แล้วต้องไปร่วมมือกับบางพรรคที่เคยถูกก้าวไกลตั้งกระทู้ไม่ไว้วางใจและถูกอภิปรายอย่างดุเดือดในสภาก่อนหน้านี้
การที่คุณและครอบครัวเป็นที่รู้จักทางสื่อโซเชียลในฐานะคนหน้าตาดีและมีภูมิหลังทางสังคมที่ดี คิดว่านี่คือการใช้อภิสิทธิ์ในการสร้างกระแสทางการเมืองหรือเปล่า
ผมไม่เชื่อหรอกว่าจะมีใครเลือก ส.ส. หรือนักการเมืองจากหน้าตา ไม่อย่างนั้นคนหน้าตาดีทุกคนก็คงได้เป็น ส.ส. ในสภากันหมดแล้ว การเลือกนักการเมืองมันต้องเลือกในส่วนของจุดยืนและตัวตนของนักการเมือง อย่างที่ต่างประเทศเขาเลือกกัน หนึ่ง ก็คือต้องดูว่าจุดยืนของพรรคการเมืองที่เขาสังกัดคืออะไร นโยบายคืออะไร และ สอง จุดยืนของคนคนนั้นตรงกับพรรคจริงๆ หรือไม่ หรือว่าปลอม ก็ต้องดูที่ตัวผู้สมัครเองด้วยว่ามีความตั้งใจในการทำงานหรือไม่ มีความทุ่มเทหรือไม่ มีความรู้หรือทักษะความสามารถ มีแบ็กกราวด์อะไรมาบ้าง
ส่วนเรื่องหน้าตา ก็ต้องย้อนกลับไปนิดนึงว่าอาจารย์ปวิน (ชัชวาลพงศ์พันธ์) เขาเคยโพสต์เอาไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งเราคงเคยเห็นกัน มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วว่าอาจจะทำให้คนเกิดความสนใจ ผมอาจจะได้เปรียบตรงที่ผมได้รับความสนใจจากพี่น้องประชาชน แต่ถ้าเกิดผมทำตัวไม่ดี ผมจุดยืนไม่ดี เขาก็พร้อมที่จะไม่กาผม เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่าการที่ผมมีจุดยืนตรงกับพรรคก้าวไกล ผมถึงได้รับความนิยมจากพี่น้องประชาชน รวมถึงเรื่องของคาแรกเตอร์เอง เรื่องของความรู้ความสามารถเอง มันตอบรับกันหมด
ทุกวันนี้ด้วยความที่เป็นโลกโซเชียล มันมีทั้งข้อมูลจริงและข้อมูลเท็จอยู่แล้ว แต่ถ้าเราทำอะไรถูก เราก็ไม่ต้องกลัวหรอกครับ เราก็แค่ยืนยันในความถูกต้องของเราอย่างนี้แหละ ผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้วพี่น้องประชาชนพร้อมเข้าใจอยู่ และใช่… มันอาจจะมีบางท่านที่อาจจะรับฟังไม่ครบ หรือรับฟังด้านเดียว แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศ ผมเชื่อว่าเดี๋ยวนี้เขาเข้าถึงสื่อและการสื่อสารได้หมด และก็ครอบคลุมยิ่งขึ้น โซเชียลมีเดียต่างๆ ก็ช่วยให้เราเข้าถึงพี่น้องประชาชนได้มากขึ้น และอธิบายได้ครบมากกว่าเดิม
ทำไมถึงมาเล่นการเมือง เพราะครอบครัวนักธุรกิจจำนวนหนึ่งก็ไม่ได้อยากให้ลูกหลานเข้าวงการนี้ และมักจะมองว่าการเมืองเป็นเรื่องสกปรก
ผมว่ามันเป็นเรื่องที่อาจจะอ้างอิงจากประสบการณ์ของพี่น้องประชาชนด้วยแหละว่าเขาเคยเจออะไรแบบไหนมา ถึงได้พูดว่าการเมืองเป็นเรื่องสกปรก และด้วยความที่เราอยู่ในระบบอุปถัมภ์ มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มันอาจจะไม่มีอะไรที่ทำร้ายกันซึ่งหน้า แต่ก็อาจจะมีการกดดันกันลับหลัง หรือมีการเล่นงานผ่านกระบวนการยุติธรรมต่างๆ หลายคนก็เลยอาจจะไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่ผมมองว่าถ้ามันสกปรก เราก็ต้องทำให้มันสะอาดน่ะครับ
อย่างพรรคก้าวไกล บางทีเราจะใช้คำว่า “เทน้ำเก่าออก ใส่น้ำใหม่เข้าไป” เพราะเราอยากให้มันเกิดการเปลี่ยนแปลง คือผมมองว่าถ้าเรายังอยู่แบบเดิม ใช้คนกลุ่มเดิม อะไรแบบเดิม มันก็สกปรกแบบเดิมอย่างที่ทุกคนว่านั่นแหละ เพราะก็ต้องบอกว่าสิ่งที่มันสกปรกแบบเดิมคือมันโยงใยผูกพันถึงกันหมด เหมือนใยแมงมุมเลย เพราะว่าระบบอุปถัมภ์ ระบบผลประโยชน์ต่างตอบแทน มันเนืองแน่นไปหมด เพราะฉะนั้นจะต้อง remove เอาคนใหม่เข้ามาแทนที่ ซึ่งคนของพรรคก้าวไกลแต่ละคนก็ไม่ได้เชื่อมโยงหรือมีระบบอุปถัมภ์อะไรอยู่เบื้องหลัง การที่เราจะใส่อะไรใหม่ๆ เข้ามา โอกาสที่จะไปเชื่อมโยง โอกาสที่จะรู้กลเกมว่าเบื้องลึกเบื้องหลังสีเทาๆ ที่เอื้อผลประโยชน์อะไรพวกนี้ก็จะยิ่งน้อยลง และมันก็จะสะอาดขึ้น
แต่ครอบครัวของคุณก็อยู่ในระดับมหาเศรษฐี และคุณเคยตอบคำถามสื่อก่อนหน้านี้ว่าคนจนกับคนรวยต้องเจอปัญหาแบบเดียวกัน เช่น น้ำท่วม ฝุ่นควัน การจราจร แต่สิ่งหนึ่งที่คุณมีมากกว่าคือโอกาส ไม่ว่าจะเป็นโอกาสทางการศึกษา หรือคอนเนกชันในแวดวงสังคม คุณจะเข้าใจปัญหาของคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้มีโอกาสอย่างคุณได้อย่างไร
ผมอาจจะไม่ได้เข้าใจปัญหาที่ทุกคนเจอได้อย่างลึกซึ้งเหมือนผ่านประสบการณ์ตรงมา แต่เราก็พร้อมจะเข้าไปทำความเข้าใจกับเขา ต้องไปรับฟัง คือคำว่า ส.ส. ก็คือผู้แทน ผู้แทนก็จะต้องลงไปรับฟังเพื่อให้รู้ว่าเขามีปัญหาอะไร คุณถึงจะสะท้อนปัญหาของเขาออกมาได้ ถ้า ส.ส. ไม่ลงพื้นที่ ไม่ไปรับฟัง อันนี้สะท้อนไม่ได้ แต่ตัวผมเอง ผมพร้อมที่จะไปรับฟัง ผมพร้อมที่จะไปทำความเข้าใจ เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่าผมสามารถที่จะเข้าใจเขาได้
ก็เหมือนกับทุกคนที่อยู่ในรัฐบาลทุกรัฐบาล ผมเชื่อว่าก็อาจจะไม่มีใครเคยผ่านอะไรมาเหมือนกับพี่น้องประชาชนทุกอย่างหรือเหมือนกันทั้งหมดหรอกครับ เพราะเราก็มีตั้ง 60 กว่าล้านคน มีปัญหาแตกต่างกันไป แต่สำคัญที่สุดคือคุณต้องพร้อมรับฟัง คุณพร้อมจะเข้าใจเขาหรือเปล่า และถ้ารับฟังแล้วคุณจะสู้เพื่อเขาหรือเปล่า คุณจะเป็นปากเสียงให้เขาหรือเปล่า หรือคุณรับฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไป ไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะหลายๆ อย่างมันก็เป็นปัญหาเดิมๆ ทั้งนั้น
ถ้าเป็นปัญหาท้องถิ่น ก็มีปัญหาน้ำท่วม รถติด เรื่องของถนนหนทาง แสงสว่าง หรืออาจจะเป็นปัญหากลุ่มทุนผูกขาด ปัญหาค่าไฟแพง ปัญหาเรื่องสิทธิเสรีภาพ สมรสเท่าเทียม หรือหลายอย่างที่มาใหม่ เช่น สุราก้าวหน้า พ.ร.บ.การค้าประเวณี ก็มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้น ที่มัน challenge ตัวเรา และประเทศของเรา ซึ่งเราก็ต้องผลักดันไปให้ได้
ในเขตที่คุณลงสมัคร ส.ส. คิดว่ามีอะไรบ้างที่เป็นปัญหา หรือต้องเปลี่ยนแปลง
ส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือนกันทั้งกรุงเทพฯ นี่แหละครับ คือเรากำลังเข้าสู่ปัญหาเรื่องของผู้สูงอายุ และรายได้ของทุกคนหดหาย ที่ตามมาก็คือเรื่องเศรษฐกิจ เพราะว่าผู้สูงอายุคือหนึ่งในกลุ่มคนที่จับจ่ายใช้สอยจริงๆ ในตลาด ในพื้นที่จริงๆ การกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากมันก็เลยต้องกระตุ้นจากผู้สูงอายุ มันก็เลยลิงก์กันในส่วนของผู้สูงอายุกับปัญหาปากท้อง
สมมติพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลจริงๆ คุณจะจัดการเรื่องอะไรก่อน
พรรคเรามีนโยบาย 100 วันแรกอยู่แล้วว่าจะทำอะไรบ้าง ซึ่งจริงๆ มันก็ต้องทำทุกอย่าง ทำแบบคู่ขนานกันไปครับ เพราะรัฐบาลก็มีตั้ง 20 กระทรวง คนไหนทำหน้าที่อะไรก็ทำไป อาจจะเริ่มจากการแก้ปัญหาโครงสร้างทางการเมืองต่างๆ การกระจายอำนาจ การทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ การลดขนาดกองทัพเพื่อให้ได้สตางค์มากขึ้น การตรวจสอบงบประมาณให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน ฝั่งเศรษฐกิจคุณก็ต้องรีบทำเรื่องสวัสดิการต่างๆ ดึงเงินให้ลงมาอยู่ฐานราก เรื่องของภาษีนิติบุคคล ภาษีบุคคลธรรมดา หรือการเก็บภาษีตัวใหม่ๆ เช่น ภาษีสินทรัพย์ (Wealth Tax) หรือภาษีที่ดินแบบรวมแปลง มันก็ต้องทำคู่ขนานกัน และก็ต้องไปดูเรื่องสิทธิด้วย
อย่างที่เราบอกไปแล้ว เช่น เรื่องสุราเสรี พ.ร.บ. เกี่ยวกับ sex worker มันต้องพยายามที่จะผลักดันและแก้ไข และอีกส่วนหนึ่งก็คือเรื่องการศึกษา แต่ที่ผมสนใจคือเรื่องของรถสาธารณะต่างๆ แบบ EV เพราะพรรคเราเคยบอกว่าจะผลักดันเรื่องของรถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด ดังนั้นอุตสาหกรรมที่จะเกิดใหม่ก็คือรถเมล์ไฟฟ้า อย่างประเทศไทยเราเองก็ใช้มอเตอร์ไซค์เป็นอันดับหนึ่งของโลก ถ้าดูตามสัดส่วนแล้วก็ประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์ของครัวเรือน มีมอเตอร์ไซค์ 1 คันเป็นอย่างน้อย เพราะฉะนั้นอุตสาหกรรมมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าควรเกิดในเมืองไทย คนไทยควรผลิตเองได้ ควรได้ใช้มอเตอร์ไซค์ราคาถูกได้
คือเราจะเห็นว่าเกือบทุกอย่าง ถ้าเอกชนทำออกมาดี รัฐบาลจะเข้าไปสวมรอยต่อแล้วเข้าไปผลักดัน อย่างเชียงใหม่ คุณจะเห็นว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวดี รัฐบาลก็จะทำแต่ Amazing Thailand ทำแต่การท่องเที่ยว แต่ไม่เคยตั้งคำถามเลยว่าแล้วเชียงใหม่จะทำแต่การท่องเที่ยวเหรอ เชียงใหม่จะไม่ขายอย่างอื่นกันเลยเหรอ ชลบุรี พัทยา ภูเก็ต คุณจะขายแต่การท่องเที่ยว ไม่ขายอย่างอื่นเลยเหรอ คือสิ่งไหนที่เขาทำดีอยู่แล้ว รัฐบาลก็จะไปเคลมเอาเครดิตจากเขา แต่สิ่งที่เขาไม่เคยมี รัฐบาลก็ไม่ได้สร้างอุตสาหกรรมใหม่ๆ ให้เขาสักเท่าไหร่เลย อย่างนี้แหละ มันก็เลยต้องผลักดันหลายๆ ส่วนไปด้วยกัน
พูดถึงคนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรก (First Time Voters) บ้าง คุณและพรรคมีจุดยืนต่อคนกลุ่มนี้อย่างไร
สำหรับกลุ่ม First Time Voters ตอนนี้ ปัญหาของเขาคือการหางาน ผมต้องบอกก่อนว่าจริงๆ เว็บไซต์กระทรวงแรงงานเป็นแหล่งให้คนหางานอยู่แล้วนะ แต่ทุกคนพอจะหางาน ปัญหาคือคุณไปหาทางเว็บไซต์เอกชน JobThai, JobsDB แล้วสุดท้าย ถ้าผมเป็นผู้ประกอบการ การจะประกาศหาคนมารับทำ หาคนมาเป็น employee สักคน ผมต้องใช้เงินราวๆ 3,000 บาทต่อตำแหน่ง ในการจะประกาศรับสมัครงาน ผมต้องใช้เงิน 2,000-3,000 ต่อตำแหน่ง ซึ่งหมายความว่าผู้ประกอบการเองก็มีค่าใช้จ่าย เพราะฉะนั้นเขาก็จะประกาศระยะสั้น ประกาศแค่แป๊บเดียว แต่กระทรวงแรงงานมีเว็บไซต์อยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยมีใครรู้เลยว่ากระทรวงแรงงานมีเว็บไซต์ตรงนี้อยู่ คุณต้องผลักดันให้มันเป็นแพลตฟอร์มมาแทนที่สิ่งเหล่านี้ เพราะนี่คือแพลตฟอร์มที่ไม่มีต้นทุน
ถ้าผู้ประกอบการมาโพสต์หาคนทำงานได้ คนทำงานเองก็เข้าไปดูเพื่อหางานได้ เพราะฉะนั้นมันต้องกระตุ้นเพื่อให้มีการแมตช์กัน อย่างผมอาจจะไปเจอเด็กรุ่นใหม่ตกงาน แต่ในขณะเดียวกันผมถามผู้ประกอบการบางคนก็บอกว่าเขาก็หาคนทำงานอยู่แต่หาไม่ได้ หมายความว่าดีมานด์กับซัพพลายมันไม่เจอกันเสียที เราต้องทำให้มาเจอกันครับ แล้วมันจะทำให้เกิดงานได้ง่ายขึ้น
ส่วนที่สอง เราอยากจะทำแพลตฟอร์มเรื่องการเปลี่ยนสายงานต่างๆ เป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ของพรรคก้าวไกลที่อยากจะให้คนมาเรียนรู้อะไรใหม่ๆ สมมติผมจบวิศวกรรมฯ มา แล้วผมรู้สึกว่าสายงานเราอาจจะไม่ถูกต้อง คุณจะเรียนเรื่องอะไรเพิ่มดี คุณอาจจะเรียนเรื่องของการเป็นช่างแต่งหน้า make-up artist ไปเลยก็ได้ เรียนเรื่องการตัดผม เรียนเรื่องภาษา เรียนเรื่องของกราฟิกก็ได้ นี่คือแพลตฟอร์มการเรียนรู้แบบออนไลน์ของพรรคก้าวไกลที่เราพยายามจะผลักดัน ซึ่งมันจะไม่มีค่าใช้จ่ายในการเรียน เพื่อเพิ่มในเรื่องของการเปลี่ยนสายงาน เพราะสิ่งที่เรียนมา จบมาแล้ว อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ชอบ หรือจบมาแล้วอาจจะไม่ตรงกับสายงานตลาดในอนาคต
คือการศึกษาของไทยน่ะ เราเริ่มเรียนก่อน แต่รัฐบาลอาจจะไม่ได้วางโครงสร้างไว้ว่าในอนาคตอุตสาหกรรมตัวไหนจะมา อาชีพอะไรจะมา สุดท้ายการศึกษาอาจจะไม่ทันความเปลี่ยนแปลง นักศึกษาหลายคนฝึกงาน แต่พอจบมาแล้วไม่ได้ทำงานตรงสายงานหรือตรงกับสิ่งที่ตลาดมีอยู่ สุดท้ายแล้วก็หางานไม่ได้ ตกงานกันหมด เพราะฉะนั้นต้องเริ่มเปลี่ยนยาวๆ ตั้งแต่ประถมเลย แล้วก็ต้องอัปเดตอยู่เรื่อยๆ การศึกษาหลักสูตรไทยนี่แทบจะไม่ได้มีการแก้ไขมานานแล้ว ทุกวันนี้บางทียังโฟกัสกันแค่เรื่องการเรียนประวัติศาสตร์ที่เยอะเกินไปอยู่เลย มันอาจจะไม่มีความจำเป็นสำหรับบางคนแล้ว
ถ้าหากได้รับเลือก แต่พรรคไม่ได้เป็นเสียงข้างมาก จะไปร่วมกับพรรคที่มีอุดมการณ์ต่างกันได้หรือไม่
ต้องบอกว่ามันมี 2 พรรคเท่านั้นแหละที่เราทำงานด้วยไม่ได้จริงๆ คือ ‘พลังประชารัฐ’ กับ ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ถ้าถามว่าพรรคอื่นพอจะทำได้ไหม ก็ทำได้ แต่ต้องมี condition มันต้องดูว่าจุดยืนหลักของเรามีอะไรที่เหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วมันต้องเรียกว่าเป็นการต่อรองเพื่อร่วมรัฐบาลมากกว่าครับ คือต้องดูว่าจุดยืนของแต่ละพรรคคืออะไร เอามาดูซิว่าจุดยืนไหนที่คุณรับได้ จุดยืนไหนที่คุณรับไม่ได้
อย่าง ‘ภูมิใจไทย’ พรรคของเราอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องของกระทรวงคมนาคมแล้วก็กระทรวงสาธารณสุข ดังนั้นถ้าเขาจะอยู่กระทรวงนี้อีก เราก็ไม่ร่วมด้วย ผมว่าอันนี้คือจุดยืนหลักของเรา เพราะเราคงร่วมกันไม่ได้หรอก ถ้าร่วมไปแล้วสิ่งที่เราอภิปราย สิ่งที่เรายังกังขา ถ้าเรายังติดใจในสิ่งที่คุณทำอยู่น่ะ แล้วคุณจะไปอยู่กระทรวงเดิม เราก็รับไม่ได้
แล้วถ้าครั้งนี้คุณไม่ได้รับเลือก จะยังคงอยู่บนเส้นทางสายการเมืองต่อไปไหม
ต้องดูที่การตอบรับของพี่น้องประชาชนด้วยว่าเขาตอบรับผมมากน้อยขนาดไหน ถ้าสมมติว่าไม่เลือกผมเลย เราก็คงต้องพิจารณาตัวเองแล้ว แต่ถ้าเกิดเลือกแล้วผมแพ้แบบ ‘เฉือนแพ้’ อันนี้เราก็ต้องดูว่าเราจะสามารถทำงานร่วมกับพรรคในรูปแบบอื่นๆ หรือในจุดยืนแบบต่างๆ ได้หรือไม่ และทางพรรคได้ให้บทบาทมากขนาดไหน เพราะต้องบอกก่อนว่าผมมาทำงานการเมือง ไม่ใช่เพราะจะเล่นการเมือง แต่ผมต้องการสร้างอิมแพคให้กับสังคมได้ แต่ถ้าสร้างอิมแพคกับสังคมไม่ได้ ผมก็ไม่ทำ เพราะไม่รู้จะทำไปทำไม เพราะว่าการทำงานส่วนหนึ่งมันต้อง satisfy ตัวผมด้วย ต้อง satisfy ความรู้สึกของผมด้วยว่าผมสร้างคุณประโยชน์ให้กับสังคมได้ ผมสร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศนี้ได้ แต่ถ้าเกิดทำแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไรกับใครเลย หรือมันไม่แม้กระทั่งว่าจะตอบโจทย์ความรู้สึกผมเอง ผมก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำ หรือหาบทบาทอะไรมาเพิ่มเติม