“หนังที่ดีคือหนังที่พอดูจบแล้วเราตั้งคำถามกับโลกที่เราอยู่” คุยกับ เอกลักญ กรรณศรณ์ จากผู้กำกับโฆษณาสู่ผู้กำกับภาพยนตร์ผู้ฉายภาพชีวิตที่ไร้ทางออกใน ‘RedLife’
หนึ่งในคำถามที่เรามักจะได้ยินอยู่บ่อยๆ คือ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง ‘RedLife’ คือใคร
ไม่แปลกที่หลายคนจะสงสัย เพราะเอกลักญ กรรณศรณ์ ไม่ใช่ผู้กำกับภาพยนตร์มาก่อน หลายปีก่อนเขาเคยโลดแล่นอยู่ในวงการโฆษณา ก่อนที่อยู่ๆ จะตัดสินใจเดินออกจากวงการและก่อตั้ง BrandThink ในฐานะสื่อที่อยากจะถ่ายทอดเรื่องราวของผู้คนและประเด็นสังคมที่น่าสนใจผ่านคอนเทนต์ต่างๆ อย่างไรก็ดี สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของเอกลักญมาตลอดคือ ‘การทำหนัง’ โดยที่จุดศูนย์กลางของเรื่องราวที่เขาสนใจนั้นคือสังคมที่เหลื่อมล้ำและความสัมพันธ์ของผู้คน
ในวันที่ภาพยนตร์เรื่อง RedLife เดินทางสู่โรงภาพยนตร์ เราอยากชวนทุกคนไปพูดคุยกับเอกลักญตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เขาเริ่มสนใจหนัง สู่การร่วงหล่นของแพสชั่นในวงการโฆษณา และความมุ่งมั่นที่กลับคืนมาในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์
อยากย้อนกลับไปในช่วงที่คุณยังเด็กและเริ่มสนใจโลกภาพยนตร์ อยากรู้ว่าความสนใจนี้มันเกิดขึ้นยังไง
ตอนเด็กเราก็เป็นเด็กปกติธรรมดานะ อย่างหนังเราก็ดูหนังทั่วไป แต่คงเพราะจับพลัดจับผลูไปเรียนด้านนี้โดยไม่ตั้งใจมากกว่าที่เริ่มเป็นจุดเปลี่ยน ที่จริงโรงเรียนมัธยมที่เราเรียน เพื่อนส่วนใหญ่มักจะเลือกเรียนบริหาร เรียนธุรกิจ แต่เราไม่อยากเรียนด้านนั้นเพราะเกเรแถมเรียนไม่ค่อยเก่ง ไม่รู้จะเรียนอะไรก็เลยเลือกเรียนภาพยนตร์เพราะนอนดูหนังทุกคืนแค่นั้น แถมยังโชคดีเอ็นฯ ติดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่อีก ซึ่งมันเปลี่ยนชีวิตเราไปมาก จากที่เคยเป็นเด็กเกเรเที่ยวกลางคืนในเมือง แต่อยู่ๆ ต้องไปเรียนเชียงใหม่ ซึ่งต้องจินตนาการว่า เชียงใหม่เมื่อ 25 ปีที่แล้วสงบมากๆ มันก็เหมือนได้เปลี่ยนแปลงความเป็นตัวเรา
อีกอย่างคือ เมืองเชียงใหม่รวมถึงผู้คนที่นั่นมีอิทธิพลทางความคิดกับเราสูงมาก เพราะคนที่อยู่รอบตัวมักจะเป็นคนที่สนใจเรื่องอาร์ต จนทำให้เรามีโอกาสได้ดูงานศิลปะมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นดนตรีหรือภาพยนตร์
ได้กลับมากรุงเทพฯ บ้างไหมช่วงที่ย้ายไปเรียน มช.
เราไม่เคยกลับกรุงเทพฯ เลย เรียกว่าใช้ชีวิตอยู่เชียงใหม่ไปเลย ซึ่งพอเรากลับมากรุงเทพฯ มันก็มีความรู้สึกแปลกปลอมอยู่นะ เหมือนว่าเราไม่ได้ชินกับความเป็นเมืองไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้โหยหายอะไร ก็แค่การเดินทางกลับบ้าน
อยากรู้ว่า ตอนที่เรียน มช. คุณได้คลุกคลีกับภาพยนตร์ยังไงบ้าง
ตอนนั้นที่เชียงใหม่โรงภาพยนตร์ยังน้อย ส่วนใหญ่เราก็อาศัยดูจากวิดีโอเทป ได้ดูภาพยนตร์เก่าๆ บ้าง แต่เราก็ไม่ได้แน่ใจนะว่าตัวเองเป็น filmmaker ไหม เพราะถ้าการเป็น filmmaker เหมือนคุณต้องบ้าหนังอินหนัง แต่สำหรับเรา หนังคือสื่อสำหรับเสพเพื่อความบันเทิงมากกว่า ถ้าเป็นหนังอาร์ตที่ดูยากๆ หน่อย หรือหนังคลาสสิค เราก็ดูแค่เพื่อเรียนเท่านั้น ยิ่งสมัยนั้นอุปกรณ์อะไรต่างๆ มีน้อยมาก กว่าจะได้มาคลุกคลีกับโปรดักชันจริงจังจนคิดว่านี่น่าจะเป็นอาชีพเราจริงๆ ก็ตอนฝึกงานบริษัทโฆษณาเครือสยามสตูดิโอ เลยตัดสินใจไปเรียนต่อ
คุณไปเรียนต่อที่ไหน
เราไปเรียนต่อด้าน Film Production ที่ Academy of Art University ที่ซานฟรานซิสโก ข้อดีที่นั่นคือมีอุปกรณ์ให้นักเรียนใช้เต็มที่ แค่จองไว้เราก็สามารถหิ้วกล้องฟิลม์ Arri ตัวละหลายล้านออกไปถ่ายได้เลย ช่วงนั้นเราเลยได้เริ่มทำงานเกี่ยวกับภาพยนตร์จริงจัง เริ่มตั้งกลุ่มกับเพื่อนเพราะจะได้สลับกันจอง เป็นทีมผูกขาด (หัวเราะ) ส่วนมากเราเป็นตากล้อง มีเพื่อนคนฟินแลนด์เป็นแกฟเฟอร์ มีเพื่อนฟิลิปปินส์เป็นบูมแมน และมีเพื่อนเกาหลีเป็นผู้ช่วยกล้อง แล้วคอยซัพพอร์ทนักเรียนฟิลม์ที่อยากกำกับงาน หรือไม่ก็ศิลปินอินดี้ที่อยากทำเอ็มวีบัดเจ็ทน้อย ทีมเราก็จะไปถ่ายให้เพื่อจะสร้างพอร์ท ทำให้ได้ทำหนังสั้นและเอ็มวีเยอะมาก
ตอนนั้นคุณเริ่มจริงจังกับภาพยนตร์หรือยัง
ตอนนั้นเริ่มจริงจังแล้ว เริ่มค้นพบว่าตัวเองชอบหนังประมาณไหน เริ่มเจอรสนิยมของตัวเอง ได้ดูหนังของผู้กำกับหลายๆ คนทั้งภาพยนตร์ เอ็มวีที่เราชอบ แต่จุดที่คิดว่านี่น่าจะเป็นงานด้านที่เราใช้ชีวิตกับมันจริงๆ ก็ตอนที่เพื่อนส่ง VCD หนังไทยเรื่องนึงมาให้ดูจำได้ว่าดูตอนตีสี่ พอดูเสร็จแล้วคือชอบ เชี่ย สุดยอด น้ำตาไหล และเปิดดูซ้ำอีกทีจนเจ็ดโมงเช้า หนังเรื่องนั้นคือ ‘15 ค่ำเดือน 11’ ของพี่เก้ง จิระ มะลิกุล เป็นจุดที่ทำให้เราตั้งเป้าหมายกับตัวเองเหมือนกันว่า ถ้ามีโอกาส วันหนึ่งเราอยากจะทำหนังเป็นของตัวเอง
เส้นทางชีวิตคุณเป็นยังไงต่อหลังจากเรียนจบจากสหรัฐฯ
พอกลับมาเมืองไทยได้ไม่กี่วันเราก็ได้งาน แต่กลายเป็นผู้กำกับโฆษณาในบริษัทเครือที่เราเคยฝึกงาน
โปรไฟล์คุณก่อนจะเข้าสู่วงการโฆษณาเหมือนมีความอาร์ตอยู่สูง แล้วพอต้องมาทำงานในวงการโฆษณาจริงๆ ความอาร์ตของคุณหายไปเลยไหม
ก็ไม่หายไปหรอก แต่มันเปลี่ยนฟอร์มไปมากกว่า เพราะพอมาทำโฆษณา มันก็กลายเป็นโลกของมาร์เก็ตติ้งและแบรนดิ้งที่สำคัญที่สุด เรียกว่าเป็นช่วงเวลาที่การอยากทำหนังมันสูญหายไปเหมือนกันนะ ความยุ่งของงานทำให้เราแทบจะไม่ค่อยได้คิดถึงมัน เราอยู่ในวงการโฆษณาตั้งแต่อายุ 25 ถ่ายทำด้วยฟิลม์จนถึงยุคดิจิตอล ทำหนังโฆษณาเดือนนึง 3-4 เรื่อง จมอยู่กับกองถ่าย ห้องประชุม ห้อง Post จนเรียกได้ว่า หายจากเรื่องภาพยนตร์และเรื่องเพียวอาร์ตไปประมาณนึง คือได้แค่เสพเหมือนเป็นคนดูเท่านั้น งานโฆษณามันดูดพลังและเวลาค่อนข้างมาก เราว่างานอาร์ตมันจำเป็นต้องมีเวลาว่างพอจะเห็นความสวยงามของอะไรบางอย่างก่อนจะสร้างมัน
มีหลายครั้งที่เรานึกย้อนกลับไปว่า เราเรียนฟิล์มมา เราเคยมีแพสชั่นเคยตั้งใจว่าจะกลับมาทำภาพยนตร์ตัวเองแต่ก็ไม่ได้ทำ แล้วยิ่งพออายุมากขึ้น เราก็ยิ่งถอดหัวโขนยากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายได้ เรื่องชื่อเสียง จริงๆ มันคือการกลัวความล้มเหลวนั่นแหละ
แล้วคุณเอาแพสชั่นที่สูญหายไปกลับมายังไง
มีอยู่วันหนึ่งที่เราประชุมขายงานลูกค้าอยู่แล้วจู่ๆ รู้สึกว่าแปลกแยกมากๆ แบบไม่รู้ว่า เรากำลังนั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้นะ แต่ไม่ใช่ความผิดลูกค้าหรือใครหรอก เราว่ามันน่าจะเป็นความรู้สึกภายในอะไรเราบางอย่างที่มันมีมานาน เราหันซ้ายหันขวาแล้วรู้สึกว่าเราไม่ฟิตอิน เราก็เลย quit จากงานโฆษณาเลย บอกทุกคนว่าขอพักงานปีนึง แต่ในใจคือคิดว่าคงไม่ได้ทำมันแล้ว ซึ่งปีนั้นมันเป็นปีแห่งอิสระของเราอย่างแท้จริง
ปีนั้นคุณไปทำอะไรบ้าง
ไปเที่ยวพักผ่อน เดินทาง อ่านหนังสือ ดูงานศิลปะเพราะไม่ค่อยได้ทำ มีเข้าออฟฟิศบ้าง แต่เราไม่กำกับแล้ว ซึ่งพอว่างเราเลยได้มานั่งคิดว่า จริงๆ แล้วเราไม่ได้ไม่ชอบโฆษณาหรอก แต่มันเป็นเพราะว่าเราทำอยู่อย่างเดียวมานานเกินไป ค้นพบว่าที่จริงเราก็อยากทำงานด้านภาพเคลื่อนไหวอื่นๆ ด้วย ก็เลยตั้งทีมขึ้นมา รวมตัวพูดคุยกันอยู่นาน จนสรุปอยากสร้างสื่อออนไลน์ที่เน้นงานวิดีโอแบบ issue-based ที่อยากคุยกับใครก็คุย อยากถ่ายอะไรก็ถ่าย เลยกลายเป็นจุดกำเนิดของ BrandThink
อีกอย่างคือ ประเด็นของผู้คนและสังคมมันอยู่ในตัวเราด้วย โดยเฉพาะเรื่องความเหลื่อมล้ำ เพราะแม้ว่าตอนเด็กๆ เราจะเรียนโรงเรียนดี โรงเรียนคนมีเงิน แต่จริงๆ แล้วที่บ้านเรามีหนี้เยอะมาก เราเติบโตมากับย่าที่เลี้ยงเรา บ้านอยู่ในซอยชุมชนแออัดไม่ค่อยมีเงิน ซึ่งมันโคตรจะตรงข้ามกับเพื่อนรวยๆ ที่โรงเรียน ตอนนั้นเราไม่เคยพาเพื่อนไปที่บ้านเลยเพราะอายเค้า เราเลยเอนเกจกับเรื่องนี้สูง
พูดได้ไหมว่า การได้ทำ BrandThink ทำให้คุณได้กลับไปสัมผัสความเหลื่อมล้ำในสังคมอีกครั้ง
ก็ใช่ ค่อนข้างมาก งานที่ทำหลายตัวเกี่ยวข้องกับประเด็นพวกนี้ มีหลายครั้งที่เราลงไปทำสารคดีในย่านเมืองเก่า ที่เรียกได้ว่าเป็น ‘สลัมแนวตั้ง’ ได้ไปนั่งพูดคุยกับคนชายขอบและ sex worker จนมันกลายเป็นการสะสมข้อมูลในการทำ หนัง ‘RedLife’ โดยไม่ตั้งใจ มีครั้งนึงเราเคยไปถาม sex worker อายุมากคนหนึ่งว่า โอเคจริงไหมที่ต้องทำอาชีพนี้ซึ่งจริงๆ ก็ได้คำตอบกลับมาว่า “สนใจอะไร ตื่นมามีกิน ตอนเย็นเอาตังค์ให้ลูกใช้ก็หมดแล้ว ชีวิตมีแค่นี้ คิดอะไรมาก ก็แค่ใช้ร่างกายทำมาหากิน อยู่ไม่นานก็ตายกันหมดแล้ว” คำตอบของเขามันจริงและ liberal มากและมันทำให้เราฉุกคิดสนใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับคนกลุ่มนี้
แล้วความคิดอยากทำหนังของคุณมันเกิดขึ้นได้ยังไง
พอเราเริ่มมีเวลากลับไปทบทวนตัวเอง เราก็เลยคิดได้ว่าถ้าจะทำคงต้องรีบทำแล้ว เราอายุไม่ใช่น้อย เพียงแต่ปัญหาคือ พอคิดจะทำจริงๆ เรากลับไม่มีเรื่องที่เรารู้สึกว่าชอบขนาดจะสร้างมันขึ้นมาเป็นหนังจริงๆ เราไปเดินร้านหนังสือหมดเป็นวันๆ บ่อยมากเพื่อหาเรื่องสั้น นวนิยายที่กระแทกเรา หรือกลับไปดูไอเดียต่างๆ ที่เคยเขียนไว้มากมาย แต่ก็ไม่เคยเจอเรื่องไหนที่ถูกใจ จนวันหนึ่งเราก็คิดได้ว่า แทนที่จะค้นหาเรื่องไปเรื่อยๆ เราลองหยิบเรื่องที่เราเคยสัมผัส เคยเจอขึ้นมาสร้างดีมั้ย
เราเลย ชวนคนเขียนบทมาระดมความคิด based on เรื่องราวที่เราเคยเจอ สิ่งที่เราชอบคือ ความสัมพันธ์ของผู้คนซึ่งไม่ใช่ชนชั้นกลางใกล้ตัว แต่เป็นคนอื่นๆ ชายขอบที่อยู่ไกลออกไป ความสัมพันธ์ของแม่-ลูก ความสัมพันธ์แบบคนหนุ่มสาวชายขอบ พูดถึงเรื่องราวของการไม่ถูกรัก
เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่า กระบวนการช่วงเขียนบทเป็นยังไง
A : เราทำทรีตเมนต์ของหนังเรื่องนี้อยู่สองปี จริงๆ มันน่าจะทำเร็วกว่านั้นได้ แต่เราเลือก pace นี้เพราะอยากจะเรียนรู้กับมัน หมุนจนเจอร่างที่เราคิดว่าเราชอบมันจริงๆ สองปีแรกมันเลยเป็นกระบวนการที่เราได้พูดคุยและตั้งคำถามตัวเองสูงมาก จนมันตกผลึกพร้อมเราถึงเริ่มกระบวนการเขียนบท
รู้ได้ยังไงว่าพร้อม
เพราะเราเขียนทรีตเมนต์มาหลายร่างมาก จนสุดท้ายพอเจอทรีตเมนต์อันหนึ่งที่คิดว่า นี่แหละคือเรื่องที่อยากเล่า มันก็กลับไปตอบคำถามที่เราไม่รู้จะเล่าเรื่องอะไร เรารู้สึกว่าในทรีตเมนต์นั้นแหละที่เป็นภาพยนตร์แบบของเรา
สำหรับเราทรีตเมนต์เป็นสิ่งที่สำคัญมากเหมือนเรากำลังสเกตช์ภาพว่าอะไรจะอยู่ตรงไหน ทรีตเมนต์เรายาวเกือบ 30 หน้า แทบจะเป็นบทภาพยนตร์ เพียงแต่ไม่มีไดอาล็อกและยังไม่ได้แตกซีนแค่นั้น พอเข้าช่วงทำบทมันเลยใช้เวลาอีกไม่มาก เราเขียนกับทีมอีกประมาณ 4-5 เดือนก็ได้บทร่างที่โอเค แต่ว่าร่างสุดท้ายที่เราต้องจบเองนี่แหละนานที่สุด ส่วนหนึ่งเพราะเราไม่ได้เป็นนักเขียนด้วย งานเขียนสำหรับเรามันเลยยากมาก
แล้วตอนที่จะเริ่มถ่าย คุณกังวลไหม
กังวลขั้นสุด เพราะเมื่อเป็นหนังแล้วมันแทบจะไม่มีอะไรให้เรายึดเกาะเลยนอกจากตัวเราเอง แถมมันจะคงอยู่กับเราตลอดกาล อย่างการทำสื่อออนไลน์ ถ้าตัวหนึ่งลงไปแล้วได้กลับมาแค่ไม่กี่ไลค์ มันยังสามารถไปโฟกัสกับตัวใหม่ได้ อีกอย่างคือ เราในวัยสี่สิบกว่าๆ มันแบกอะไรไว้หลายอย่าง มันเดินทางมาแล้วเกินครึ่งชีวิต ถึงจะบอกว่าไม่คาดหวังแต่มันก็คาดหวังอยู่ดี
แถมเราเลือกทีมงานเกือบทุกคนเป็นคนทำหนัง ไม่ใช่คนทำโฆษณาและไม่เคยทำงานด้วยกันมาก่อน และบอกทุกคนตรงไปตรงมาว่า ‘โทษทีนะครับผมไม่ได้มั่นใจเลยว่ามันจะออกมาเป็นหนังที่ดีเพราะผมไม่เคยทำ’ ซึ่งจริงๆ มันคงไม่ควรพูดแบบนั้นมั้ง เพราะผู้กำกับก็เหมือนเป็นกัปตันเรือ แต่ดันไปบอกลูกเรือว่า ไม่มั่นใจนะว่าเรือจะล่มหรือเปล่า (หัวเราะ) แต่ที่จริงเราตั้งใจที่จะเลือกจะพูดแบบนั้น เพราะเราอยากให้ทีมงานทุกคนกล้ายื่นมือเข้ามาช่วยเราได้อย่างเต็มที่ เราคิดว่างานกำกับสำหรับเรามันคือการเป็น Conductor พอๆ กับการเป็น Leader
อะไรคือสิ่งที่คุณให้ความสำคัญมากที่สุดในกองถ่าย
สำหรับเรานักแสดงคืออันดับหนึ่ง เพราะต่อให้โปรดักชั่นจะดีแค่ไหน แต่ถ้าการแสดงไม่ดีก็ไม่มีความหมาย เราคิดว่าการกำกับภาพยนตร์ อาจไม่ใช่แค่การกำกับนักแสดง แต่มันคือการกำกับ ‘โอกาส’ ที่จะทำให้เราได้การแสดงที่ดีในหนังเราได้ด้วย ตั้งแต่ทั้งการเลือกสถานที่จริงถ่ายทำ เลือกทีมงานที่เข้าใจกระบวนการ เลือกสภาพแวดล้อมกองถ่าย เลือกเก็บจังหวะและโมเมนท์ที่ถูก
การแสดงที่ดีสำหรับคุณคืออะไร
คือการแสดงอะไรบางอย่างที่จริง ทำให้เราเชื่อและตรึงเราไว้กับมันได้ ซึ่งเราว่าต้องเป็นสิ่งที่ออกมาจากความเชื่อ ความรู้สึกที่แท้จริงของนักแสดงคนนั้นๆ พูดออกมาเป็นคำอาจจะยาก แต่เราสามารถรู้ได้ว่านักแสดงคนนี้กำลังพยายามแสดงหรือแสดงมันมาออกมาเอง เราว่าการแสดงที่ดีคือการแสดงที่เราเชื่อโมเมนต์นั้นโดยตั้งคำถามตั้งแง่อะไรกับมันเลย
ความสนุกในการทำหนังของคุณคืออะไร
เอาจริงๆ เราว่าตัวเราเองไม่ใช่คนโปรดักชั่น เราไม่สนุกกับการออกกองเลยตั้งแต่สมัยทำโฆษณา ไม่ชอบช่วงทำสตอรี่บอร์ด หรือเวลาต้องขายงาน ยิ่งตอน post-production ยิ่งกังวลอีก กลัวออกมาแย่ แต่มี Process เดียวที่เราชอบในการทำงานก็คือตอน Rough Cut (Cutting แรกของหนัง) ตอนที่มันเสร็จ (หัวเราะ) เพราะเราจะตื่นเต้นทุกครั้งตลอดที่ทำงานในตอนที่ดู ยิ่งพอมาเป็นหนัง RedLife ยิ่งตื่นเต้นหนักเพราะเราแบกความกังวลมาตลอด 4 ปีว่าหนังเราต้องไม่เป็นหนังแน่ๆ แถมมีหลายคนขู่ว่า Rough cut แรกของหนังมักจะแย่เสมอ แต่พอดูเสร็จ เรารู้สึกแค่ว่า เออ มันเป็นหนังว่ะ แค่นั้นเลย รู้สึกปลดล็อคมากๆ
จำได้ไหมตอนที่ดู Rough cut สิ่งที่อยู่ในหัวคุณคืออะไร
ไม่ได้คิดอะไรเลย เพราะว่าการถ่ายหนังมันเหนื่อยมากๆ มันใช้พลังงานทางความคิดไปเยอะ พอดูเสร็จเราเลยรู้สึกโล่ง สบายใจตรงที่ทำมันออกมาได้แล้ว ยิ่งมองย้อนไปช่วงตอนสร้างที่มีอุปสรรคเยอะ ถึงขั้นมีครั้งนึงที่เราตั้งคำถามกับตัวเองว่าจะทำมันไปทำไม หยุดดีกว่ามั้ย โชคดีที่เราหาคำตอบกับตัวเองได้ว่า ถ้าทำหนังเรื่องนี้ไม่เสร็จ เราคงจะกลายเป็นคนที่ไม่เคารพตัวเองอีกเลย
ซึ่งความรู้สึกนี้มันมีพลังมากพอที่จะขับเคลื่อนคุณ
ใช่ เป็นพลังหลักเลยล่ะ พอถึงวันที่มันเสร็จและกลายเป็นภาพในหัวตามที่เราคิดจริงๆ เราก็แค่คิดว่า มันสำเร็จแล้วเว้ย แค่นั้นเลย
แล้วตอนที่ดูจบ คุณมั่นใจไหมว่า นี่แหละคือเรื่องที่คุณอยากเล่าจริงๆ
เริ่มมั่นใจแล้ว
เชื่อว่าน้อยคนที่จะรู้ว่า คุณเองก็มีแบคกราวด์ที่เชื่อมโยงกับหนัง หรือน่าจะมีคำวิจารณ์ว่า คุณดูเป็นคนชนชั้นกลางที่อยากทำหนังสะท้อนสังคม คุณคิดว่าจะได้เจอกับคำถามทำนองนี้ไหม
น่าจะเจอแน่ๆ แต่สำหรับเรา หนังในแง่หนึ่งมันคือ ‘ฟิคชั่น’ ต่อให้มันจะ based on true story แค่ไหน แต่ว่าสุดท้ายแล้วมันอยู่ในมือเรา มันก็กลายเป็นความจริงในโลกแบบเรา และหน้าที่ของผู้กำกับคือการทำหนังให้คนดูเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง ซึ่งถ้าจะมีสักคนบอกว่า เรื่องนี้ไม่ตรงกับความจริงของเขา มันก็ต้องแล้วแต่เขา เพราะความจริงมันก็มีหลายเฉด สุดท้ายสิ่งที่เราต่างเชื่อว่าจริงก็อาจเป็นแค่ความจริงด้านหนึ่งเท่านั้นเหมือนกัน
คุณอยากจะให้หนังเรื่องนี้มอบอะไรกับคนดูบ้าง
ไม่เลย เราคิดว่าหนังไม่จำเป็นจะต้องให้บทเรียนอะไรกับคนดู ไม่ต้องเป็นนิทานอีสป แต่ถ้าถามว่าเราต้องการผลลัพธ์อะไร เราอยากให้หนังทำให้คนดูตั้งคำถามอะไรบางอย่างขึ้นมา สำหรับเรา เราว่าหนังที่ดีคือ “หนังที่พอดูจบแล้วเราตั้งคำถามกับโลกที่เราอยู่” และเราคิดว่าการตั้งคำถามนี่แหละคือจุดเริ่มต้นที่จะผลักต่อไปสู่เรื่องอื่นๆ ต่อไปเอง เราเชื่อแบบนั้น