บทเรียนชีวิตของ ‘พรอยมน ปกวรร์ฉัตร’ นักแสดงสาว กับการก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาโรครุมเร้า

6 Min
1610 Views
25 Jun 2023

“ใครจะไปรู้ว่าความสุขเดียวในตอนนั้น มันจะแค่นอนหลับลง และความหวังเดียวของการตื่นขึ้นมา ขอแค่ยิ้มได้” 

ส่วนหนึ่งในบันทึกรีวิวประสบการณ์ชีวิตที่ร่างกายต้องทุกข์ทรมานกับหลายโรครุมเร้า ของนักแสดงสาวมากฝีมือ ‘พรอยมน ปกวรร์ฉัตร’ หรือที่หลายคนเรียกกันติดปากว่า ‘หมอลิน’ อินเทิร์นสาวจากซีรีส์ ‘The Interns หมอ | มือ | ใหม่’ 

พรอยมน เริ่มเดบิวต์ผลงานในวงการบันเทิงจากการถ่ายโฆษณา ต่อมาเป็นที่รู้จักมากขึ้น จากการเป็นนางเอกมิวสิกวิดีโอ ปัจจุบันมีผลงานหลากหลาย ทั้งการถ่ายโฆษณา ละคร ซีรีส์ และภาพยนตร์ดังมากมาย รวมถึงไม่นานมานี้ เธอยังมาพร้อมเส้นทางใหม่กับบทบาทของ ‘ช่างสัก’ ที่บอกเลยว่าฝีมือไม่ธรรมดา 

แน่นอนว่ากว่าจะผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก BrandThink ชวนทุกคนมานั่งพัก รับฟังมุมมองและเรื่องราวการก้าวผ่านช่วงมรสุมชีวิตของเธอคนนี้ ที่เป็นทั้งบททดสอบและบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต ที่เธอเอ่ยปากพูด “ใจร้ายจัง” หลายครั้งตลอดการสนทนา

จุดเริ่มต้นอะไรที่ทำให้หันมาเป็น ‘ช่างสัก’ ควบคู่กับการเป็นนักแสดง

เริ่มจากเพื่อนก็คือ ‘กันสมาย’ ชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์ ที่เพิ่งเริ่มเปิดร้านสัก TakeATatt Studio แล้วเปิดเวิร์กช็อปพอดี เราก็เลยอยากไปลอง เพราะปกติเราเป็นคนชอบสักอยู่แล้วด้วย จริงๆ ไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองจะเป็นช่างสัก 

จนวันหนึ่งมีลูกค้ามาสัก ตอนนั้นกันถามเราว่าลองไหม แล้วก็บอกกับลูกค้าว่าเราเป็นช่างสักใหม่ สักฟรี ไม่คิดเงิน ลูกค้าก็น่ารักมาก ใจมาก “เอาเลยค่ะ สวยไม่สวย ไม่เป็นไร” เราก็…ได้ ทำเลย แล้วออกมาสวยว่ะ จากนั้นก็รู้สึกว่าเราก็ทำได้ เลยเริ่มมาตั้งแต่ตอนนั้น ฝึกทุกวัน แขนคนนู้นคนนี้ เพื่อนบ้าง เพิ่งมาเริ่มทำงานตรงนี้ เป็นอาชีพจริงๆ จังๆ เมื่อต้นปีนี้เอง 

ที่บอกว่าได้ไปลองเวิร์กช็อป คิดไหมว่าวันหนึ่งจะได้มาเป็นช่างสัก

ก็คิดนะ เพราะเราก็เรียนมหา’ลัยสายศิลปะมาอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เราชอบมากๆ ตอนที่ใช้เวลาฝึกสักคือ เราจะหายไปเลยเป็นชั่วโมงๆ แล้วได้โฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่ต้องเจอกับอะไรข้างนอก หรือรอบข้าง เหมือนได้มีสมาธิอยู่กับตัวเอง ไม่รู้สึกฟุ้งซ่าน ยิ่งพอทำเสร็จ มันจะรู้สึกแบบ…ดีว่ะ 

แปลว่าชอบที่ตัวเองเป็นช่างสัก?

ตอนนี้เหรอ ชอบมาก รู้สึกว่านี่คือเป้าหมายปีนี้ รู้สึกว่าอยากมีอีกอาชีพหนึ่งที่อยากลองทำ แล้วกลายเป็นว่า เออ! ในความรู้สึกของเราอาชีพนี้มันก็ไปได้ เราทำได้ด้วย เลยโอเค แฮปปี้ สนุกมาก เพราะจริงๆ เราก็ชอบวาดรูป แต่ถ้าเราวาดแบบไม่มีจุดประสงค์ เราก็ขี้เกียจทำ แต่อันนี้มันก็เป็นอาชีพได้ 

                 

เอาจริงๆ เราไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไร เลยเหมือนมีปมเล็กๆ เวลาให้เขียนช่องความสามารถพิเศษคืออะไร ไม่รู้จะใส่อะไร งงเหมือนกัน คนอื่นเขามีเต้น มีร้องเพลง เราก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมันพิเศษหรือเปล่า จากที่เคยรู้สึกว่าไม่มีความสามารถพิเศษอะไร เราเลยภูมิใจกับตัวเองในสิ่งนี้ที่ทำได้

แล้วมีลายสักไหนที่คิดเป็นตัวเรามากที่สุด 

ก็ยังไม่เจอตัวเองขนาดนั้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นงานสีที่ออกแบบด้วยตัวเอง ตอนนี้เลยยังค้นหาอยู่ แต่ถ้าให้คิดว่าลายสักที่เป็นตัวเรามากที่สุด คงเป็นลายดอกไม้ เพราะดอกไม้เป็นสิ่งแรกๆ ที่เราจะนึกได้แล้วก็วาดมาตั้งแต่เด็กๆ อาจจะเป็นดอกไม้ธรรมดาๆ เพราะเวลาถ่ายรูป เราก็มักจะชอบถ่ายรูปกับดอกไม้ เลยคิดว่าน่าจะเป็นซิกเนเจอร์ของเรา

ก่อนหน้านี้ 2 ปีที่แล้วถือเป็นช่วงสารพัดโรครุมเร้า เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น

เราป่วยเป็น Ramsay Hunt syndrome คือภาวะใบหน้าอัมพาตครึ่งซีก แล้วก็โรคงูสวัด ที่ไม่มีใครรู้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไรกันแน่ อาจจะรวมหลายๆ อย่าง ทั้งภูมิคุ้มกันตก แล้วช่วงโควิดด้วยที่เราไม่ได้ทำงาน มีภาระที่ต้องจ่าย เพราะเพิ่งซื้อบ้าน เลยอาจจะเครียดด้วย แล้วก่อนหน้านั้นเราอาจจะใช้ชีวิตหนักหน่วง ทำงานไม่มีวันหยุดเลย 

ซึ่งความน่ากลัวของโรคนี้คือ ตื่นขึ้นมาแล้วเป็นเลย ขยับไม่ได้เลย กินน้ำ กินข้าวไม่ได้ ตาพร่า ตาปิดไม่ได้ แรกๆ คือเดินชนไปหมด แบบทุกอย่างอะไรวะเนี่ย กลายเป็นคนพิการไปเลย 

ตอนนั้นรู้สึกอย่างไรบ้าง เพราะทุกอย่างถาโถมเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว

มันก็งงอะ แต่ว่าจริงๆ ช่วงโควิดมันไม่มีงานเลยถูกปะ แต่ว่าเดือนนั้น ดันเป็นเดือนที่มีงานเกือบทั้งเดือน กลายเป็นว่าทั้งเดือนนั้นเราไม่ได้ทำงานเลย ซึ่งเราเองก็ไม่ได้โฟกัสด้วยว่าทำไงให้หาย แค่โฟกัสว่าจะหายทันทำงานไหม แล้วเป็นอยู่นานมาก เกือบครึ่งปีเลย แต่ยังมีความหวังตลอด 

คือมันก็มีช่วงที่ดาวน์ แต่ไม่ได้ดาวน์มากขนาดนั้น เราไม่ค่อยร้องไห้ด้วย ร้องไม่ออก เพราะทุกวันจะคอยแต่หาว่าทำอะไรให้มันดีขึ้นได้ คอยแต่วิ่งหาทางออก กับยอมรับแล้วอยู่กับมันมากๆ

โรคนี้ส่งผลกระทบอย่างไรกับคุณบ้าง

กระทบอยู่แล้ว เพราะเอาจริงๆ เราไม่รู้ด้วยว่ามันจะกลับมาไหม จะดีขึ้นไหม ก็ห่วงว่าเราจะทำอาชีพอะไรต่อจากนี้ มีคิดบ้าง แต่รู้สึกว่ายังไงก็ต้องหาย แค่ต้องใช้เวลา ช่วงนั้นก็มีขายของร้านตัวเอง มีรับงานเป็นภาพนิ่งด้วย ก็ต้องบอกลูกค้าว่า “หน้ามันจะดึงๆ หน่อยนะคะ” แต่ลูกค้าทุกคนเข้าใจ ส่วนละครต้องพักไว้หมดเลย เขาก็เข้าใจ แต่ก็มีที่เปลี่ยนคนเลยก็มี เพราะเขาก็รอไม่ได้ ซึ่งเราก็เข้าใจเขา

ใช้เวลานานไหม กว่าจะทำใจยอมรับได้

เหมือนตอนนั้นอยู่กับปัจจุบันมากๆ กลายเป็นว่าความหวังทุกอย่างมันเล็กลงเรื่อยๆ เราขอแค่นอนหลับ ไม่เจ็บก็โอเคแล้ว อีกอย่างเรามองไปไกลกว่า 6 เดือนที่หมอบอกจะหาย “เดี๋ยวมึงเจอกู มึงจะเป็นได้สักแค่ไหน” หรือว่าเวลาเจ็บ เราจะเผชิญกับมันโดยการบอกกับตัวเองว่า “มึงเจ็บแบบนี้เหรอ” แล้วก็อัดคลิปเก็บไว้ 

สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้คุณได้อยู่กับตัวเองเยอะขนาดไหน

อยู่กับตัวเองจนรู้จักและเข้าใจตัวเองมากขึ้น มันเหมือนเราได้หยุดพักเหมือนกัน เพราะที่ผ่านมายอมรับเลยว่าชีวิตไม่ค่อยได้พัก จนไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำว่า จริงๆ เราชอบอะไร เหมือนเคยวิ่งอย่างเดียว พอตอนนี้รถคันนั้นได้จอดพัก ได้มาลองรื้อของในรถ กลายเป็นว่าเจอนู่นเจอนี่เต็มไปหมด

แล้วอะไรที่ทำให้ก้าวผ่านช่วงเวลานั้นมาได้

เอาจริงๆ เจ็บปวดมาก กินก็ลำบาก ยิ้มก็ไม่ได้ หัวเราะอย่าพูดถึง เหมือนมันเอาทุกอย่างไปในช่วงนั้น แต่เราเป็นคนที่ถ้าเรื่องเจ็บปวดจะชอบอยากเอาชนะ ชอบเผชิญหน้า เป็นตั้งแต่เด็กๆ สิ่งที่เกิดขึ้นเลยเหมือนเป็นเพื่อนกับเราในตอนนั้น เพราะมันอยู่กับเราเกือบปี ต้องเรียนรู้กับมันไป มีความหวังในทุกวัน

พยายามหาวิธีปกป้องตัวเอง ด้วยการหาข้อดี หาความสนุกของจังหวะนั้นๆ อย่างความสนุกของเราคือการแต่งตัวทุกวันไปหาคุณหมอ พี่พยาบาล จะตั้งใจแต่งตัวทุกวัน ไม่เคยซ้ำกันเลย หรือคิดว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราจะได้กินขนมเต็มที่ กินน้ำหวานทุกวัน แม้จะโดนห้ามบ้างก็ตาม

หลังๆ มีออกไปข้างนอกบ้าง แต่ช่วงแรกๆ ไม่กล้าออก ความสนุกมันเลยเกิดขึ้น เพราะจากเดิมที่เราพูด ตอนนี้เราเงียบ และได้หยุดฟัง 100 เปอร์เซ็นต์ เลยได้เห็น ได้ยินทุกคนหมดเลย ว่าพวกเขาทำอะไรกันอยู่ ชอบอะไร เหมือนในเรื่องร้ายๆ ยังพอมีเรื่องดีๆ ที่พอจะเยียวยาเราได้

ตอนนั้น มีประโยคไหนบ้างไหมที่บอกกับตัวเองเป็นประจำ

เราบอกตัวเองบ่อยมาก มักจะมองกระจกแล้วบอกว่า “ต่อให้เราเป็นแบบนี้แล้วเรายังน่ารักเลย” หรือ “วันนี้ยังยิ้มไม่ได้ไม่เป็นไร หน้านิ่งเธอก็สวยมาก” 

มันมีวันหนึ่งที่เรารู้สึกว่าดีขึ้นแล้วแหละ ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ซึ่ง ณ ตอนนั้นรู้สึกว่าเออ พอแล้ว ไม่ต้องดีขึ้นกว่านี้ก็ได้ เราพอใจแล้ว ซึ่งตอนนั้นแค่นิดเดียวด้วยซ้ำ เราไม่ค่อยร้องไห้ แต่วันนั้นเราถ่ายคลิป เหมือนเป็นไดอารีที่จังหวะนั้นเขียนไม่ไหวจริงๆ เพื่อคุยกับตัวเอง แล้วก็ร้องไห้ ในคลิปเราพูดใจความหลักๆ ว่า “วันนี้ดีขึ้นแล้วนะ เก่งมากๆ” เรื่องนี้มันใหญ่แล้ว เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ไม่ว่าจะเจออะไร ไม่ต้องกลัว”

และบอกตัวเองในอนาคตอีกว่า “ถ้าวันนั้นกลับมาดูคลิป ให้รู้ไว้นะว่าวันนี้เก่งมาก” 

เป็นการร้องไห้ที่ดีใจมากๆ หลังจากนั้นเราวิ่งลงไปหาแม่แล้วก็ร้องไห้กับเขา นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เราคุยจริงๆ จังๆ กับเขาเรื่องที่เราป่วย เพราะก่อนหน้านี้คือไม่อยากให้เขาสงสารว่าเราป่วย หรือเป็นห่วงเรา แต่วันนั้นเขาบอกนะว่าเขารู้มาตลอด แต่ไม่อยากถาม ซึ่งวันนั้นเขาก็ดีใจมากที่เราตัดสินใจบอก ครั้งนั้นเลยเป็นครั้งที่ร้องไห้ใหญ่ๆ และก็ไม่มีอีก รู้สึกว่าจังหวะนั้นกำลังใจมาแล้ว ต่อให้ดีขึ้นแค่นี้เราก็พอใจละ

เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่หนักสุดในชีวิตได้ไหม

หนักที่สุดในชีวิตแล้ว กินลำบาก หัวเราะก็ไม่ได้ เพราะว่ามันขยับไม่ได้ พูดก็ไม่รู้เรื่อง เจ็บด้วย แล้วมีอีกช่วงที่เรามีอาการแพ้ ตัวบวม สิ่งที่เราคุยกับตัวเองคือ “มันใจร้ายกับเราจังวะ ถ้าจะเป็นแบบนี้ให้เราตายเลยไหม”

ส่งผลทำให้เป้าหมายในชีวิตเปลี่ยนไปด้วยไหม

ไม่ถึงกับเปลี่ยน แต่ว่าอะไรๆ มันง่ายขึ้นนะ เรามีความไม่เป็นไรมากขึ้น ปกติเป็นคนที่ชอบเที่ยวมาก ถ้าไม่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศ หรือไม่ได้ไปเที่ยวก็จะเซ็งอะ แต่ตอนนี้คือไม่เป็นไร แค่นี้ก็โอเค ได้อยู่ รอได้ ทุกอย่างกลายเป็นง่ายขึ้น เราใจเย็นขึ้น 

มองกลับไป ณ ตอนนั้น อยากบอกกับตัวเองว่าอะไรบ้าง

อยากบอกประโยคเดียวเลยว่า “เก่งมาก” ยิ่งพอคุยกับหลายๆ คนแล้วรู้สึกว่า เออ…เราผ่านมาได้ยังไง พอมองไปตอนนั้นเรายังเจอความสนุกและยังมีความสุข ตอนนั้นเหมือนเราเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์ เพราะมีสองสิ่งที่เราระบายด้วยในวันที่อ่อนแอ คือหมากับปลา โคตรตลก คือแบบให้อาหารแล้วก็…โอ๊ย วันนี้เจ็บจัง

ทุกวันนี้ได้กลับไปดูคลิปที่อัดหรือไดอารีที่เขียนไว้บ้างไหม

ยังไม่กล้าดู…. (น้ำตาซึม) มีดูไปครั้งนั้นครั้งเดียว ตอนที่เอาคลิปมาตัดลงไอจีที่บอกทุกคนว่าเราป่วย ก็ยังไม่ได้ดูอีกเลย คิดว่าอีก 10 ปีค่อยว่ากัน รู้สึกว่ามันสดๆ อยู่ แล้วก็ไม่มีความจำเป็นด้วย เพราะตอนนี้โอเคแล้ว ถึงแม้จะเป็นบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ ใหญ่เกิน ใหญ่แบบอะไรขนาดนั้น ใจร้ายอยู่ แต่ก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องแย่เสียทีเดียว 

ช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้กลัวตาย หรือหวงแหนชีวิตตัวเองมากขึ้นหรือเปล่า

ถ้าตายไปเลยไม่ทรมาน โอเคนะ เราไม่กลัวตาย แต่สิ่งที่เราเป็นมันเหมือนตายทั้งเป็น เพราะทำอะไรไม่ได้แต่ยังต้องมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ก็ระวังตัวเองมากขึ้น หวงชีวิตมากขึ้น เมื่อก่อนต่อให้เล่นกิจกรรมหวาดเสียวแค่ไหน ไม่กลัวเลย แต่ตอนนี้เซฟตัวเอง มองความเสี่ยงมากขึ้น เพราะไม่อยากกลับไปอยู่ในโมเมนต์ที่ตายทั้งเป็นแล้ว มันไม่ไหว 

ตอนนี้เลยกลายเป็นคนที่ถ้าตอนไหนมีความสุขมากๆ ก็จะไม่เหลิง เพราะถ้าตอนไหนเราทุกข์ เราก็จะไม่จมมากเว้ย เพราะสักวันหนึ่งเรื่องนี้มันจะจางลงอยู่ดี เวลามีความสุขเลยจะเบรกๆ หน่อย อย่าไปอินเกิน (ลากเสียงยาว)

ขอบคุณสถานที่: The Commons Thonglor
ซอยทองหล่อ 17 ถนนสุขุมวิท 55 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ (https://tinyurl.com/3xk8f73v)