ชีวิตที่ถูกระบบกลืนกินของ ‘กิ๊ก-ศันสนีย์‘ อดีตครูผู้รับราชการมากว่า 10 ปี จนตัดสินใจลาออก เพื่อสุขภาพใจที่ดี ได้มีเวลากับครอบครัว

7 Min
1257 Views
08 Jul 2023

ก่อนหน้านี้เรามักจะได้ยินประเด็นว่าครูไทยจำนวนไม่น้อยรู้สึกอยากลาออก ผนวกกับช่วงที่ผ่านมาจะเห็นข่าวคนทำงานหนัก เหนื่อยล้า จนส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจมากมาย จึงทำให้เราชวน ‘กิ๊ก-ศันสนีย์ มุกดาหาร’ อดีตครูผู้รับราชการมากว่า 10 ปี มาร่วมสะท้อนปัญหา พร้อมกับแชร์มุมมองและความรู้สึกของครูคนหนึ่งที่อยู่ภายใต้ระบบการทำงานนี้

แม้การรับราชครู คือสิ่งที่เธอภูมิใจมากที่สุด ทว่าสิ่งที่เธอต้องแลก คือสุขภาพกาย สุขภาพใจ ทั้งเวลาและชีวิต ขณะเดียวกันเป้าหมายของเธอที่เคยวาดไว้ก็เปลี่ยนไป จากที่เคยอยากเห็นตัวเองเติบโตในชีวิตข้าราชการ สู่การขอแค่ตัวเองได้ใช้ชีวิต มีสุขภาพใจที่ดี และมีเวลากับครอบครัว ก็เพียงพอ

ทำไมคุณถึงอยากเข้ารับราชการครู 

ย้อนกลับไปตอน ม.6 ยังไม่รู้ว่าจะไปต่อที่ไหนดี เลยสำรวจตัวเองจนคิดว่าสิ่งที่เราเรียนได้ดี คือวิชาสังคมศึกษา ซึ่งเป็นทางที่เราถนัดที่สุดในตอนนั้น เพราะไม่มีใครมาไกด์ให้เราว่าทางนี้ดี ทางนั้นดี จนไปปรึกษาอาจารย์ว่าเราชอบวิชาสังคมนะ อาจารย์ก็แนะว่าให้เราเป็นครู เลยเลือกทางนี้ แค่เพราะเราคิดว่าเรียนทางนี้ได้ แล้วตอนนั้นสมัครโควตาไปแล้วติด พอติดแล้วเราก็เอาเลย 

ตอนแรกก็คิดอยู่ว่าเรียนจบไม่ต้องเป็นครูก็ได้มั้ง เพราะไม่ได้รู้สึกว่าต้องเป็นครู พอไปเรียนจริงๆ ซึ่งเป็นหลักสูตร 5 ปี ดูเหมือนนาน แต่เป็นห้วงเวลาที่สนุก จนเวลาผ่านไปเร็วมาก เลยคิดว่าเรียนจบมาปุ๊บก็คิดว่าเราต้องไปให้สุดในทางที่เรียนมา เลยตัดสินใจสอบบรรจุเข้ารับราชการครู

แล้วคิดถูกหรือเปล่า 

คิดว่าคิดถูก เพราะที่บ้านไม่มีใครรับราชการมาก่อน และสำหรับคนต่างจังหวัด การได้รับราชการคือที่สุดแล้ว เรารู้สึกว่ามันคือการประสบความสำเร็จอย่างหนึ่ง เพราะคำว่าข้าราชการในมุมมองของเรา พอได้เป็นปุ๊บคือความมั่นคงของอาชีพ ไม่เหมือนทำงานบริษัท ที่การเปลี่ยนแปลงอาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา หรืออาจจะถูกเลิกจ้างตอนไหนก็ได้ 

เริ่มแรกข้าราชการครูอาจจะได้เงินเดือนไม่มากนัก แต่ถ้าได้ไต่ไปเรื่อยๆ จนอายุราชการเยอะๆ เงินเดือนสูงเหมือนกัน และเรื่องของสวัสดิการที่เราได้รับ ทั้งตัวเองและพ่อแม่ พอเป็นข้าราชการครูไปโรงพยาบาลรัฐที่ไหนก็ไปได้เลย สมมติวันหนึ่งมีลูก ลูกก็ได้ด้วย

คุณนิยามคำว่า ‘ครู’ อย่างไร

คำว่า ‘ครู’ ในความรู้สึกเรา ครูเป็นผู้ให้ความรู้ ทุกวันนี้ความรู้หาง่ายมาก แต่ความรู้ที่ถูกต้อง มันไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ บางครั้งก็เป็นความรู้ที่ผิดๆ อีกอย่างคือครูเป็นผู้ให้ความคิด เพราะแม้แต่ AI ก็ให้ไม่ได้ แล้วก็ต้องเป็นความคิดที่ถูก ที่ดีงาม แล้วต้องอัปเดตตลอดเวลา ไม่ใช่ยึดโยงกับความรู้ ความคิดเดิมๆ เพราะโลกเปลี่ยน ความคิดเปลี่ยน ครูจึงต้องเป็นผู้นำทางความคิด 

คุณคิดว่าตัวเองเป็นครูแบบไหน 

ครูจะมีหลายสายเหมือนกัน ครูสายนางฟ้าก็มี สายโหดๆ ก็มี แต่เราจะเป็นสายกลางๆ ค่อนข้างลุยหน่อย บทจะใจดีก็ใจดีได้ บทจะโหดเราก็โหด เพราะเด็กเขามีความหลากหลาย ต้องใช้วิธีการที่แตกต่างกัน ตามบริบทของเด็กๆ ซึ่งเราไม่ใช่ครูที่ต้องการทำให้เด็กกลัว แต่จะพยายามคุยกับเขาด้วยเหตุผลมากกว่า ไม่ค่อยชอบบังคับว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ อยากให้เขาคิดได้ด้วยตัวเอง

สำหรับคุณ คิดว่าการรับราชการครูมีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร 

ข้อดีอย่างแรกคือ เรารู้สึกมีความสุขกับการสอน เรารู้สึกมีค่าต่อคนอื่น สองคือ เป็นอาชีพที่มั่นคง ต่อรายได้ ไม่ว่าจะฝนตก แดดออก ฟ้าร้องก็ยังได้เงิน เป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงน้อย ยิ่งถ้าเราไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ มีวิทยฐานะที่สูงขึ้นก็ยิ่งเงินเดือนเยอะ และถ้ามีการบริหารจัดการเงินที่ดีด้วย อยู่ได้สบายๆ เลย แต่ถ้าถามว่ารวยไหม ไม่มีคำว่ารวยในอาชีพนี้ ไม่มีเงินพิเศษ ไม่มีโบนัสอะไร 

ส่วนข้อเสีย เป็นอาชีพที่ทำงานหนักมาก หนักในที่นี้คืองานไม่ได้อยู่แค่ในเวลาราชการ สมมติมีเวรเช้า 6 โมงครึ่งต้องถึงโรงเรียนแล้ว หรืออย่างตอนเย็นเวลาราชการคือเลิก 4 โมงครึ่ง แต่งานยังไม่เสร็จ เคยประชุมถึงทุ่ม 2 ทุ่มก็มี ถ้างานยังไม่เสร็จก็กลับไปทำงานต่อที่บ้าน เตรียมสอนก็ต้องเตรียม การทำงานล่วงเวลาพวกนี้ไม่ได้เงินเพิ่ม 

ซึ่งเราก็ไม่อยากได้เงินเพิ่มหรอก สิ่งที่เราต้องการคือเวลาพักผ่อน การมีสุขภาพใจที่ดี โรงเรียนต้องโฟกัสเด็ก โฟกัสผู้ปกครอง ครูเหมือนอยู่ตรงกลาง แล้วใครโฟกัสความรู้สึกครู ไม่มีใครปกป้องครูเวลาเกิดปัญหา คำว่าเพื่อโรงเรียนมาก่อนเสมอ

วันจันทร์ถึงศุกร์เราทำงานโรงเรียน บางวันตอนเย็นก็จะแวะมาดูสวนของครอบครัว ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดเข้าสวนอยู่แล้ว มันเลยทำให้เราไม่มีโอกาสได้พัก หรือได้ปิดเทอมเล็ก-ปิดเทอมใหญ่เหมือนครูคนอื่น เราใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอด แต่หลังๆ มานี้ งานโรงเรียนมันเยอะขึ้นๆ จากที่เมื่อก่อนเคยบาลานซ์ได้ แต่ปัจจุบันมันเริ่มไม่ได้แล้ว 

ไหนจะงานโรงเรียน และทำสวนด้วย มันเหมือนร่างจะฉีก จิตใจก็ไม่ได้พัก ร่างกายก็ไม่ได้พักผ่อนเลย เริ่มคิดว่าชีวิตแบบนี้ มันไม่น่าใช่แล้วหรือเปล่า

มองย้อนกลับไปตอนนั้น เวลาทำงานคุณเจอกับปัญหาอะไรบ้าง

ปัญหามันเป็นที่ระบบ เกิดจากองค์ประกอบหลายอย่างมาก ปัจจุบันเราไม่รู้ว่าครูโรงเรียนเอกชนเป็นยังไง แต่ครูโรงเรียนรัฐบาล นอกจากการสอนเด็ก การดูแลเด็ก ยังมีงาน มีภาระงานอื่นๆ โดยเฉพาะครูต้องอยู่กับการรายงานเต็มไปหมด รายงานการเยี่ยมบ้าน การโฮมรูม ต้องปั่นเอกสารหนาๆ เยอะมาก ซึ่งไม่มีใครอ่านทั้งหมดหรอก ไหนจะงานที่ต้องแข่งขัน ไม่อยากแข่งก็ต้องแข่ง เพื่อให้มีผลงาน สร้างชื่อเสียงให้โรงเรียน 

แต่ความจริงครูไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น มันกลืนกินเวลาชีวิตเยอะเกินไป เราไปโรงเรียนทุกวัน แทบจะไม่มีเวลาดูแลครอบครัวเลย เริ่มรู้สึกว่ามันหนักเกินไป ไม่ได้อยากมีชีวิตแบบนี้ เราอยากอยู่ในอาชีพครูที่มีความสุขในการสอน แต่ความเป็นจริงคือ การเป็นครูไม่ได้มีหน้าที่แค่สอน มีงานอีกมากมายที่ต้องทำ

แล้วจุดไหนที่ทำให้คุณตัดสินใจลาออก หลังจากรับราชการครูมากว่า 10 ปี

ความคิดจะลาออกไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น ความเหนื่อยล้าที่มันสะสมมาเรื่อยๆ เพราะคำว่าลาออกเนี่ย ต้องได้คำตอบว่าออกแล้วไปทำอะไร ออกแล้วชีวิตจะเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เรายังตอบไม่ได้

แต่พอมาถึงเหตุการณ์หนึ่งที่ทีมของเราล้ามาก มีทั้งเด็ก ทั้งครู มีอีกหลายงานมากๆ ที่ต้องทำ เราเลยเดินไปบอกเขาว่าขอพักจากภารกิจนี้ ขอเซฟทีมของเรา พร้อมเสนอวิธีการง่ายๆ เพื่อให้งานดำเนินต่อไปได้ 

แต่ประโยคที่ได้กลับมาคือ “ก็ต้องทำ” ด้วยสายตาที่เย็นยะเยือก สิ้นคำนั้นเราก็ตอบว่า “ค่ะ” แล้วเดินออกมา ไม่มีการโต้เถียงใดๆ เกิดขึ้น เพียงเราได้ยินคำนั้น ซึ่งไม่ใช่คำพูดที่รุนแรงอะไร แต่ในใจมันสะบั้นไปหมดแล้ว เขาไม่สนใจว่าเราจะเป็นยังไง เหนื่อยแค่ไหน

ตอนนั้นเราเหมือนคนอกหัก รักนะแต่มันไปด้วยไม่ได้แล้วจริงๆ เรารักในอาชีพครู แต่ในความรักมันมีความทุกข์ด้วย แล้วมันดันมีความทุกข์มากกว่ามีความสุข ถึงบางครั้งอาจจะเลือกเดินออกมาเลยไม่ได้ แต่พอชีวิตมันเดินทางไปถึงจุดที่เจ็บที่สุด ชีวิตมันเลือกได้เอง

จากเหตุผลทั้งหมดที่เกิดขึ้น งานที่หนัก และเหนื่อยมากๆ ประจวบเหมาะกับจังหวะของครอบครัว แม่เริ่มสุขภาพไม่ดี สวนต้องการคนมาดูแล เลยคิดว่าการทุ่มเทชีวิตให้กับตัวเองและครอบครัวเป็นเรื่องที่ดีกว่า

หลังจากเหตุการณ์วันนั้น คุณได้คำตอบเลยไหม แล้วทำอย่างไรต่อ

เหมือนเราค้นพบว่าสิ่งที่เราต้องการในชีวิตมันเปลี่ยน เราอยากมีชีวิตที่ได้ใช้ชีวิต อยากดูแลครอบครัว เราก็ไปปรึกษาครูที่เคยทำงานด้วย เป็นพี่ที่เราเคารพเขามาก พอบอก เขาก็ไม่ได้ค้านอะไร แต่เขาตั้งคำถามให้เราตอบทีละข้อ บางข้อที่เรายังตอบไม่ได้ก็ให้ไปคุยกับครอบครัว 

ซึ่งคนแรกที่เราคุยคือสามี เพราะเขาเป็นคู่ชีวิตเรา อนาคตข้างหน้าจะอยู่ยังไง แต่เขาเข้าใจเรามากๆ แม้ตอนแรกจะไม่เห็นด้วย พอหลังจากปรึกษาครูท่านนั้น คุยกับครอบครัวเสร็จ ไม่กี่วันก็ตัดสินใจลาออกเลย 

แล้วก็เริ่มติดต่อตามขั้นตอนต่างๆ ที่ครูรุ่นพี่แนะนำ เพราะก่อนออกต้องศึกษาว่าเราจะได้สิทธิอะไรจากทางราชการบ้าง ต้องวางแผนให้ดี แล้วมันจะมีเงื่อนไขการลาออกด้วยว่าต้องไม่อยู่ในช่วงลาศึกษาต่อ ใช้ทุน อยู่ระหว่างถูกสอบวินัยหรือคดี ที่สำคัญถ้ามีหนี้ต้องเคลียร์ให้เรียบร้อยก่อน  

พอตัดสินใจลาออกแล้ว คุณวางแผนกับชีวิตต่อไปอย่างไร

จริงๆ แล้วโฟกัสแรกหลังจากที่เราตัดสินใจลาออกมา คือการทำสวน แล้วเราก็โชคดีที่มีอาชีพทำสวน เป็นสิ่งที่เราทำมาตั้งแต่เด็กและทำมาตลอด มันช่วยชีวิตเราได้ แม้ต้องทิ้งอีกสิ่งหนึ่งในชีวิตไป ในปัจจุบันการทำสวนมันช่วยให้คุณภาพชีวิตดีได้เหมือนกัน แถมอยากหยุดก็ได้หยุด เราสามารถบริหารจัดการเวลาของตัวเองได้ 

ถึงจะไม่ได้เป็นครูแล้ว แต่คุณอยากเห็นระบบการทำงานของครูปรับเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างไหม

อันดับแรก อยากให้คนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการศึกษา เป็นผู้รู้ด้านการศึกษาโดยตรงเลย เขาจะได้เข้าใจบริบทการทำงาน หรือเข้าใจปัญหาจริงๆ เพราะเวลาสั่งการ หรือนโยบายจะได้ออกมาเพื่อตอบโจทย์กับคนทำงานจริงๆ พอโฟกัสมันดีแล้ว นโนบายจะถูกส่งต่อมาที่เขต ที่โรงเรียน โดยมีครูเป็นผู้ปฏิบัติ และแน่นอน เด็ก ซึ่งเป็นผู้รับก็จะดีกับเขาด้วย

อีกสิ่งที่อยากให้ปรับมากๆ เลยคือ หลักสูตร เพราะเนื้อหาในหลักสูตรการศึกษาของไทยในปัจจุบัน หลายๆ ส่วนมันล้าสมัยแล้ว ปัจจุบันเป็นหลักสูตรแกนกลาง 2551 ตอนนี้มัน 2566 แล้ว ควรปรับให้เข้ากับบริบทปัจจุบัน 

อย่างชุดลูกเสือที่เป็นประเด็น เราเห็นด้วยที่ไม่ต้องบังคับ เพราะชุดหนึ่งเสียเงินเกือบเป็นพัน ส่วนเงินที่กระทรวงฯ สนับสนุนมันไม่เพียงพอ ภาระของผู้ปกครองเยอะจริงๆ มันไม่ใช่ทุกคนจะมีกำลัง และวิชาลูกเสือเองในอดีตมันอาจจะใช่ แต่หลักสูตรตอนนี้มันควรปรับให้เข้ากับวิถีชีวิตของเด็กยุคนี้ด้วย เอาทักษะที่ควรรู้ในปัจจุบันมาฝึกจะดีกว่า 

และควรหาเจ้าหน้าที่สายสนับสนุนให้กับโรงเรียน เช่นเจ้าหน้าที่การเงิน เพราะว่ามันเป็นงานที่อยู่กับเงิน อยู่กับความเสี่ยง ควรมีเจ้าหน้าที่เฉพาะ มีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้ แล้วให้ครูได้ไปสอน ไปดูแลเด็ก เพื่อผ่อนงานครูลงได้บ้าง

สุดท้ายคือ เปลี่ยนวิถีการดูงานที่ไม่ได้ไปดูงานจริงๆ เรามองว่าการดูงานจริงๆ มันดีนะ แต่จากที่เคยสัมผัสมา หลายครั้งมันก็มีการโฟกัสที่ไม่ใช่การมาดูงาน กลายเป็นครูต้องมารับคณะศึกษาดูงาน ทิ้งคาบสอนมา แล้วเด็กจะอยู่ยังไง อาจจะสลับคาบอะไรกันได้ แต่ควรเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า 

แปลว่าระบบการทำงานของครูถูกบีบบังคับให้เสียสละเวลาส่วนตัว?

ใช่ ครูต้องอยู่กับคำว่าเสียสละ ไม่ใช่แค่เวลา บางครั้งต้องจ่ายเอง เพราะเราต้องอยู่กับเด็ก เช่นการฝึกซ้อม หรือการทำงานนอกเวลา ถ้าเด็กหิว เราก็ต้องดูแล เพราะการจะเบิกเงินของราชการแต่ละครั้งมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มีแต่เข้าเนื้อ แล้วส่วนใหญ่ก็เป็นงานที่ทำเพื่อผลงานโรงเรียน วิถีครูกลายเป็นวิถีแห่งการแข่งขัน วิถีแห่งการประเมินไปหมด แทนที่จะเป็นระบบที่โฟกัสการสอนในห้อง งานสอนมันควรจะมาลำดับแรก ไม่ใช่งานพิเศษ หรืองานอื่น

ซึ่งระบบนี้มันคงไม่เปลี่ยน ถึงจะเปลี่ยนได้คงไม่ใช่เวลาอันใกล้ เราเป็นแค่ครูตัวเล็กๆ ไม่มีอำนาจอะไร เราเปลี่ยนตัวเองดีกว่า 

ทุกวันนี้เสียดายไหม ที่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพครู

เสียดายนะ เสียดายความรู้ ทักษะ ความสามารถ ที่เราสะสมมาตลอด เพื่อเป็นครู คิดว่าเรายังให้เด็กได้อีกเยอะ เราชอบมากเวลาอยู่หน้าห้อง แล้วโฟกัสมาอยู่ที่เรา เวลาตั้งคำถาม หรือสอนอะไรแล้วเด็กเขาว้าว และก็เสียดายมิตรภาพของเพื่อนร่วมงาน

แต่เราชอบชีวิตตัวเองตอนนี้นะ เหมือนได้กลับมาเป็นตัวเองจริงๆ ได้มีความสุขจริงๆ