“ถ้าตั้งเป้าหมาย ต้องเป็นเป้าหมายที่ใจสั่น ถ้าเป้าหมายไม่ทำให้ใจสั่น เป้าหมายนั้นอาจไม่ท้าทายพอ” คุยกับคุณอ้อ-ปิยจิต รักอริยะพงศ์ CEO แห่ง SAPPE ที่พร้อมพาแบรนด์ไทยไป Global และชวนทุกคนอัพเวลไปด้วยกัน

7 Min
672 Views
17 Feb 2024

จุดเริ่มต้นของคุณเป็นอย่างไร กับการก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นชิน?

ก่อนที่จะมาทำธุรกิจกับที่บ้าน เราทำงานในส่วนของงานธนาคารมาก่อน ช่วงนั้นทำ Investment Banking ทำอยู่สักประมาณ 15 ปี แล้วหลังจากนั้นทางครอบครัวก็อยากพาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็เลยชวนกลับเข้ามา 

ในช่วงแรก เราเข้ามาทำในตำแหน่งของ CFO (Chief Financial Officer) ถามว่ามาถึงคัลเจอร์ช็อกเลยหรือเปล่า ก็ต้องบอกว่าช็อกนะ เพราะว่าเรามาจากองค์กรที่แพลตฟอร์มทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว แล้วการทำงานมันก็เป็นระเบียบเรียบร้อยตามฟังก์ชัน แต่เพราะตอนนั้นมันเป็น Family Business เราก็เหมือนเป็นหนึ่งใน Big Stakeholder คนหนึ่ง เราจึงมีบทบาทหน้าที่ในการดูแลเกือบทุกภาคส่วน เพราะการที่เราจะพาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แผนผังองค์กรมันต้องชัดเจน เราก็เริ่มกันตั้งแต่เรื่องของการจัดการในส่วนนี้ซึ่งมันก็ช่วยให้การทำงานชัดเจนขึ้น 

อีกเรื่องที่ต้องปรับตัวก็คือเรื่องของตลาดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผู้บริโภค พฤติกรรมผู้บริโภค เทรนด์ของตลาดเป็นยังไง คู่แข่งเป็นแบบไหน เทรนด์ไหนกำลังมา การตลาดคืออะไร เรามาจากสายงานธนาคารเราไม่ต้องทำการตลาด เราไม่ต้องสนใจเรื่องของโฆษณา เพราะงานแต่ก่อนของเรามันค่อนข้างจะเฉพาะเจาะจงในตัวของมันอยู่แล้ว 

นอกจากเรื่องภาพกว้างอย่างแผนผังองค์กร หรือการเข้าใจตัวธุรกิจแล้ว เรื่องที่เราช็อกอีกเรื่องก็คือเรื่องของการบริหารคน เพราะต้องบอกว่า SAPPE เป็นองค์กรที่มีเด็กเยอะมาก ตอนที่เข้ามาใหม่ๆ อายุเฉลี่ยน่าจะอยู่ประมาณไม่ถึง 30 ปี

ซึ่งตอนที่เราอยู่สายงานธนาคาร เราไม่เคยสนใจเรื่องคนเลย เราถูกมอบหมายมาอย่างเดียวว่าเราต้องทำยอดเท่าไหร่ เราจะต้องได้แต่ละปีเท่าไหร่ เราไม่ต้องสนใจคนรอบข้างเลยว่าเขาจะเป็นยังไง แล้วเราก็พร้อมที่จะฝ่าฟันทุกอย่างเพื่อที่จะได้มาในเป้าหมายที่เราต้องการ 

แต่พอเราต้องมาบริหารคน มันอาจจะเป็นคนละรูปแบบกับที่เราเคยทำมา เราก็ต้องปรับความคิดตัวเองก่อน เราต้องทำยังไงที่จะเข้าใจเขา เราถึงจะเข้าถึงเขาได้ เพราะต้องบอกว่าทุกคนเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มันมีกำแพงกั้นอยู่แล้ว ดังนั้นเราต้องพยายามที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมเรา เข้าใจมากขึ้น ฟังมากขึ้น แล้วเราก็ต้องอธิบายต่อด้วยว่าเราทำแบบนี้เพื่ออะไร เพื่อที่ว่าในอนาคตบริษัทเติบโตได้ 

พอองค์กรมันเดินหน้าได้ พวกเราก็จะอยู่ได้ เราก็จะมี career path (เส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพ) ที่ดี เพราะเราไม่ได้ต้องการแค่สร้างองค์กรให้ดี แต่ต้องการสร้าง career path ที่ดีให้แต่ละคนด้วย

อะไรคือที่มาของวัฒนธรรมองค์กรแบบ Playground ที่เป็นเอกลักษณ์ของ SAPPE

จริงๆ Playground ที่ชวนทุกคนมาเล่นไปด้วยกัน มันเป็นสิ่งที่เป็นตัวตนของเราอยู่แล้ว เป็นสิ่งที่เราสังเกตเห็นจากคนรอบๆ ตัว ทีมของเราส่วนมากจะเป็นกลุ่มคน Gen X กับ Gen Y ผสมกัน ในช่วงแรกเราก็ทำหน้าที่กึ่งเป็น HR ไปด้วย ก็มีการสัมภาษณ์คนอยู่ตลอด คนในทีมส่วนมากจะบอกว่า SAPPE เป็นเหมือน ‘สโมสรนักศึกษา’ มันเต็มไปด้วยความสนุก ความสดใหม่ เต็มไปด้วยพลัง และการทดลองทำสิ่งต่างๆ 

เวลาทำงาน คนในทีมจะเป็นอีกโหมดหนึ่ง ทุกคนชอบความท้าทาย และชอบให้มีเป้าหมายที่ชัดเจน ชอบโมเมนต์ของช่วงเวลาที่ประสบความสำเร็จร่วมกันกับทีม เราสัมผัสได้ว่าช่วงเวลาแบบนั้นทุกคนจะมีความสุขมาก  

และพอเราเริ่มเห็นแล้วว่า คนที่นี่มีความชอบที่จะทำอะไรท้าทายด้วยกันเป็นทีม ชอบความสนุกและเป็นคนกระหายความสำเร็จ เราก็เลยมองว่า ถ้าเราทำองค์กรให้มีวัฒนธรรมแบบนี้ เอาทุกคนมาเล่นด้วยกัน มาเล่นเป็นทีมเดียวกัน เพื่อที่จะได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่องค์กรวางไว้ มันน่าจะสนุกกว่า 

เพราะฉะนั้น ด้วยดีเอ็นเอของคนในองค์กรที่ชอบความสนุก ชอบความท้าทาย ในช่วงที่เราปรับปรุงออฟฟิศใหม่ เราก็เลยนำเอาวัฒนธรรมการทำงานอย่าง Playground เข้ามาด้วยเลย 

แทนที่จะเรียกว่าออฟฟิศ เรามาเล่นด้วยกันในที่แห่งนี้ดีกว่า สร้างสรรค์กันมาเลย มีอะไรก็เอาออกมาโชว์ เพราะฉะนั้นการทำงานมันจะไม่ได้แค่ทำงานอย่างเดียวละ มันจะเป็นการทำไปด้วยเล่นไปด้วย เป็นความสนุกที่เป็นทีมเวิร์กไปในขณะเดียวกัน 

เราเปลี่ยนรูปแบบของการทำงานให้มันเป็นสเตจ (stage) เป็นเหมือนด่านต่างๆ คนทำงานก็อัพเลเวลไปเรื่อยๆ การทำงานทุกคนมันต้องมีเป้าหมาย เราว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตั้งเป้าที่ชัดเจน แล้วสื่อสารเข้าไปให้ถึงพนักงานทุกคนให้รู้ว่าเป้าหมายที่เราจะไปคืออะไร 

แล้วเราก็เล่นเกมของเราเพื่อที่จะไปถึงเป้าหมายนั้น เป็นเหมือนการชวนทุกคนฝ่าฟันด่านต่างๆ และพัฒนาตัวเองไปด้วยกัน

เราจะยกระดับคนทำงานอย่างไร ไม่ใช่แค่เพื่อผลประโยชน์ขององค์กร แต่เพื่อส่งผลต่อตัวเขาเองด้วย?

ก่อนหน้านี้เป้าหมายขององค์กรไม่ได้มาจากเรา มันไม่ได้มาจากแค่ CEO หรือบอร์ดบริหารเพียงอย่างเดียว แต่มันมาจากกลุ่มคนทำงานที่เรามานั่งคิด มานั่งทำ Workshop ด้วยกัน แล้วคิดว่าสิ่งที่เราอยากไปมันคืออะไร เรามองว่า เป้าหมายที่เราอยากไปคือการสร้าง Global Brand ที่เป็นแบรนด์ไทย 

เราอยากจะเป็นองค์กรไทย ที่เป็นเหมือนตัวอย่างให้แบรนด์อื่นๆ ว่าเราก็สามารถก้าวไประดับโลกได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เราต้องตั้งด้วยกัน ไม่ได้เป็นเป้าหมายจากคนใดคนหนึ่ง 

ดังนั้น มันมีการตั้งเป้าหมายร่วมกันจาก Team Player คนอื่นๆ ที่อยากจะทำให้สำเร็จ หลังจากที่เป้าหมายชัดเจนแล้วเราก็เริ่มสื่อสารลงไปให้กับพนักงานทุกคนให้รับรู้ ซึ่งต้องบอกว่าในความเป็นจริงที่เราต้องรับคนเข้ามา เราต้องบอกให้รู้เลยว่าเป้าหมายขององค์กรเราไปอย่างนี้ คุณสนใจที่จะมาร่วมกับเราเพื่อไปแบบนี้หรือเปล่า เราคิดว่าอันหนึ่งมันก็เป็นการคัดกรองอย่างหนึ่ง ว่าคุณมีเป้าหมายไปในทิศทางแนวทางเดียวกับที่เราอยากไปไหม คุณใช่หนึ่งในคนที่จะร่วมสร้างไปกับเราหรือเปล่า 

อย่างที่สองคือถามว่า ถ้าเป้าหมายเราใหญ่มากจริงๆ เขาก็อาจจะต้องเหนื่อยขึ้น แต่เขาก็จะเก่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะเราไม่ได้แข่งกับตัวเองอย่างเดียว เราแข่งกับคนรอบข้าง เราไม่ได้แข่งในประเทศไทย เราแข่งกับต่างประเทศด้วย ถ้าเราไม่เก่งขึ้น สักวันหนึ่งเราก็จะต้องจมหายไป

เพราะฉะนั้นพนักงานของเราทุกคนก็จะถูกบอกเสมอว่า เรามีหลักสูตรหลายๆ หลักสูตร เพื่อที่จะติดอาวุธให้ทุกคน ให้รู้ทัน เท่าทัน ทำทัน กับสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นถ้าเขาเก่งขึ้น ทั้งองค์กรก็จะเก่งขึ้น เราก็เข้าใกล้เป้าหมายที่เราตั้งไว้มากขึ้น

ทำงานกับคนรุ่นใหม่มากๆ มีปัญหากับเรื่องอีโก้ของเด็กไฟแรงบ้างไหม?

เราว่าอีโก้อาจจะมีทุกคนแหละ ตอนสมัยทำแบงก์เราก็มีอีโก้สูงมาก แต่ข้อหนึ่งที่เราควรเก็บไว้ คือเรื่องของความมั่นใจ เรายังรู้สึกว่าคำว่า ความมั่นใจกับอีโก้มันต่างกัน เราสนับสนุนให้คนมีความมั่นใจ แต่ไม่ได้สนับสนุนให้คนมีอีโก้ เพราะอีโก้จะบล็อกเรื่อง mindset ของเรา อันนี้เป็นเรื่องที่เราไม่ควรทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เปิดโอกาสให้ทุกคนมีความคิดสร้างสรรค์ เพราะฉะนั้นเราไม่สนับสนุนในเรื่องของการมีอีโก้ แต่เราผลักดันให้คนมีความมั่นใจ 

แต่ถามว่ามีความมั่นใจมากเกินไปดีหรือเปล่า มันเป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่ว่าเราจะต้องมีความเปิดกว้าง เปิดใจด้วย

เราต้องเป็นน้ำที่ไม่เต็มแก้วอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราบอกว่าเรารู้หมดทุกอย่างแล้ว ชีวิตนี้ไม่ต้องทำอะไร เราต้องคิดอยู่ตลอดเวลาว่าเรามีอะไรที่ไม่รู้อีกมากมาย โลกนี้มันกว้างใหญ่มาก

ซึ่งองค์กรของเราเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เป็นองค์กรที่ให้เวทีพนักงาน เราคิดเสมอว่า เวลาที่น้องๆ มีไอเดียอะไรที่อยากจะลอง ให้ลองเลย ถ้าผลกระทบมันไม่ได้เยอะมาก ลองทำเลย ลองแล้วถ้าเกิดพลาด ก็อาจจะลองให้เปลี่ยนโมเดล เพราะว่าของพวกนี้เราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เขาเสนอมามันอาจจะเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ ก็ได้ อาจจะเป็นสิ่งที่เราไม่รู้มาก่อนเลย เพราะฉะนั้น ใน SAPPE เองก็มีแคมเปญหนึ่งเรียกว่า Inno Think ที่ให้พนักงานแต่ละคนเสนอไอเดียสินค้าใหม่ที่เขาอยากจะลองขึ้นมา หรือวิธีการใหม่ๆ พวกนี้เราเปิดเวทีให้ทุกคนทำตลอดเวลา 

ใน Inno Think เราว่าเรามีผลิตภัณฑ์ส่งออกตลาดไปประมาณเกือบ 10 ตัว อาจจะยังไม่ได้ประสบความสำเร็จมาก แต่ไม่ได้แปลว่าเราไม่ได้เรียนรู้อะไร เราเชื่อเสมอว่า ณ เวลานี้มันอาจจะไม่เวิร์ก แต่ในอนาคตมันอาจจะเวิร์กแล้วก็ได้ เราจึงมีลิสต์ของสินค้าใหม่ๆ ที่เราพร้อมนำเสนอแก่ผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา

สิ่งที่เสียไป และสิ่งที่ได้รับกลับมาคืออะไร

ก็คือ ‘เวลา’ นี่แหละ ต้องยอมรับว่า เวลาเป็นสิ่งหนึ่งที่ก็ไม่เชิงว่าเสียไป แต่มันเป็นเรื่องลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ ในชีวิตมันเปลี่ยนไป เวลากับครอบครัวมันอาจจะน้อยลง สิ่งนี้เป็นข้อเท็จจริง 

อีกเรื่องหนึ่งที่เรารู้สึกว่าเสียไปก็คือเรื่องของความเป็นตัวเอง ต้องยอมรับว่าเมื่อก่อน ทุกอย่างจะเน้นไปที่ตัวเอง เป็นการปรนเปรอตัวเอง แต่พอเรามานั่งเป็น CEO ทุกอย่างมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราเพียงอย่างเดียว มันไม่ได้เป็นเรื่องของ It’s me เสมอไป มันกลายเป็น It’s everyone มันเป็นเรื่องของทุกคน 

คุณจะคิดถึงคนอื่น คิดถึงมุมมองคนอื่น คุณช่วยอะไรสังคมได้ คุณช่วยพัฒนาพนักงานในองค์กรได้อย่างไรให้องค์กรเติบโตไปได้อย่างยั่งยืน 

It’s me อาจจะเหมือนเป็นสิ่งที่เสียไป แต่เราคิดว่าเป็นการ ‘เปลี่ยนไป’ มากกว่า 

และก็กลายเป็น It’s everyone ที่เราได้รับกลับมา

จากมุมมอง CEO ถึงเด็กจบใหม่ คุณมีคำแนะนำน้องๆ อย่างไรบ้าง

ต้องบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นเด็กรุ่นใหม่ รุ่นเก่า หรือคนปัจจุบันก็ตาม เรามักจะมองเห็นภาพดีๆ มองเห็นภาพคนที่เขาประสบความสำเร็จอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่รู้หรอกว่ากว่าที่เขาจะขึ้นมาอยู่ตรงยอดภูเขาน้ำแข็งนี้ได้ เขาพยายามมาแค่ไหน เขาเจออะไรมาบ้าง มันเป็นเรื่องของความยากลำบาก มันเป็นเรื่องของความพยายามทั้งสิ้น

อย่างบางคนบอกว่าอยากเป็น YouTuber แต่คุณรู้หรือเปล่า YouTuber คนหนึ่งกว่าจะได้คนเข้ามาติดตาม หลักพัน หลักหมื่น เขาต้องทำผิดพลาดไปกี่ครั้ง ทำถูกไปกี่ครั้ง เปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนรูปแบบการทำงานไปกี่ครั้ง กว่าเขาจะมีชื่อ กว่าเขาจะมีผู้ติดตาม ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ เพราะฉะนั้นเราต้องมีความคิดสร้างสรรค์ มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา แล้วก็อย่ายอมแพ้ เพราะคนส่วนใหญ่จะ ‘Give up along the way’ หรือยอมแพ้ระหว่างทางเร็วจนเกินไป

และในฐานะที่เราเป็นคนทำงานคนหนึ่ง เรารู้สึกว่าสิ่งสำคัญก็คือเป้าหมาย สิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้ สิ่งนั้นเป็นเป้าหมายที่เราอยากทำหรือเปล่า เรามีแพสชันกับสิ่งนั้นมากน้อยแค่ไหน และสิ่งนั้นมันไปในทิศทางเดียวกับองค์กรหรือเปล่า ถ้าไปในทิศทางเดียวกัน เราก็ควรพุ่งไปให้เต็มที่ เราเชื่อว่าถ้าตั้งเป้าหมาย ต้องเป็นเป้าหมายที่ใจสั่น ถ้าเป้าหมายไม่ทำให้ใจสั่น เป้าหมายนั้นอาจไม่ท้าทายพอ

ความท้าทายเป็นสิ่งที่ควรมี เราเองก็ชอบความท้าทาย และเราก็เองก็สร้างความท้าทายใหม่ๆ ให้ทีมงานอยู่เสมอ

เป้าหมายในระยะยาวของคุณ และ SAPPE คืออะไร

เรามีเป้าหมายเดียวเลยคือ อยากให้ SAPPE เป็น Global Brand เป็น Global Company อันนี้คือเป้าหมายสูงสุด เป็นเป้าหมายที่ยังไงก็ไม่มีวันเปลี่ยน

แต่มันเป็นสิ่งที่อธิบายได้ยาก หรือมีมาตรวัดที่ชัดเจนว่าเราเป็น Global Brand แล้วหรือยัง หากมองแบบทะเยอทะยานหน่อย เราอาจจะมองไปในระดับที่เป็นแบรนด์ที่คนทั้งโลกรู้จัก เราอาจจะลองเปรียบเทียบว่า ตอนนี้เราเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ในระดับโลกแล้ว สินค้าของเรา ความรู้จักแบรนด์เรา มันกระจายออกไปเทียบเท่ากับแบรนด์ระดับนั้นหรือยัง 

มันเป็นฝันที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับเรา แต่ว่าเราก็ยังอยู่ในเส้นทาง และเราก็ยังพยายามพา SAPPE ไปให้ถึงจุดนั้น

สิ่งที่รู้สึกขอบคุณมากที่สุดในชีวิตคืออะไร

ถ้าเป็นในเชิงความรู้สึกหน่อยก็จะบอกว่า ขอบคุณที่เกิดมาในครอบครัวนี้ ที่สร้างธุรกิจมาแล้วทำให้เรามีโอกาสในการที่จะสร้างแบรนด์ไทยหรือองค์กรไทยให้มีสิทธิ์ไประดับโลกได้ มันไม่ได้มีโอกาสเยอะที่คนหนึ่งคนจะทำได้ ซึ่งมันก็อาจจะยังไม่ได้ถึงจุดนั้น แต่เราก็ยังพยายามอยู่เสมอ

และที่สำคัญที่สุดคือ เรารู้สึกขอบคุณทีมมากๆ เพราะว่าเราทำงานเป็นทีมที่เข้ากันได้ดี

ในยุคนี้เราก็จะมองว่า เราทำงานเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นพี่เป็นน้องที่จะพยายามสนับสนุน เกื้อกูลกัน คอมเมนต์กันอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเราคิดว่าทุกคนในทีมต่างเป็นคนสำคัญและมีคุณค่าในการที่เราจะเติบโตต่อไปได้ในอนาคต